ตอนที่ 918 ช่วยชีวิต
ก่อนที่หญิงวิกลจริตจะทันเห็นว่าเป็นใคร หล่อนก็ถูกเตะอย่างรุนแรงจนล้มกระแทกพื้นพร้อมกับน้ำฝนที่สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
แต่ขณะที่ถูกโจมตี หญิงวิกลจริตได้ออกแรงจ้วงแทงไปที่แขนขวาของฟางจั๋วหรานด้วยดาบปลายปืนในมือแล้ว
และฟางจั๋วหรานไม่สามารถหลบหลีกได้เนื่องจากอาการบาดเจ็บ
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ หลินม่ายผลักฟางจั๋วหรานออกไปอย่างแรง
ดาบปลายปืนของหญิงวิกลจริตจึงฟันแขนของหลินม่ายจนแขนเสื้อขาดวิ่นพร้อมเลือดที่ไหลทะลักออกมา
ฟางจั๋วหรานเปลี่ยนจากความตื่นตระหนกเป็นความเสียใจทันที เขาร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “ภรรยา!”
ในเวลานี้หลินม่ายอยู่ในสภาพย่ำแย่ ชุดถักสีครีมของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนและสิ่งสกปรก เสื้อกันลมหายไป ถุงน่องหนาสีดำที่ขาของเธอขาดหลายรู และผมของเธอมันเยิ้ม
เธอไม่มีมาดของนักธุรกิจสาวจอมเนี้ยบยามปกติ แต่กลับมาอยู่ในสภาพไม่ต่างจากยาจก
เธอถอนหายใจและไม่แม้แต่จะเหลือบมองฟางจั๋วหราน แล้วนับประสาอะไรกับอาการบาดเจ็บที่แขน เธอรีบเดินไปทางหญิงเสียสติทันที
เธอเตะหญิงวิกลจริตอย่างแรง จนทำให้อีกฝ่ายหมดสติไป
จากนั้นเธอก็ดึงเชือกออกจากช่องเก็บของด้านหลังรถเบนซ์ อดกลั้นความเจ็บปวดที่แขนและพยายามมัดหล่อนไว้ให้แน่น
หลังจากทำทุกอย่างแล้ว เธอกลับมาหาฟางจั๋วหรานและนั่งลงใต้ต้นไม้กับเขา ขณะรอความช่วยเหลือด้วยความเหนื่อยล้า
ฟางจั๋วหรานจับแขนข้างที่บาดเจ็บของเธอมาสำรวจดู บาดแผลลึก เนื้อส่วนที่ถูกบาดเปิดชัดและมีเลือดไหลไม่หยุด
แต่ขณะนี้ไม่มียาห้ามเลือดเลยสักอย่าง จึงทำได้เพียงห้ามเลือดทางกายภาพเท่านั้น
และสิ่งที่เรียกว่าการห้ามเลือดทางกายภาพคือ การห้ามเลือดแบบบีบอัดเฉพาะที่
หากแผลเล็กก็ไม่ต้องใช้แรงมาก แค่ใช้สองนิ้วกดที่แผลเพื่อห้ามเลือดออก
แต่บาดแผลของหลินม่ายนั้นลึกและยาวมาก จนไม่สามารถห้ามไว้ได้ด้วยสองนิ้ว และต้องกดฝ่ามือลงบนบาดแผลอย่างแน่นหนาเพื่อห้ามเลือด
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าลายตารางที่สะอาดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ปิดแผลที่แขนของหลินม่าย ก่อนใช้ฝ่ามืออุ่นปิดมันและออกแรงกด
ในยามปกติ การออกแรงแค่นี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา
แต่ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส การกระทำแสนง่ายดายนี้แทบทำให้เขาเจ็บเจียนตาย
ทันทีที่ออกแรงกด ความเจ็บปวดจากหน้าอกนั้นรุนแรงมากจนเขารู้สึกว่าวิญญาณของตัวเองสั่นคลอน
เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานเหงื่อออกเยอะมากหลังจากกดแผลให้เธอเพียงไม่กี่นาที หลินม่ายจึงถามอย่างสงสัย “คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเปล่า?”
