ตอนที่ 906 เถาจืออวิ๋นมาถึง
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เถาจืออวิ๋นจะกลับประเทศจีนในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า หลินม่ายก็ถึงกับนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
แม้ฟางจั๋วหรานจะบอกว่าการผ่าตัดล่าช้าไปสักหนึ่งสัปดาห์ไม่สร้างผลกระทบ แต่เธอก็ไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
วันรุ่งขึ้น หลังเลิกเรียนในช่วงบ่าย หลินม่ายหิ้วกระเป๋านักเรียน ขี่จักรยานกลับบ้านพร้อมความกดดันในจิตใจ
ทันทีที่ขี่มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ร่างคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ
เธอตะโกนออกไปด้วยความประหลาดใจ “พี่เถา!”
เถาจืออวิ๋นกำลังถามชาวบ้านใกล้เคียงถึงที่อยู่ของเธอ
เมื่อได้ยินเสียงของหลินม่าย หล่อนรีบหันกลับมาทันที ก่อนจะกล่าวขอบคุณชาวบ้านคนนั้นดว้ยรอยยิ้มและเดินเข้าหาหลินม่ายอย่างรวดเร็ว “เพิ่งเลิกเรียนเหรอ?”
“อื้ม” หลินม่ายลงจากจักรยานก่อนจะเข็นจักรยานเคียงข้างหล่อนไป “ฉันนึกว่าตัวเองตาฝาดเสียอีกที่เห็นพี่ที่นี่ ก่อนหน้านี้พี่บอกว่าจะกลับมาหลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ไม่ใช่เหรอ?”
เถาจืออวิ๋นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบายใจนัก ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย “สุดท้ายแล้วคนเราจะต้องจัดลำดับความสำคัญ เรื่องอื่นยังสามารถละทิ้งได้ แต่การรักษาตัวเป็นสิ่งสำคัญกว่า ฉันกลัวว่าถ้าฉันมาช้ากว่านี้แล้วจะทำให้อาการของจั๋วเยวี่ยทรุดลง”
เห็นท่าทางของหล่อนและถ้อยคำเหล่านั้น หลินม่ายสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายยังคงนึกถึงฟางจั๋วเยวี่ยเสมอ และยังคงเป็นห่วงเขามากด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่ละทิ้งทุกอย่างและกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้
เถาจืออวิ๋นติดตามหลินม่ายเดินกลับบ้าน ก่อนจะสอบถามอาการของจั๋วเยวี่ยอย่างละเอียด
หลินม่ายบอกเล่าทุกอย่างที่เธอรู้ให้อีกฝ่ายรับฟัง
แม้เถาจืออวิ๋นจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เห็นชัดว่ารู้สึกกังวลมาก ทุกสิ่งแสดงออกผ่านสายตาของหล่อนชัดเจน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายถือกระเป๋ามาเพียงใบเดียวและไม่มีสัมภาระอะไรเลย หลินม่ายถึงกับร้องถาม “ไม่ได้เอากระเป๋ามาด้วยเหรอ? หรือว่าพี่จะอยู่ในเมืองหลวงแค่สองสามวันก่อนจะกลับ?”
หลินม่ายค่อนข้างกังวล เธอไม่รู้ว่าเวลาวันสองวันจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฟางจั๋วเยวี่ยเข้ารับการผ่าตัดได้ไหม
เถาจืออวิ๋นส่ายศีรษะ “ไม่ล่ะ ฉันพาฉีฉีกับแม่มาด้วย สัมภาระพวกนั้นฝากไว้กับแม่แล้วล่ะ”
จากนั้นหล่อนก็กล่าวเสริมขึ้นว่า “ฉันไม่ได้วางแผนที่จะไปต่างประเทศหลังจากกลับมาคราวนี้น่ะ”
หลินม่ายตกใจ “แล้วใบปริญญากับการประกวดแฟชั่นล่ะ?”
