“พวกเราจะอยู่แต่ที่นี่เฉยๆ โดยไม่ไปที่อื่นหรือ” ไป๋หลี่ซ่างเสียพูดกับผู้เป็นบิดาเป็นครั้งแรก เด็กชายยกมือขึ้นกอดอกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เสื้อคลุมหนังแนวพังค์กับแว่นกันลมที่ผมทำให้เขาดูเท่อย่างมาก “ถ้าต้องมาติดแหง็กอยู่กับคุณที่นี่ ผมขอไปอยู่กับน้องชายของผมยังดีกว่าอีก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองคนเป็นลูกที่ยืนอยู่ข้างๆ น้ำเสียงของเขาฟังดูราบเรียบ “หายากทีเดียวที่พวกเราจะเห็นตรงกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ฉันต้องเล่นบทเป็นคุณพ่อผู้ห่วงลูกชายอย่างสุดแสนจนเอาเครื่องบินลงจอดบนรถไฟ เพราะฉะนั้นแกเองก็ควรจะทำตัวให้มันดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้น ฉันจะเดินทางมาเป็นพันไมล์เพื่อช่วยแกไปทำไม”
“ผมล่ะประหลาดใจชะมัดที่คุณเชื่อฟังท่านแม่จริงๆ” น้ำเสียงของไป๋หลี่ซ่างเสียแฝงไปด้วยการเหน็บแนม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไขว้ขาเข้าหากันเล็กน้อย เขามีท่าทางผ่อนคลายเหมือนกำลังนั่งดื่มชามากกว่านั่งอยู่ในห้องสอบปากคำ นิ้วเรียวของเขาแตะใบหน้าของตัวเองเป็นจังหวะ “แกเลือกที่จะไม่ทำตามคำสั่งนั้นก็ได้ ที่แกต้องทำก็แค่เดินออกไป แล้วรอดูก็แล้วกันว่าท่านแม่ของแกจะยังชอบแกอยู่หรือเปล่า”
ไป๋หลี่ซ่างเสียคิดในใจ : …สรุปก็คือตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ คุณเอาแต่แสร้งเล่นละครเป็นคนดีเวลาอยู่ต่อหน้าท่านแม่ และไม่เคยเผยด้านที่โหดเหี้ยมออกมาให้เธอเห็นนี่เอง คุณนี่มันจริงๆ เลย!
สองพ่อลูกไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้เมื่อทั้งสองต้องมาอยู่ในห้องสอบปากคำห้องเดียวกัน เด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างผู้เป็นบิดาจึงมองหลิวหงเจียงที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ ที่มุมปากของเขามีรอยยิ้มกระหายเลือดปรากฏขึ้น “อาหารมาแล้ว”
หลิวหงเจียงไม่รู้เลยว่าเขาพาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับอะไรเมื่อเผชิญหน้ากับคนคู่นี้ เขาคิดเพียงว่าคนพวกนี้เป็นผู้ต้องหากลุ่มสุดท้าย ดังนั้นเขาจะต้องทำให้พวกเขาเปิดปากพูดให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม!
หลิวหงเจียงไม่ได้พูดจาก้าวร้าวเหมือนอย่างที่เขาทำกับสองสามคนก่อนหน้านี้ หลังผ่านการคิดใคร่ครวญมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาย่อมตระหนักได้ว่าคนที่สามารถนำเครื่องบินส่วนตัวข้ามชายแดนเข้ามาได้จะต้องมีพื้นฐานฐานะที่มั่นคงอย่างแน่นอน พวกเขาแตกต่างจากคนพวกนั้นที่สร้างความเดือดร้อนให้เขา
หลิวหงเจียงเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายคนนี้มุ่งหน้าไปที่รถไฟก็เพราะลูกชายของเขาถูกลักพาตัวจริงๆ
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลิวหงเจียงก็เผลอก่นด่าเหล่าลิ่วอยู่ในใจอย่างอดไม่ไหวว่าทำไมเขาไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยบอกอีกฝ่ายเป็นนัยๆ และยังเคยเตือนให้เขาระมัดระวังเวลาที่ลักพาตัวเด็กพวกนั้น เขาไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเด็กที่มีฐานะอย่างเด็ดขาด
ยอดเยี่ยม แล้วตอนนี้เขาก็ต้องมาตามเช็ดตามล้างเรื่องวุ่นวายที่หมอนั่นทิ้งเอาไว้!
