บทความวิเคราะห์บทเว็บไซต์แตกต่างไปจากบนเว่ยปั๋วที่เขียนขึ้นเพื่อระบายอารมณ์
เนื้อหาในบทความพวกนี้มักจะได้รับการวิเคราะห์มาแล้วอย่างละเอียดเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง
ยิ่งเมื่อมีวีดีโอนี้เป็นข้อมูลต้นฉบับ เว็บไซต์ย่อมไม่เคยขาดแคลนคนที่มีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์มัน
หลิวหงเจียงกดเข้าบทความด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา และสังเกตเห็นว่าคนที่ใช้ชื่อว่าถังเหมินแยกปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ออกมาได้อย่างครบถ้วน แล้วโพสต์คำถามที่เกี่ยวข้องไว้อีกจำนวนหนึ่งในเวลาเพียงสิบนาที
ใช่ คำถามนั่นคือปัญหา
เขาไม่ได้พูดอะไรเป็นการโต้แย้ง แต่กลับตั้งคำถามหกข้อเรียงลงมาเป็นแถว
ชื่อบทความนั้นก็คือ “หกคำถามถึงนายหลิว”
“ข้อแรก ทำไมคุณถึงให้การปกป้องนักค้ามนุษย์”
“ข้อสอง ในฐานะรองผู้กำกับ เด็กจำนวนมากขนาดนั้นผ่านเข้าไปในสถานีรถไฟได้อย่างไร คนตรวจตั๋วไม่สงสัยหรือว่าทำไมถึงมีเด็กตั้งมากมายขนาดนั้นขึ้นรถไฟในเวลาเดียวกัน”
“ข้อสาม การพาตัวเองไปยังสถานที่เกิดเหตุที่เต็มไปด้วยฝุ่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคุณกระมัง ว่าแต่ว่าชู้รักคนไหนที่ทิ้งรอยจูบไว้ที่ซอกคอคุณหรือ หืม?”
“ข้อสี่ เห็นได้ชัดว่าคดีนี้เป็นคดีลักลอบค้าเด็ก ทำไมคุณถึงทำเหมือนมันเป็นแค่การทะเลาะวิวาทกันธรรมดาล่ะ”
“ข้อห้า ก่อนที่ข้อมูลจะถูกปล่อยออกมา คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีทั้งหมดห้าคน ซึ่งหมายความว่าคุณต้องนำตัวคนทั้งห้าเข้ารับการสอบปากคำ คุณสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่าทำไมคุณถึงข้ามอู๋ลิ่วที่เป็นผู้ต้องหาหลักในคดีลักลอบค้าเด็กไป และสอบปากคำผู้บริสุทธิ์ทั้งสี่ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเพียงเพราะว่าพวกเขากำลังตามหาลูกตัวเอง”
“ข้อหก คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับอู๋ลิ่ว ผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีลักลอบค้าเด็กคนนี้”
“อีกอย่างหนึ่ง ในประเทศนี้ ใช่ว่านักค้ามนุษย์ทุกคนจะถูกลงโทษด้วยการยิงเป้าเสียเมื่อไหร่ มาตรา 240 ในประมวลกฎหมายอาญาระบุเอาไว้ว่ามีแต่คนที่เกี่ยวข้องกับคดีลักลอบค้าเด็กระดับร้ายแรงเท่านั้นถึงจะได้รับโทษประหารชีวิต และยึดทรัพย์ ดูเหมือนเจ้าคนแซ่หลิวคนนี้น่าจะหัดหยิบหนังสือประมวลกฎหมายของตัวเองออกมาอ่านเสียบ้างนะ”
บทความวิเคราะห์นี้ถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือแฟนๆ ทันทีที่ถูกโพสต์ลง
มันกลายเป็นกระแสไปทั่วทั้งโลกอินเตอร์เน็ต ส่วนหลิวหงเจียงในโลกแห่งความเป็นจริงถึงกับยกแท็บเล็ตในมือขึ้นแล้วทุ่มมันลงบนพื้นทันที!
“หาวิธีลบบทความพวกนี้เดี๋ยวนี้!”