ฟางจั๋วหรานฝืนยิ้ม “จะว่าบาดเจ็บก็บาดเจ็บอยู่ แต่ไม่ได้ถึงกับสาหัส”
เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ สภาพของเขาตอนนี้ย่ำแย่อย่างมาก จนเป็นไม่ได้ที่ภรรยาของเขาจะมองไม่เห็นเบาะแสใด ๆ
แต่เขาพูดความจริงไม่ได้ เพราะอาจทำให้ภรรยากังวลใจ
หลินม่ายรู้สึกกระวนกระวายใจทันทีและพูดว่า “คุณได้รับบาดเจ็บที่ไหน? ขอฉันดูหน่อย”
“บริเวณขา กลับไปก่อนค่อยดูก็ได้ มันเจ็บน่ะ อย่าทรมานผมเลย”
เมื่อหลินม่ายได้ยินว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่ขา เธอก็รู้สึกโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่แผลที่ทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย
ต่อให้ฟางจั๋วหรานจะพิการเพราะเหตุนี้ เธอก็ไม่สนใจ ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่
ฟางจั๋วหรานพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อหยุดเลือดของหลินม่าย ก่อนจะเอนหลังพิงต้นไม้พลางหอบหายใจหนัก ขณะจับมือเล็กของอีกฝ่ายพลางมองเธอด้วยความถวิลหาอย่างไม่สิ้นสุด
ชายวัยสามสิบอดไม่ได้ที่จะสะอื้นไห้ “ภรรยา ผมกลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียคุณไป”
หลินม่ายเอาหัวซบไหล่ของเขา “คุณจะไม่สูญเสียฉันไปหรอกค่ะ เพราะฉันทนไม่ได้ที่แยกทางกับคุณ เรายังมีลูกน้อย โต้วโต้ว คุณปู่ และคุณย่า”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันทนไม่ได้ที่จะแยกจากทุกคนไป การมีชีวิตอยู่นั้นแสนวิเศษ เพราะมีเพียงตอนที่ฉันมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงจะได้อยู่กับพวกคุณทุกคน”
ฟางจั๋วหรานต้องการโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ทว่าหน้าอกของเขาเจ็บปวดมากจนแทบไม่สามารถขยับร่างกายได้
เขาทำได้เพียงกระชับมือหลินม่ายให้แน่นขึ้นและมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “คุณเป็นอะไรมากไหม ผู้หญิงวิกลจริตคนนั้นทำร้ายคุณหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะ หล่อนไม่ได้มีความสามารถถึงขนาดนั้น”
หลินม่ายเล่าให้ฟังว่าตอนที่หญิงวิกลจริตซุ่มโจมตีเธอจากด้านหลัง เธอหมดสติไปและถูกพาตัวขึ้นรถ จากนั้นหล่อนฉีดยาบางอย่างที่ทำให้หลินม่ายรู้สึกอ่อนเพลียและเซื่องซึม
แต่เธอฝืนกัดลิ้นของตัวเอง ดื้อดึงไม่ปล่อยให้ตัวเองผล็อยหลับไป
หญิงวิกลจริตคนนั้นพูดกับตัวเองตลอดทาง เกี่ยวกับความรักของหล่อน
สักพักหนึ่งหล่อนก็ด่าทอว่าไอ้สวะ สักพักก็ด่าเธอว่าแย่งแฟนหล่อนไป
หญิงวิกลจริตคนนั้นพูดไม่หยุด แล้วยังบอกด้วยว่าหล่อนเป็นทหารหน่วยรบพิเศษที่เกษียณแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาความสัมพันธ์ หล่อนก็คงยังอยู่ในกองทัพอย่างกล้าหาญ
หญิงวิกลจริตเริ่มพูดอย่างตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดกะทันหัน ลากหลินม่ายลงจากรถและทุบตีอย่างรุนแรง
หลินม่ายแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกตัวเพื่อตบตาหญิงสาววิกลจริต และทนถูกอีกฝ่ายทุบตีอย่างต่อเนื่อง