“คุณครับ ผมรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนรถไฟขบวนนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ แต่คุณแค่บังเอิญอยู่ในตู้โดยสารตู้นั้นด้วยตอนที่มันเกิดเรื่องขึ้น มีคนให้การว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกับพวกของเธอครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมายในตู้โดยสาร และพยายามที่จะปล้นรถไฟ ถ้าคำสารภาพของคุณตรงกับสิ่งที่ผมรู้มา คุณก็จะได้กลับบ้านเร็วๆ นี้ แต่ก่อนหน้านั้น พวกเขาทำร้ายคนไปกี่คนครับ แล้วพวกเขาทำลายอาวุธในมือทิ้งหลังจากนั้นเหรอ”
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีความน่าสงสัยเกิดขึ้น หลิวหงเจียงจึงไม่ได้ไปหาเหล่าลิ่ว ถ้าเขาไป เขาคงไม่เอาคำถามพวกนี้มาถามกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและลูกชายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้
ก่อนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะทันได้เอ่ยตอบ ไป๋หลี่ซ่างเสียก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มสว่างไสวแต่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดว่า “นี่ถือเป็นการหลอกเพื่อให้สารภาพหรือเปล่า”
หลิวหงเจียงชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเขาคาดไม่ถึงว่าคำพูดพวกนี้จะออกมาจากปากของเด็กสามขวบ จากนั้นเขาจึงหันไปหาไป๋หลี่ซ่างเสีย “นี่หนู ฉันกำลังจัดการคดีนี้อยู่ และคำถามนั้นก็เป็นคำถามสำหรับคุณพ่อของหนู”
“ที่จีนแผ่นดินใหญ่ การที่เด็กสักคนจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ถือเป็นความผิดใช่หรือเปล่า” ไป๋หลี่ซ่างเสียชำเลืองมองผู้เป็นบิดา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจสิ่งที่หลิวหงเจียงพูดอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอนหลัง และพยักหน้าพร้อมมองไปที่หลิวหงเจียงด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง
ไม่รู้ว่าทำไม แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้หลิวหงเจียงรู้สึกหนาวสะท้านจากก้นบึ้งของหัวใจ
อีกอย่าง ทำไมเด็กคนนี้ถึงถามแบบนั้น
นี่เป็นคำถามที่เด็กสามขวบสมควรถามจริงๆ เหรอ
ก่อนที่หลิวหงเจียงจะทันได้ตอบ แขนของเขาก็ถูกมือเล็กๆ ที่ขาวราวกระเบื้องเคลือบนั้นบิดอย่างแรง ความเจ็บปวดอันรุนแรงนั้นทำให้เข่าของเขาอ่อนยวบจนทรุดลงไปนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่กับพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมองไป๋หลี่ซ่างเสียคนที่เขาคิดว่าเป็นแค่เด็กอายุสามขวบ
เมื่อมองจากมุมของเขา ดวงตาของไป๋หลี่ซ่างเสียแดงอย่างมากราวกับเปล่งประกายด้วยแสงจางๆ
ประตูห้องสอบปากคำเปิดผาง มีคนวิ่งเข้ามาข้างในทันที!
ไป๋หลี่ซ่างเสียจำต้องปล่อยมือออก ความสมเพชปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ ของเขา
หลิวหงเจียงโมโหมาก เขาเหวี่ยงมือซ้ายด้วยความเจ็บ แล้วสั่งเสียงสูงว่า “จับเด็กคนนั้นซะ!”