เลขาที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากคิ้ว “หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับการแจ้งให้ลบมันแล้วครับ แต่เราไม่สามารถลบมันได้ตลอดเวลาเพราะอาจจะทำให้พวกระดับสูงสังเกตเห็นมันได้ในไม่ช้าครับ อีกอย่างหนึ่งไม่ว่าเราจะลบบทความนี้ไปสักเท่าไหร่ ในอีกไม่กี่วินาทีก็จะมีบทความโผล่ขึ้นมาอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนครับ พวกเราสามารถขัดขวางไม่ให้ประเด็นนี้ขึ้นเทรนด์ในเว่ยปั๋วได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถทำให้มันหายไปหมดได้ครับ โชคดีที่มันไม่ได้ลุกลามไปไกลนัก ตราบใดที่คุณอธิบายตัวเองให้นักข่าวฟังได้ว่าวีดีโอนี้มีต้นตอมาจากไหน พวกเราก็ยังพอจะมีโอกาสในการแก้ตัวครับ”
“เอาอย่างที่นายว่าก็แล้วกัน” หลิวหงเจียงปลอบตัวเองให้ใจเย็นลง “คิดหาวิธีหยิบยกประเด็นอื่นขึ้นมาซะ ทุกอย่างย่อมผ่านไปได้ด้วยดีตราบใดที่ประเด็นนี้หมดความนิยมไป ฉันจะจัดแถลงข่าวแล้วบอกพวกเขาว่าร่องรอยในที่เกิดเหตุบ่งบอกว่ามีการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้นบนรถไฟจริง และฉันไม่เคยให้การปกป้องนักค้ามนุษย์ ฉันเองก็เป็นพ่อแม่ที่ถูกนักค้ามนุษย์เล่นงานเหมือนกัน เหิงเหิงของฉันหายตัวไป ดังนั้นฉันย่อมยืนอยู่ข้างเดียวกันกับพวกเขา นั่นจึงทำให้ฉันถามผู้ต้องสงสัยแบบนั้น”
หลังจากจดประเด็นสำคัญพวกนั้นเสร็จ เลขาจึงถามต่อว่า “คุณตั้งใจจะใช้ผู้หญิงคนนั้นเป็นแพะหรือครับ”
“เราต้องมีคำอธิบายให้กับเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้น ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์อย่างมาก มิหนำซ้ำเธอยังแอบติดตั้งกล้องเอาไว้อีก จากนี้ฉันจะไม่ไปสอบปากคำเธออีก พวกนายช่วยจับตาดูบนเน็ตและระวังอย่าให้บทความนั้นดังขึ้นมาได้ก็พอ”
“รับทราบครับ” เลขามั่นใจว่าเขาสามารถทำได้ อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมันจำต้องได้รับการควบคุมไปสักระยะหนึ่ง
ทั้งหลิวหงเจียงและเลขาที่เดินตามเขาต่างเบนความสนใจของตัวเองไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย นอกจากนั้นพวกเขายังนำเครื่องรบกวนสัญญาณมาวางไว้ในห้องที่เธออยู่เพื่อสร้างเสียงรบกวนให้กับหูฟังของเธอเป็นระยะอีกด้วย
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าความจริงแล้ว คนที่มีไพ่ซ่อนอยู่ในมือมากที่สุดไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวย แต่เป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ในห้องสอบปากคำอีกห้องหนึ่ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ เสียงไฟฟ้าช็อตดังขึ้นทันทีที่เขาเคลื่อนสายตาขึ้นมองกล้องวงจรปิด
เมื่อไร้ซึ่งการจับตามอง หมอกสีดำหนาทึบก็พลันพุ่งออกมาจากด้านหลังของเขา และสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกสีดำกลุ่มนั้นก็คือบรรดาปีศาจที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้นั่นเอง
เงาสีดำร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศในร่างมนุษย์ ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น “นายท่านขอรับ ดูเหมือนชายแซ่หลิวคนนั้จะกลัวว่าวีดีโอที่พระชายาถ่ายไว้จะกลายเป็นประเด็น เขาจึงตั้งใจว่าจะจัดงานแถลงข่าวขึ้นขอรับ พวกเราควรหยุดเขาหรือเปล่า”
