ตอนที่ 911 ชาวบ้านยินยอม
หลินม่ายเดินเข้ามาในครัว หลังใช้เวลาออกไปกว่ายี่สิบนาที
เถาจืออวิ๋นเสิร์ฟตุ๋นตะพาบน้ำชามเล็กให้กับเธอก่อนจะถามว่า “ทำไมวันนี้จัดกระเป๋าเรียนนานจังล่ะ?”
ขณะหลินม่ายกำลังจะกล่าวตอบ เธอพลันเหลือบไปเห็นหวังเหวินฟางที่ลอบมองมาด้วยแววตาสำนึกผิด
หลินม่ายจงใจกล่าวเสียงดัง “ตอนที่ฉันขึ้นไปจัดกระเป๋า เหมือนว่าลิ้นชักของฉันจะถูกรื้อค้นน่ะค่ะ ฉันก็เลยต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะลงมา”
เถาจืออวิ๋นยกยิ้มเบา “ศาสตราจารย์ก็ดูเป็นคนเรียบร้อยอยู่นะ ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่แต่งงานแล้วเขาจะเก็บข้าวของไม่เป็นระเบียบอย่างนี้”
หลินม่ายตอบกลับ “ผู้ชายก็เหมือนกันหมดนั่นแหละค่ะ มองรูปลักษณ์ภายนอกอย่างเดียวไม่ได้”
ขณะนี้เธอก็ลอบมองหวังเหวินฟางเล็กน้อย
มีความตื่นตระหนกฉายชัดอยู่บนใบหน้าของหวังเหวินฟาง
หลินม่ายเริ่มไตร่ตรองอย่างลับ ๆ หวังเหวินฟางคิดค้นหาอะไรในห้องของเธอ?
ขณะหลินม่ายกำลังจะชิมตุ๋นตะพาบของเถาจืออวิ๋น โต้วโต้วกับฉีฉีเดินเข้ามา ทั้งสองพาเสี่ยวมู่ตงที่ยังเดินไม่เก่งนักเข้ามาด้วย
เสี่ยวมู่ตงปล่อยมือจากทั้งสองก่อนจะชี้นิ้วไปที่ตุ๋นตะพาบน้ำในมือของหลินม่าย ส่งเสียงอ้อแอ้พร้อมกับน้ำลายไหลย้อยออกมาอย่างน่าเอ็นดู
โต้วโต้วรีบบอกกล่าว “แม่คะ น้องชายอยากกินซุปในมือแม่”
หลินม่ายถามเถาจืออวิ๋นว่า “เด็กเล็กแบบนี้กินตุ๋นตะพาบน้ำได้ไหม?”
เถาจืออวิ๋นตกใจทันที ก่อนจะรีบส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกัน ตอนฉีฉียังเด็ก พวกเราไม่มีเงินเพียงพอจะทำตุ๋นตะพาบน้ำให้เขากินด้วยซ้ำ”
ตะพาบน้ำเป็นสิ่งที่คนชนบทห่างไกลไม่ค่อยนิยมกิน
มันมีราคาแพงมาก และจะมีขายในเมืองเจียงเฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวงเท่านั้น แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วมันไม่ได้แพงมากนัก แต่เป็นเพราะเถาจืออวิ๋นต้องเลี้ยงครอบครัวถึงสามคน จึงไม่มีเงินเพียงพอสำหรับความฟุ่มเฟือยนี้
หลินม่ายลังเล ขณะไม่แน่ใจว่าป้อนตุ๋นตะพาบน้ำให้เด็กน้อยได้หรือไม่ เวลานี้เองเสียงของฟางจั๋วหรานดังขึ้น “เสี่ยวมู่ตงของเราแข็งแรงมาก เขากินตุ๋นตะพาบน้ำได้นะ”