“เอ่อ… ท่านรองครับ เขาเป็นแค่เด็กสามขวบ ตามกฎหมายแล้วพวกเราไม่สามารถจับกุมเขาได้ครับ” ชายที่วิ่งเข้ามาพูดเสียงเบา “คุณพยายามสอบปากคำคนที่อายุมากกว่าแทนดีไหมครับ”
หลิวหงเจียงกัดฟันกรอด ความเจ็บปวดนั้นเป็นของจริงสำหรับเขา แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้แม้แต่อย่างเดียว ความรู้สึกนั้นช่างเลวร้ายเสียไม่มี!
เขารู้ว่าคนพวกนี้เป็นคนรวย ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะให้เกียรติอีกฝ่ายเพื่อความสัมพันธ์อันดีในอนาคต
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับในน้ำใจของเขา เขาก็คงต้องลงมือ!
หลิวหงเจียงหมุนข้อมือ แล้วส่งสัญญาณให้ชายที่อยู่ด้านหลัง
ชายอีกคนรีบเดินเข้ามา ถ้าเทียบกับคนก่อนหน้านี้ สีหน้าของผู้ชายคนนี้ดูแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เขาเดินเข้าไปกระซิบอะไรข้างหูหลิวหงเจียงสองสามคำ
สีหน้าของหลิวหงเจียงเปลี่ยนไป เขาไม่มีกะจิตกะใจที่จะสอบปากคำต่ออีกต่อไป แต่กลับรีบเดินออกไปจากห้องสอบปากคำพร้อมถามว่า “คอมพิวเตอร์อยู่ไหน?! เอาคอมพิวเตอร์มาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
เลขาที่อยู่ข้างเขารีบส่งแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งให้กับเขา บนหน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นๆ แตกพลั่กเหมือนเพิ่งเห็นอะไรบางอย่างมาหมาดๆ
หลิวหงเจียงรับแท็บเล็ตเครื่องนั้นมา แล้วรีบเปิดหน้าเว็บขึ้นมาทันที นอกจากเสียงแล้ว ภาพที่แสดงอยู่ยังมีความชัดเจนอย่างมาก ทุกประโยคที่เขาพูดและทุกสีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเขาล้วนแต่ถูกบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน
เนื่องจากปัญหาบนแพลตฟอร์ม การรีโพสต์และการแสดงความคิดเห็นจึงหลั่งไหลเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ ทุกคนล้วนแต่ตำหนิในการกระทำราวกับสัตว์ป่าของเขา!
“ฉันไม่เคยเห็นคนที่เลวขนาดนี้มาก่อนเลย เขาเห็นลูกตัวเองเป็นสมบัติล้ำค่า แต่กับลูกของคนอื่นล่ะ”
“เขาต้องออกมาอธิบาย! คนแบบนี้ปล่อยให้อยู่ในตำแหน่งสูงมาได้ตั้งหลายปี! ในตู้โดยสารตู้นั้นมีเด็กอยู่เต็มไปหมด และพวกเขาต่างก็เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ตัวเองทั้งนั้น!”
“เพื่อลดปัญหาการค้ามนุษย์ พวกเราคอยเตือนลูกหลานตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าอย่ารับของจากคนไม่รู้จัก อย่าบอกทาง หรือแม้แต่คุยกับคนแปลกหน้า เราทำลายความไร้เดียงสาของเด็กๆ เพื่อปกป้องพวกเขา แต่ความจริงแล้วมันกลับยังไม่พอ มันไม่ใช่การแก้ปัญหาเลยด้วยซ้ำ!”
“ฉันรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ไม่คิดหรือว่าคนคนนี้ให้การปกป้องพวกลักลอบค้ามนุษย์มากเกินไป มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า ฉันขอเรียกร้องให้มีการวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างละเอียด”
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีบทความวิเคราะห์ปรากฏขึ้นบนโลกออนไลน์จริงๆ และนั่นคือสิ่งที่หลิวหงเจียงหวาดกลัวที่สุด…