“ฉันคุยกับอาจารย์ไว้แล้วล่ะเรื่องใบรับรอง หลังจากได้รับการรับรองวุฒิแล้ว เขาจะส่งตามหลังมาให้น่ะ ส่วนการประกวดแฟชั่น คงจะมีอีกมากมายในอนาคต คราวนี้ฉันไม่สนใจแล้ว”
หลินม่ายกล่าวออกไปอย่างซาบซึ้ง “เพื่อจั๋วเยวี่ย พี่ต้องจ่ายราคาแพงทีเดียว”
เถาจืออวิ๋นกระซิบ “ฉันทำด้วยความเต็มใจน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ”
หลินม่ายถามอีก “พี่บอกว่าพาคุณป้ากับฉีฉีกลับมาด้วย แล้วพวกเขาอยู่ไหน จองที่พักในโรงแรมให้เหรอ?”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้ารับ “ใช่”
หลินม่ายถามถึงโรงแรมที่แม่ของหล่อนกับฉีฉีพักอยู่ และวางแผนว่าจะพาฉีฉีกับคุณยายไปอยู่ที่บ้านของเธอทีหลัง
บ้านสไตล์ตะวันตกสามชั้นขนาดเล็กมีห้องมากมาย และแน่นอนว่าครอบครัวของเถาจืออวิ๋นสามารถอยู่ที่นั่นได้
เมื่อหลินม่ายปรากฏตัวในห้องนั่งเล่นพร้อมกับเถาจืออวิ๋น คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ถึงกับตกตะลึง ทั้งหมดจับจ้องเถาจืออวิ๋นด้วยร่างกายแข็งทื่อและคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป
เพราะหลินม่ายบอกเอาไว้ว่าเถาจืออวิ๋นจะไม่กลับมาประเทศจีนจนกว่าจะถึงหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า
จากนั้นไม่นาน คุณย่าฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “โอ้ จืออวิ๋นกลับมาแล้วเหรอ?”
เถาจืออวื๋นเดินเข้ามาพร้อมกับจับมือแล้วกล่าวเสียงสั่น “ฉันกลับมาแล้วค่ะคุณย่า!”
คุณย่าฟางน้ำตาไหลพราก “ดีแล้วที่เธอกลับมา ฉันดีใจมาก ดีใจจริง ๆ รีบไปหาจั๋วเยวี่ยแล้วบอกให้เขาเข้ารับการผ่าตัดทีเถอะนะ”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า และเดินตามหลินม่ายไปยังชั้นสอง ตรงไปที่ห้องของฟางจั๋วเยวี่ย
หวังเหวินฟางลังเลสักครู่ก่อนจะเดินตามขึ้นไปชั้นบน
แต่เป็นคุณย่าฟางที่หยุดหล่อนเอาไว้ “จะตามไปทำไม?”
หวังเหวินฟางชี้ขึ้นไปข้างบน “ฉันจะไปดูค่ะว่าเสี่ยวเถาจะพูดกับจั๋วเยวี่ยยังไง”
“อยากฟังอะไร!” คุณย่าฟางกล่าวด้วยใบหน้าตึงเครียด “เสี่ยวเถาคงไม่สบายใจถ้าเธอไปอยู่ใกล้ นั่งอยู่ตรงนี้นี่แหละ นั่งอยู่กับฉัน!”
หวังเหวินฟางทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งลงพร้อมหันมองหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นที่เดินไปข้างบน
หลินม่ายค่อย ๆ เปิดประตูห้องของฟางจั๋วเยวี่ยออก และเห็นอีกฝ่ายเอนกายพร้อมแทะขาหมูในมืออย่างผ่อนคลาย คล้ายว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับมันมาก
ส่วนโต้วโต้วและเสี่ยวมู่ตงนอนอยู่ข้าง ๆ เตียงของเขา
โต้วโต้วกล่าวกับฟางจั๋วเยวี่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณอา กินได้ตามสบายเลยนะ สุดท้ายแล้วถ้าคุณอาตาย คุณจะไม่ได้กินอะไรอร่อย ๆ อีกแล้ว”
เสี่ยวมู่ตงไม่เข้าใจคำพูดของพี่สาว แต่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากได้ยินคำพูดของโต้วโต้วแล้ว ฟางจั๋วเยวี่ยก็รู้สึกว่านี่คืออาหารมื้อสุดท้ายของเขา เขาวางขาหมูลงบนจานข้างเตียงด้วยความหดหู่
หลินม่ายให้เถาจืออวิ๋นหลบอยู่ด้านข้าง ก่อนจะหันมาพูดกับเด็กน้อยทั้งสองตรงหน้า
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอาของพวกลูกกินของร้อนไม่ได้ มันจะทำอาการของเขาแย่ลง เก่งจริง ๆ ที่กล้าขโมยขาหมูตุ๋นชิ้นนี้มาให้อากิน แถมยังพูดว่าหากตายไปจะไม่ได้กิน ใจร้ายเกินไปหรือเปล่า นี่ไม่ใช่อาหารมื้อสุดท้ายก่อนประหารนะ? รีบออกไปได้แล้ว ให้คุณอาพักผ่อน”
ปากของฟางจั๋วเยวี่ยกระตุกทันทีหลังได้ยินคำพูดของหลินม่าย
ทำไมเขารู้สึกว่าพี่สะใภ้ของเขาพูดจาขวานผ่าซากจัง?