“ไม่จำเป็น” แม้บนใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะยังคงมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของเขากลับเย็นชา “ถ้าเราหยุดเขาตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ เอาเงินอีกสักล้านไปซื้อพื้นที่ให้มันดังซะ พระชายาเป็นคนถ่ายคลิปนี้ดังนั้นแน่นอนว่าฉันย่อมอยากให้มีคนเห็นมันมากยิ่งขึ้น ในเมื่อเขาอยากจัดงานแถลงข่าวให้คนรู้พฤติกรรมสกปรกของตัวเองนัก เช่นนั้นเราก็ช่วยเขาสักหน่อยก็แล้วกัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนขึ้นพร้อมสูทที่พาดอยู่ในมือ จากนั้นจึงเดินไปที่ประตูของห้องสอบปากคำ ตัวล็อกของประตูที่เดิมเคยถูกลงกลอนเอาไว้กลับบิดเบี้ยวจนผิดรูปเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้
แกร็ก
ประตูห้องเปิดออกราวกับตอบรับ
ผมสีเงินของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทอประกายราวกับผืนน้ำภายใต้ดวงตะวัน
แม้กระทั่งผู้ส่งสาส์นจากนรกก็ยังไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าผู้ชายคนนี้ เวลาบนโลกมนุษย์ราวกับถูกแช่แข็ง
ผู้คนที่เดินอยู่ในโถงทางเดินต่างหยุดชะงักและไม่อาจเคลื่อนไหว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินผ่านพวกเขาไปด้วยท่าทางสง่างามพร้อมกับเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตบูชาปีศาจที่ดังก้องไปทั่วทั้งโถง
ไป๋หลี่ซ่างเสียเดินตามอยู่ข้างหลังเขา ดวงตาของเขาสว่างจ้ายิ่งกว่าครั้งใด
ยมทูตสองตนที่อยู่แถวนั้นต่างย่อตัวลงและซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่ง พวกเขายื่นหน้าออกไปแอบมองพร้อมกับเอ่ยว่า “ทำไมสองคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ พวกเขาออกมาจากห้องสอบปากคำทำไม”
“ชู่ ลดเสียงลงหน่อย ราชาปีศาจอาจไม่สนใจพวกเรา แต่เจ้าหนูคนนั้นก็ไม่แน่ ยมทูตอย่างพวกเราเป็นแค่ของเล่นสำหรับเขาเท่านั้น เงียบซะ!”
ยมทูตอีกตนหนึ่งคิดในใจ : … นายบอกให้ฉันเงียบ แต่ตัวเองกลับเสียงดังขนาดนี้เนี่ยนะ องค์ชายปีศาจตัวน้อยนั่นมายืนอยู่ข้างหลังนายแล้ว ไอ้โง่เอ๊ย!
“ยมทูตสองตนหรือ” ไป๋หลี่ซ่างเสียมองพวกเขาอย่างเย็นชา แล้วยื่นมือเล็กๆ ออกไปจิ้มศีรษะของพวกเขา “ช่วงนี้ฉันไม่ชอบเล่นกับยมทูตเสียด้วยสิ”
ยมทูตทั้งสองคิดในใจว่าขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดงานอดิเรกอันโหดเหี้ยมเกินมนุษย์นั่นก็ได้รับการแก้ไขเสียที!
“แต่น้องชายของฉันจะต้องถูกใจแน่ เขาไม่เคยเล่นกับยมทูตมาก่อน” น้ำเสียงของไป๋หลี่ซ่างเสียจริงจังอย่างมาก “จับไว้ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยเอาให้เขาทีหลัง”
ยมทูตสองตนคิดในใจ ท่านมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว! ลำพังแค่องค์ชายปีศาจตัวน้อยแค่คนเดียวก็ทำพวกเขาลำบากเกินพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับมีคนที่สองโผล่มาหรือ ไม่นะ!
แต่ไป๋หลี่ซ่างเสียก็ยังเป็นพี่ชายที่คิดถึงเสี่ยวชิงเฉิงอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงลากยมทูตสองตนนั้นติดมือมาด้วย แล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินตามผู้เป็นบิดาไป…