หลินม่ายได้ยินอย่างนั้นแล้วก็คุกเข่าลง ก่อนจะลองป้อนซุปตุ๋นตะพาบน้ำให้เสี่ยวมู่ตง
เสี่ยวตงตงมีความอยากอาหารล้นเหลือ เขากินตุ๋นตะพาบน้ำหลายคำพร้อมกับใช้มือคว้าชามเล็ก ๆ ตรงหน้าอย่างมั่นหมาย หลังจากพึงพอใจแล้วเขาปล่อยมือจากชามก่อนจะชวนโต้วโต้วและฉีฉีออกไปเล่นด้านนอก
หลินม่ายดื่มตุ๋นตะพาบน้ำที่เหลือ เธอละเลียดชิมมันก่อนจะพยักหน้าให้กับเถาจืออวิ๋น “ฝีมือการตุ๋นของพี่ดีขึ้นมากเลยถ้าเทียบกับคราวที่แล้ว ลองเอาไปให้จั๋วเยวี่ยชิมดูสิ เขาน่าจะหายเร็วเลยล่ะ”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
หลังจากกินข้าวอย่างเร่งรีบแล้ว เถาจืออวิ๋นก็กำลังจะเอาตุ๋นตะพาบน้ำไปส่งให้กับฟางจั๋วเยวี่ย
หลินม่ายพูดขึ้นว่า “หลังไปส่งตุ๋นตะพาบน้ำแล้วก็กลับมาด้วยนะคะ เขามีพยาบาลคอยดูแลอยู่ในแผนกผู้ป่วยหนักเยอะแล้ว พี่ไม่ต้องนอนที่โรงพยาบาลหรอก เดี๋ยวหลังจากเขาย้ายไปห้องทั่วไปค่อยไปดูแลเขาก็ได้”
เถาจืออวิ๋นตอบว่า “จั๋วเยวี่ยย้ายไปห้องทั่วไปแล้วล่ะ”
หลินม่ายตกตะลึง ก่อนจะอุทานออกมาว่า “ฉันไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย เขาย้ายไปที่ห้องทั่วไปหลังจากผ่านหนึ่งสัปดาห์ไม่ใช่เหรอ? นี่ยังไม่ถึงเวลาเลยนี่”
“เขาถูกย้ายเมื่อเช้านี้เอง เพราะเธอยุ่งมากในทุกวันเลยไม่รู้ ไม่แปลกหรอก”
เถาจืออวิ๋นกล่าวด้วยความภูมิใจเล็กน้อย “จั๋วเยวี่ยแข็งแรงและฟื้นตัวได้ดี หมอเลยให้เขาย้ายไปที่ห้องทั่วไปเร็วขึ้นน่ะ” พูดจบหล่อนออกไปพร้อมกับอาหารในมือ
หลินม่ายลอบมองร่างผอมบางที่เดินออกไป พร้อมนึกคิดในใจว่า… การย้ายฟางจั๋วเยวี่ยไปที่ห้องผู้ป่วยทั่วไปคงจะเป็นเรื่องดีกับเถาจืออวิ๋น
อย่างน้อยหล่อนก็จะได้นอนบนโซฟาที่ดี และไม่รู้สึกเหน็บหนาวเช่นเดิม
เพราะการที่ฟางจั๋วเยวี่ยอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก เถาจืออวิ๋นทำได้เพียงมองดูเขาจากด้านนอกเท่านั้น
นี่ก็เดือนพฤศจิกายนแล้ว ในเมืองหลวงถือว่าเข้าสู่ฤดูหนาว
แม้ตอนกลางวันจะไม่หนาวมาก แต่ตอนกลางคืนก็มีอุณหภูมิที่ค่อนข้างต่ำ เถาจืออวิ๋นต้องหนาวมากเมื่ออยู่ด้านนอกของห้องผู่ป่วยหนักที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนช่วยเหลือ
หากไม่ใช่เพราะความรัก ผู้หญิงร่างบอบบางจะอดทนต่อความยากลำบากพวกนี้ทำไม?
หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว หลินม่ายลอบกระซิบกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเรื่องลิ้นชักที่โดนรื้อค้น และบอกกล่าวให้พวกเขาเก็บของสำคัญไว้ให้ดี
คุณย่าฟางเผยสีหน้าเคร่งขรึม “เธอสงสัยแม่ของจั๋วเยวี่ยเป็นขโมยเหรอเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้ารับ “แต่ยังไม่มีหลักฐานค่ะ เลยยังทำอะไรไม่ได้ แน่นอนว่าเมื่อจั๋วเยวี่ยหายป่วย ป้าหวังจะต้องกลับเมืองเจียงเฉิงไปกับจั๋วเยวี่ย และหล่อนจะไม่มีโอกาสมาที่นี่อีกในอนาคต ไม่ว่าหล่อนต้องการจะค้นหาอะไรในบ้าน หล่อนก็คงจะค้นไม่เจอหรอก ปล่อยให้ทำไปแล้วกันค่ะ”
ใบหน้าของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางกลายเป็นน่าเกลียด ทว่าทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
มีสมาชิกในครอบครัวของเถาจืออวิ๋นสามคนอาศัยอยู่ในบ้านด้วย และการทำให้เรื่องราวอื้อฉาวนี้ใหญ่โตรังแต่จะสร้างความอับอายสู่สาธารณะ
นอกจากนี้หวังเหวินฟางยังเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดฟางจั๋วเยวี่ยด้วย หากจะไล่หล่อนออกไปราวกับไล่หนู มันก็คงสร้างความอึดอัดให้ฟางจั๋วเยวี่ยไม่น้อย
หลังกลับมาที่ห้อง หลินม่ายพูดกับฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกให้เขาระมัดระวังหวังเหวินฟางเอาไว้
ฟางจั๋วหรานถึงกับสับสน กลายเป็นว่าหวังเหวินฟางต้องการบางอย่างในบ้านของเขางั้นเหรอ?
เมื่อนึกถึงกล่องเครื่องประดับที่เธอมี ทั้งสร้อยคอ ทองคำต่าง ๆ หลินม่ายก็ลอบคาดเดา “หล่อนคิดจะขโมยเงินเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานหันมองหน้าของเธอสักครู่ก่อนจะส่ายหัว “ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถึงตอนนี้หล่อนจะยากจนแต่จะไม่ทำตัวเป็นขโมยแน่นอน หล่อนไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าเลย”
ทั้งคู่ไม่เข้าใจว่าหวังเหวินฟางอยากได้อะไร เวลานี้ทั้งหมดจึงเลิกคาดเดาก่อนจะเก็บของสำคัญให้มิดชิด
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายพยายามตื่นในตอนเช้า
ทันทีที่เธอขยับตัว ฟางจั๋วหรานก็รู้สึกตัวทันที
เขากระชับร่างของเธอไว้ในอ้อมแขน “อากาศเริ่มเย็นแล้ว อย่าเพิ่งตื่นเลยนะ นอนต่ออีกหน่อยดีกว่า” เวลานี้เขาก็จูบหน้าผากของเธอแผ่วเบา
หลินม่ายดิ้นรนเล็กน้อย “ไม่ได้ค่ะ ฉันจะลุกไปทำซุปให้จั๋วเยวี่ย ตอนนี้จั๋วเยวี่ยย้ายมาอยู่ห้องผู้ป่วยทั่วไปแล้ว ฉันต้องไปเยี่ยมเขาบ้าง หลังเขาออกจากห้องผ่าตัดมา ฉันยังไม่ได้ไปโรงพยาบาลเลยนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่เห็นต้องทำซุปให้เขาด้วยตัวเองเลยนี่ เราก็แค่ซื้อตุ๋นตะพาบน้ำหรือซุปไก่จากโรงแรมก็พอ”
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ผู้ชายทั่วไปคิดได้
หลินม่ายคิดสักครู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เธอซุกตัวลงในอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน ก่อนจะยกขาก่ายเขาแล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ยิ่งอากาศหนาว หลินม่ายยิ่งชื่นชอบที่จะนอนกอดฟางจั๋วหรานราวกับหมีน้อยโคอาล่า
ร่างกายของผู้ชายจะอุ่นมากในฤดูหนาว มันเปรียบเสมือนถุงน้ำร้อนใต้ผ้าห่มนวม
ทั้งคู่หลับสนิทจนถึงเจ็ดโมงเช้า ก่อนจะลุกขึ้นอย่างสดชื่น
หลังรับประทานมื้อเช้าแล้ว ทั้งคู่ไปเยี่ยมฟางจั๋วเยวี่ยที่โรงพยาบาล
โต้วโต้วเองก็อยากไปที่นั่นด้วย
เสี่ยวมู่ตงเห็นว่าพี่สาวของตัวเองกำลังจะไปข้างนอก เขาก็ส่งเสียงอย่างต้องการจะไปด้วย
แม้โรงพยาบาลจะดูสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย มีการฆ่าเชื้อ แต่ความจริงแล้วสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเชื้อโรค
ฟางจั๋วหรานกล่าวเสียงเข้ม “เด็กไม่ควรไปโรงพยาบาล”
โต้วโต้วเถียงทันที “แล้วทำไมฉีฉีถึงได้ไปบ่อยล่ะคะ?”