โต้วโต้วแลบลิ้นใส่หลินม่ายก่อนจะพาเสี่ยวมู่ตงออกไป
เมื่อเด็กทั้งสองเดินผ่านเถาจืออวิ๋น เถาจืออวิ๋นลูบศีรษะเสี่ยวมู่ตง “นี่คงเป็นตงตงสินะ”
หลินม่ายพยักหน้า “ใช่ค่ะ”
เถาจืออวิ๋นชื่นชม “เขาหล่อกว่าศาสตราจารย์เยอะเลย”
ฟางจั๋วเยวี่ยหันมองหลินม่ายด้วยความสงสัย “พี่สะใภ้ คุณคุยกับใครอยู่เหรอ?”
หลินม่ายตอบกลับ “พี่เถา”
เธอขยับตัวเพื่อให้เห็นเถาจืออวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหลัง เวลานี้ท่าทางของฟางจั๋วเยวี่ยก็กลายเป็นแข็งทื่อ
ฟางจั๋วเยวี่ยหันมองเถาจืออวิ๋นด้วยความไม่เชื่อถือ
ก่อนจะหันหน้าไปหาหลินม่ายด้วยความโกรธ “ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเรียกหล่อนมาที่นี่ แต่คุณก็ยังเรียกหล่อนมา!”
หลินม่ายหัวเราะ “พี่เถามาถึงแล้ว คุยกันดี ๆ เถอะน่า”
ฟางจั๋วเยวี่ยตะโกนด้วยความโกรธ “ผมไม่คุย พาหล่อนออกไป!”
บรรยากาศกลายเป็นอึดอัด หลินม่ายไม่รู้จะทำอย่างไรในเวลานี้
เวลานั้นเสียงของโต้วโต้วดังขึ้นจากชั้นล่าง “แม่คะ อาจารย์ประจำชั้นของพี่เสี่ยวเหวินอยากคุยกับแม่ค่ะ”
หลินม่ายใช้โอกาสนี้เพื่อหลบหนี “ฉันไปคุยกับอาจารย์ของเสี่ยวเหวินก่อนนะ”
เธอถอยออกจากห้องของฟางจั๋วเยวี่ยก่อนจะปิดประตูลง
จากนั้นลงไปชั้นล่างเพื่อรับโทรศัพท์จากครูของเสี่ยวเหวิน
ครูบอกกล่าวกับหลินม่ายว่าวันนี้เสี่ยวเหวินทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้น
อีกฝ่ายมีเลือดกำเดาไหล ตาบวม เพราะถูกทุบตีอย่างหนัก
ผู้ปกครองของเพื่อนร่วมชั้นที่ถูกทุบตีขอให้เธอมาที่โรงเรียนเพื่อจัดการกับปัญหา
หลินม่ายรีบขี่จักรยานไปที่โรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยชิงต้า
แต่ก่อนที่จะก้าวขาขึ้นจักรยาน ฟางจั๋วหรานก็กลับมาพร้อมกับรถจี๊ป
เขาหยุดรถตรงหน้าหลินม่ายก่อนจะถามว่า “คุณจะไปไหน?”
หลินม่ายบอกเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าให้เธอ “ขึ้นรถ ผมพาไปโรงเรียนเอง”
เขาไม่ได้มาส่งหลินม่ายที่โรงเรียนประถมเท่านั้น แต่ยังไปที่ห้องปกครองพร้อมกับเธอด้วย
การทะเลาะกันที่โรงเรียนถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งเสี่ยวเหวินยังทุบตีคนอื่นจนสะบักสะบอมราวกับต้นคริสต์มาส
เรื่องใหญ่อย่างนี้ อาจารย์ประจำชั้นไม่สามารถตัดสินได้ จึงต้องส่งต่อเรื่องให้กับครูใหญ่แทน
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องปกครอง หลินม่ายเห็นเสี่ยวเหวินมีรอยฟกช้ำที่มุมปาก เขาถูกทำโทษให้ยืนอยู่ใกล้กับหน้าต่าง
ส่วนเด็กชายอีกคนถูกทุบตีจนไม่เหลือสภาพ ใบหน้าบวมเป่งราวหัวหมูนั่งอยู่บนเก้าอี้
การปฏิบัติต่อนักเรียนทั้งสองคนนี้ตรงข้ามกันโดยสมบูรณ์
ใบหน้าของหลินม่ายกลายเป็นมืดมน เธอหันมองครูใหญ่ ครูประจำชั้น และผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เด็กชายหัวหมูซึ่งกำลังนั่งทำแผลอยู่ในห้องปกครอง
ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นแม่ของเด็กชายหัวหมู หุ่นอ้วนท้วมใกล้เคียงกัน
เมื่อหลินม่ายเข้ามาในห้อง ทุกคนจดจำเธอได้ทันที
ภาพยนตร์ที่เธอเพิ่งแสดงเข้าฉายเมื่อไม่นานมานี้ และตามท้องถนน ตรอก ซอกซอยต่าง ๆ เต็มไปด้วยโปสเตอร์ของเธอ
อีกทั้งยังมีโฆษณาของเธอตามโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ใครบางจะไม่รู้จักเธอ?