หลังจากผ่านไปราว 5 ถึง 6 ชั่วโมง หญิงวิกลจริตก็พาเธอไปยังบ้านไร่ที่เงียบสงบและไม่มีใครอยู่ ซึ่งอยู่ที่เมืองหม่าถี
เพราะเธอแสร้งทำเป็นหมดสติระหว่างทาง เธอจึงไม่ตอบสนองต่อการทุบตี และหญิงวิกลจริตก็ไม่สงสัยเธอ
หลังจากถูกมัดมือมัดเท้าจนแน่น หล่อนก็ออกไปกินข้าว
ด้วยประสบการณ์การถูกลักพาตัวในฮ่องกง หลินม่ายจึงพกมีดพับขนาดเล็กติดตัวมาโดยตลอด
ระหว่างทางเธอหยิบมีดพกออกมาจากกระเป๋าและถือมันไว้ในมือ
ทันทีที่หญิงวิกลจริตออกไป เธอใช้มีดพับตัดเชือกที่มือและเท้า
อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถหลบหนีได้เนื่องจากฤทธิ์ของยายังไม่หมดลง ซึ่งทำให้เธออ่อนแอและไม่สามารถวิ่งได้ไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากต้องทนการทุบตี
นอกจากนี้หญิงวิกลจริตเพิ่งออกไปหาข้าวกินและน่าจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้ มันจึงมีความเสี่ยงอย่างมากที่ทั้งสองจะเจอกันระหว่างทาง
หล่อนเป็นถึงทหารหน่วยรบพิเศษ แทบไม่ต้องพูดถึงหลินม่ายที่ถูกวางยาและได้รับอาการบาดเจ็บ
และต่อให้เธอไม่ถูกวางยาและได้รับบาดเจ็บ แต่เธอก็ไม่มีความมั่นใจมากนักว่าจะปราบอีกฝ่ายได้
หลินม่ายจึงซ่อนตัวอยู่ในโรงฟืนเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน
หลังจากที่หญิงวิกลจริตกลับมาและพบว่าหลินม่ายหายไป หล่อนคิดว่าหลินม่ายหนีไปแล้วและพยายามค้นหาทั่วบริเวณอยู่นาน แต่ก็หาไม่พบ
ดังนั้นหล่อนจึงเดินไปยังลานเล็ก ๆ ของฟาร์มและไม่ออกไปไหนอีกนอกจากกินข้าว ซึ่งหลินม่ายไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
หลินม่ายต้องอดทนและซ่อนตัวอยู่ในโรงฟืนต่อไปอีกหลายวัน
เธอไม่กล้าหนีจนกว่าหญิงเสียสติจะขับรถเบนซ์ของเธอออกไป
หลังจากได้ยินคำบรรยายของหลินม่าย ฟางจั๋วหรานรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก
เขาถามคำเบา “อาการบาดเจ็บยังสาหัสอยู่ไหม?”
หลินม่ายส่ายหัว “มันเจ็บมากเลยตอนที่ฉันถูกทุบตี แต่หลังจากซ่อนตัวอยู่ในโรงฟืนสองถึงสามวัน มันก็ไม่เจ็บอีกแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ ท้องของเธอก็ส่งเสียงร้องดังลั่น
ฟางจั๋วหรานมองท้องของเธอพลางรู้สึกเสียใจ
ตอนที่เขาออกมา ทำไมเขาถึงไม่คิดนำอาหารแห้งติดตัวมาให้ภรรยาบ้าง
เขาปลอบโยนหล่อน “เมื่อมีคนพบเราแล้ว คุณจะได้กินให้เต็มที่ แต่รออีกหน่อย”
หลินม่ายตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ค่อยหิว ตอนที่วิ่งหนีออกมา ฉันกินไข่ทั้งหมดในบ้านของหญิงเสียสติ ไม่อย่างนั้นฉันจะมีแรงเตะผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง?”
ฟางจั๋วหรานยิ้มให้กับเธอ “ผมมาที่นี่เพื่อช่วยคุณ แต่กลับต้องขอให้คุณช่วยผมแทนเสียแล้ว”
หลินม่ายจับมือใหญ่ของชายหนุ่ม “ก็เราเป็นสามีภรรยากันยังไงล่ะคะ”
ฟางจั๋วหรานรู้สึกดีมากเมื่อได้ยินประโยคนี้
เขาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “แล้วคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? คุณแอบตามหญิงวิกลจริตคนนั้นมาเหรอ?”