สุดท้ายแล้วฟางจั๋วหรานจึงทำได้เพียงสวมหน้ากากอนามัยให้กับเด็กน้อยทั้งสอง เวลานี้ทั้งสี่คนในครอบครัวมุ่งหน้าไปเยี่ยมฟางจั๋วเยวี่ยด้วยกัน
แรกเริ่มพวกเขาต้องไปที่โรงแรมชื่อดังเพื่อซื้อซุปเป๋าฮื้อ
จากนั้นก็ไปที่ร้านเปาห่าวชือเสี่ยวชือเตี้ยนของหลินม่ายเพื่อซื้อของอื่น ๆ เพิ่มเติม ของว่างมากมายที่พวกเขาหยิบยกให้กับฟางจั๋วเยวี่ย
อีกทั้งยังซื้อซุปงาดำสำหรับเจ้าเด็กน้อยทั้งสองคนอีกด้วย
มีขนมมากมายในร้านเปาห่าวชือเสี่ยวชือเตี้ยนของหลินม่าย ทั้งหมดล้วนแต่เป็นที่นิยมและมีรสชาติอร่อย ในทุกชั้นจะต้องมีซุปงาดำวางเอาไว้อย่างหยิบสอยได้ง่าย
โต้วโต้วดื่มซุปงาดำด้วยตนเองได้ ส่วนหลินม่ายอุ้มเสี่ยวมู่ตงเพื่อป้อนเขา
ฟางจั๋วหรานขับรถช้าลงเล็กน้อยเพื่อให้เด็กทั้งสองคนกินอาหารได้ง่ายขึ้น
เขาเหลือบมองภรรยาและลูกที่นั่งอยู่เบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง และยกยิ้มในใจว่าตนคือผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
เมื่อครอบครัวมาถึงโรงพยาบาลแล้ว เถาจืออวิ๋นก็กำลังจะออกไปซื้ออาหารเช้าให้ฟางจั๋วเยวี่ย ทันทีที่เห็นหลินม่ายเข้ามาพร้อมกับอาหารเช้าและซุป หล่อนจึงไม่ได้ออกไปไหน
หลินม่ายบอกกล่าวให้หล่อนกลับไปพักผ่อนที่บ้าน การนอนบนโซฟาทั้งคืนคงจะปวดหลังไม่น้อยแล้ว
แต่เถาจืออวิ๋นยืนยันว่าจะให้ฟางจั๋วเยวี่ยกินมื้อเช้าก่อน แล้วหล่อนจึงค่อยกลับภายหลัง
ฟางจั๋วเยวี่ยกินเกี๊ยวน้ำไปสองคำ ก่อนจะดื่มซุปไก่อีกเล็กน้อย เวลานี้เขาหันมองด้วยแววตาสิ้นหวังก่อนจะถาม “พี่สะใภ้ คุณไม่ได้ทำเองเหรอ?”