นี่เป็นครั้งแรกที่ครูประจำชั้นได้พบกับหลินม่าย
หล่อนยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เป็นสหายหลินม่ายเหรอคะ? แต่คุณมาที่โรงเรียนของเราทำไมเหรอคะ?”
หล่อนอยากจะกลับไปที่ห้องทำงานเพื่อไปหยิบสมุดโน๊ตกลับมาขอลายเซ็นหลินม่ายเสียเดี๋ยวนี้
หลินม่ายตอบกลับอย่างไม่แยแส “ก็คุณบอกให้ฉันมานี่คะ?”
สีหน้าของครูประจำชั้นกลายเป็นตกตะลึงพร้อมประหลาดใจ “คุณ… คุณเป็นผู้ปกครองของเสี่ยวเหวิน?”
ก่อนหลินม่ายจะทันได้พูด เพื่อนร่วมชั้นที่ถูกเสี่ยวเหวินทุบตีเป็นต้นคริสต์มาสก็ตะโกนขึ้นว่า “เถียนอวี้เหวินไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ เขาเป็นเด็กกำพร้า!”
หลินม่ายเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเลิกคิ้วก่อนจะหันมองเด็กชายคนนั้นด้วยแววตาเฉียบคม “เป็นเพราะเถียนอวี้เหวินไม่มีพ่อไม่มีแม่ เธอเลยทุบตีเขาเหรอ? แต่สุดท้ายกลับโดนเขาตีกลับ? ฉันจะบอกให้ว่าถึงเถียนอวี้เหวินจะไม่มีพ่อแม่ แต่ในเมื่อฉันเป็นผู้ปกครองของเขา ฉันจะไม่ยอมให้ใครรังแกเขาเด็ดขาด!”
เด็กน้อยหวาดกลัวสายตาของหลินม่ายมาก เวลานี้เขารีบพิงแม่ของตนอย่างหาหลักปกป้อง
แม่ของเด็กชายเห็นว่าลูกของตนหน้าซีดเพราะหวาดกลัว จึงตะโกนลั่น “อะไร? ดาราคนดังเหรอ? ก็แค่ผู้ใหญ่รังแกเด็ก!”
เมื่อเห็นว่าหญิงอ้วนตรงหน้าไม่ยอมรับความจริงจากหลินม่าย ไม่เพียงแต่ไม่สั่งสอนลูกชายตัวเอง แต่ยังกล้าต่อว่าหลินม่ายอีก เวลานี้ฟางจั๋วหรานผู้พิทักษ์ภรรยาของตนจึงฉุนจัดขึ้นมาทันที
“ภรรยาของผมพูดความจริง นี่คุณโกรธแล้วเที่ยวต่อว่าคนอื่นไปทั่วเลยเหรอ? คุณเป็นสุนัขเหรอครับ?”
ผู้หญิงคนนั้นพลันใบหน้าแดงก่ำ “ทำไมถึงหยาบคายอย่างนี้ล่ะคะ?”
“ผมพูดความจริง ไม่ได้ต่อว่าใคร” น้ำเสียงดุดันและสายตาเหยียดหยามของฟางจั๋วหรานเผยให้เห็นว่าเขาไม่ได้ตำหนิอีกฝ่าย แต่มันมากกว่านั้น
เขาบอกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างจากหมาบ้า โดยที่หล่อนไม่ทันแก้ตัว
ฟางจั๋วหรานเองก็มีรังสีน่าเกรงขามอยู่ในตัว
ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นสีคล้ำ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ปรับความเข้าใจกันดีๆ เถอะ คนที่คิดคะนึงหามาอยู่ใกล้ตัวแล้ว
ทำไมทุบตีกันโหดขนาดนั้นล่ะหนูๆ ครูมีกี่คนไม่ห้ามกันเลยเหรอ
ไหหม่า(海馬)