หลินม่ายเหลือบมองเขา “คุณคิดว่าสองขาของฉันจะวางได้เร็วกว่ารถสี่ล้อเหรอ ฉันจะติดตามหล่อนมาได้ยังไง? ยิ่งกว่านั้น ฉันไม่รู้ว่าหล่อนจะหลอกคุณและพาคุณมาที่นี่เพื่อทำร้าย ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะติดตามหล่อนมา ฉันแค่พยายามอยู่ให้ไกลจากหล่อน มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่ฉันมาที่นี่ ฉันหนีออกมาและวิ่งมาถึงบริเวณนี้ ก่อนจะสังเกตเห็นรถเบนซ์ของฉันจอดอยู่ใกล้เนินเขาตรงทางเข้าเมืองหม่าถี เพื่อความปลอดภัย ฉันซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้เนินเขา โดยวางแผนว่าจะรอให้หญิงเสียสติคนนั้นขับรถเบนซ์ของฉันออกไปก่อน เพื่อที่จะหลบหนีต่อ ฉันดันพบคุณที่นี่โดยไม่คาดคิด และเห็นคุณกับผู้หญิงเสียสติขับรถชนกัน ก่อนที่คุณทั้งคู่ก็ตกลงไปในหุบเขา ฉันจึงไล่ตามลงไปในหุบเขาเพื่อพยายามช่วยเหลือคุณ แต่ฉันเห็นว่าหญิงเสียสติคนนั้นโชคดีกว่าคุณมาก หล่อนลงจากรถเมอร์เซเดส-เบนซ์โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ฉันจึงต้องซ่อนตัวอีกครั้งและรอโอกาสลงมือ ในที่สุดฉันก็เห็นโอกาสที่จะจัดการกับหล่อน”
ฟางจั๋วหรานยิ้มพลางกล่าว “ภรรยาของผมน่าทึ่งมาก ต่อจากนี้ไปผมคงต้องพึ่งพาคุณในการปกป้องผมแล้ว”
หลินม่ายพูดอย่างภาคภูมิใจ “จะไม่ให้ฉันเก่งได้ยังไง ไม่อย่างนั้นมันคงเสียเงินเปล่าประโยชน์ที่คุณต้องจ่ายเงินราคาแพงให้ฉันเรียนศิลปะการต่อสู้”
เธอมองฟางจั๋วหรานด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันเห็นหญิงเสียสติเตะคุณอยู่หลายครั้ง คุณเป็นอะไรมากไหม?”
ฟางจั๋วหรานฝืนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “หล่อนจะทำร้ายคนตัวโตอย่างผมได้ยังไง?”
แต่ทันทีที่พูดจบ เขากลับอาเจียนออกมาเป็นเลือดกองโต
เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่สบอารมณ์และสาปแช่งอยู่ในใจ นี่เขาบอบบางถึงขนาดกระอักเลือดออกมาขณะพูดเลยเหรอ
เมื่อหลินม่ายเห็นสิ่งนี้ เธอยิ่งกระวนกระวายพลางถามด้วยเสียงสั่นเครือ “จั๋วหราน คุณเป็นอะไรไป?”
ฟางจั๋วหรานปลอบโยนเธอด้วยรอยยิ้ม “ผมสบายดี แค่รู้สึกเจ็บหน้าอกนิดหน่อย คุณไม่ต้องกังวล”
เขายกมือขึ้นมาพยายามปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของหลินม่าย
อย่างไรก็ตาม มือทั้งสองกลับร่วงหล่นอย่างไร้เรี่ยวแรงกลางอากาศ ดวงตาทั้งสองค่อย ๆ ปิดลง ก่อนที่ทั้งร่างของชายหนุ่มจะเริ่มเอนเอียงไปหาหลินม่ายอย่างไม่สามารถควบคุม
หลินม่ายตกใจจนแทบสิ้นสติ
เธออยากกอดฟางจั๋วหรานไว้ในอ้อมแขนของเธอ แต่ก็กลัวว่าการกอดครั้งนี้จะทำให้อาการบาดเจ็บของเขาแย่ลงกว่าเดิม
เธอเอาแต่เรียกชื่อของเขา โดยบอกว่าห้ามหลับเด็ดขาด
เธอกลัวว่าเมื่อเขาหลับไปแล้ว เขาอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
ฟางจั๋วหรานให้ความร่วมมือโดยการพยายามลืมตา และรักษาให้อยู่ในสถานะกึ่งตื่น
ทุกครั้งที่หลินม่ายเรียกชื่อ เขาจะตอบกลับอย่างอ่อนแรง