หลินม่ายละอายใจเล็กน้อย
ฟางจั๋วหรานเผยสีหน้าบูดบึ้ง “พี่สะใภ้แกยุ่งขนาดนี้จะมีเวลามานั่งทำอาหารให้แกได้ยังไง? ขนาดฉันยังไม่ได้กินอาหารฝีมือหล่อนมาตั้งนานแล้ว”
ฟางจั๋วเยวี่ยไม่กล้าโต้แย้งโดยตรง เขาเพียงสบถอยู่ในใจ ก็ผมเป็นคนไข้ แต่พี่ไม่ใช่นี่
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา อากาศยิ่งเริ่มเย็นลงทุกที
ในที่สุดเจียวอิงจวิ้นก็ยกสายโทรศัพท์ถึงหลินม่าย
เขากล่าวผ่านโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “หัวหน้าหลินครับ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงมั่นใจว่าชาวบ้านพวกนั้นจะยอมเซ็นสัญญารื้อถอนกับเรา”
หลินม่ายรับโทรศัพท์พร้อมกับป้อนอาหารให้เสี่ยวมู่ตงไปด้วย
สิ่งนี้ทางตอนเหนือจะเรียกมันว่าข้าวโพดแท่ง
ทันทีที่ขนมถูกป้อนเข้าปาก มันหายวับไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเด็กชายยิ่งสดใส
แน่นอนว่าเด็กอายุต่ำกว่าหนึ่งขวบสามารถรับประทานได้
หลินม่ายกล่าวเสียงค่อย “เข้าใจอะไรเหรอคะ? ค่อยพูดค่อยจาก็ได้ค่ะ”
“การออกแบบปัจจุบันของเราเป็นเมืองล้อมหมู่บ้าน ถ้ามีการสร้างอาคารใหม่ หมู่บ้านจะถูกล้อมรอบเอาไว้ แล้วจะไม่มีใครเวนคืนที่ดินของชาวบ้านพวกนั้น ผู้พัฒนาคนไหนล่ะครับอยากจะได้พื้นที่เล็ก ๆ แบบนี้? ชาวบ้านพวกนั้นต้องใช้เงินตัวเองเพื่อซ่อมแซมบ้านของตัวเอง สุดท้ายแล้วที่ดินมันก็เป็นของเรา ถ้าพวกเขาจะปรับปรุงบ้าน ก็ยังต้องได้รับความยินยอมจากเราก่อน แต่สุดท้ายเมื่อมันถึงเวลา การบอกกล่าวให้เรารื้อถอนบ้านของพวกเขาแล้วไปหาซื้อบ้านใหม่มันคุ้มค่ายิ่งกว่า”
เจียวอิงจวิ้นกล่าวด้วยความยินดี “เสียดายที่คุณไม่ได้อยู่ที่ไซต์ก่อสร้างด้วย คุณไม่เห็นว่าชาวบ้านมาดูพวกเราเจาะฐานทุกวันด้วยใบหน้าสิ้นหวังและหดหู่ ในสายตามีแต่ความเศร้าหมอง แต่เมื่อวานมีชาวบ้านหลายคนมาหาผมอย่างลับ ๆ พวกเขาบอกว่ายินดีจะเซ็นสัญญาตามเงื่อนไขก่อนหน้านี้ แต่ผมยังไม่ได้ตอบรับพวกเขาทันทีหรอกนะครับ แค่บอกว่าจะรายงานเรื่องนี้ให้คุณฟังก่อน คุณหลินครับ เราจะยกแหกันหรือยัง?”
“ยังก่อน” หลินม่ายกล่าว “ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ชาวบ้านพวกนั้นต้องการเรียกร้อง พวกเขาก็เพียงตะโกนเสียงดัง เมื่อต้องการเซ็นสัญญา ก็คิดเซ็นโดยง่าย ง่ายเกินไป! ปล่อยให้พวกเขาจมอยู่กับความคิดตัวเองไปก่อน”
เจียงอิงจวิ้นตอบ “ครับ”
หลินม่ายกล่าวย้ำ “ฉันยินดีเดิมพันและพร้อมรับความพ่ายแพ้ อย่าลืมหาเวลาส่งเงินหนึ่งพันหยวนที่ฉันเสียไปคืนมาด้วยล่ะ”
ตอนนี้เจียงอิงจวิ้นยิ่งรู้สึกชื่นชมหลินม่าย
นี่คือวิธีการที่นุ่มนวลทว่าเหี้ยมโหดที่สุด ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อยอมให้ชาวบ้านรื้อถอน
และหนึ่งพันหยวนเป็นจำนวนเงินที่เขาต้องสูญเสีย
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อคิดไว้หมดแล้ว ยังไงอยู่ต่อไปก็ไม่คุ้ม รื้อบ้านเก่าสร้างบ้านใหม่คุ้มกว่า
ไหหม่า(海馬)