หญิงวิกลจริตฟื้นคืนสติกลับมา เมื่อเห็นว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นและถูกมัดอย่างแน่นหนา หล่อนก็พ่นคำสาปแช่งมากมายขอให้หลินม่ายและฟางจั๋วหรานไม่ตายดี
เสียงของหล่อนดังก้องไปทั่วบริเวณ ซึ่งดึงดูดความสนใจจากตำรวจที่กำลังมองหาฟางจั๋วหรานและภรรยา
ต้องขอบคุณน้าทังที่แจ้งตำรวจ กระทั่งพวกเขาดำเนินการโดยเร็วและทันเวลา
หลังจากที่ฟางจั๋วหรานจากไป น้าทังแทบนอนไม่หลับขณะคอยดูแลทารกน้อย
หลังจากพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงราวหนึ่งหรือสองชั่วโมง หล่อนก็ลุกขึ้นเพื่อไปเคาะห้องคุณปู่และคุณย่าฟาง
บอกพวกเขาว่าฟางจั๋วหรานออกไปข้างนอก และยังไม่ได้กลับมาแม้ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว
คู่สามีภรรยาสูงวัยกระวนกระวายใจมาก พวกเขายังหาหลานสะใภ้ไม่เจอ หลายชายคนโตก็หายตัวไปอีก
คุณปู่ฟางโทรหาตำรวจและขอให้ช่วยตามหาหลานชายคนโตโดยเร็ว
ตามการปฏิบัติตามปกติ ตำรวจค้นห้องนอนของฟางจั๋วหรานเพื่อหาเบาะแส ก่อนเห็นกระดาษโน้ตที่ฟางจั๋วหรานทิ้งไว้
ตามข้อความในกระดาษ ตำรวจรีบไปยังเมืองหม่าถี และในที่สุดก็พบกับทั้งคู่
ทันทีที่หลินม่ายเห็นตำรวจ เธอร้องไห้พลางตะโกนอย่างตื่นเต้น “คุณตำรวจคะทางนี้ ช่วยสามีของฉันด้วย!”
ฟางจั๋วหรานเตือนเธอด้วยเสียงอันอ่อนแอ “ภรรยาของผมได้รับบาดเจ็บสาหัสที่แขน อย่าลืมรักษาเธอด้วย”
20 นาทีต่อมา เตียงของฟางจั๋วหรานถูกผลักเข้าไปในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมืองหม่าถี
อย่างไรก็ตาม สภาพความพร้อมของโรงพยาบาลในเมืองนั้นย่ำแย่เกินไป การวินิจฉัยยืนยันว่าฟางจั๋วหรานอาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากซี่โครงหักจนทะลุปอด ซึ่งพวกเขาไม่มีเครื่องมือเพียงพอที่จะทำการรักษา
สิ่งที่พวกเขาทำได้คือรักษาอาการบาดเจ็บให้คงที่ เพื่อซื้อเวลาให้ฟางจั๋วหรานขณะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลประจำเขตเพื่อรับการรักษา
เนื่องจากอาการบาดเจ็บรุนแรงเกินไป โรงพยาบาลประจำเขตจึงลังเลที่จะรักษาเขา ก่อนสั่งย้ายฟางจั๋วหรานไปยังโรงพยาบาลโหย่วเหอในเมืองหลวง
หลังจากส่งตัวไปหลายต่อกระทั่งสี่โมงเย็น ในที่สุดฟางจั๋วหรานก็ถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลโหย่วเหอ
หลังจากได้รับข่าว คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรีบตามไปที่โรงพยาบาล และสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหลินม่ายซูบผอมลงในเวลาเพียงไม่กี่วัน
แขนข้างหนึ่งยังพันด้วยผ้าก๊อซสีขาว พวกเขาจึงรีบซื้อซุปไก่ให้เธอดื่ม
แต่หลินม่ายจะอยู่ในอารมณ์อยากดื่มซุปไก่ได้อย่างไร
เธอวางซุปไก่ไว้ด้านข้างและนั่งอยู่นอกห้องผ่าตัดกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง ขณะรอให้ฟางจั๋วหรานได้รับการผ่าตัดเสร็จและถูกผลักเตียงออกจากห้องอย่างปลอดภัย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจ็บตัวกันทั้งคู่เลย แต่ก็ยังดีที่มีชีวิตอยู่
ส่วนหญิงบ้าคนนั้นจับขังลืมไปเลยนะคะ อย่าให้ออกมาทำร้ายคนอีกเลย
ไหหม่า(海馬)