ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองบุตรชายก่อนเอ่ยด้วยเสียงอันสงบว่า “เจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เจ้าจะเล่นกับของเด็กเล่นพรรค์นี้ไปทำไม”
ยมทูตทั้งสองคิดในใจ : ของ… ของเด็กเล่นหรือ ราชาปีศาจใช้คำพูดนั้นมานิยามพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาเป็นถึงยมทูต เป็นผู้เก็บเกี่ยววิญญาณเชียวนะ พวกเขาออกจะแข็งแกร่งและทรงอำนาจจะตายไป!
ไป๋หลี่ซ่างเสียยังคงมีท่าทีเย็นชา “ผมจับพวกมันมาให้น้องเล่นต่างหาก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากรู้ว่าพวกมันเป็นของให้ชิงเฉิง ยมทูตเป็นของเล่นเหมาะมือสำหรับปีศาจน้อยเพราะพวกมันไม่สามารถฆ่าได้
ยมทูตเหล่านั้นแทบจะหลั่งน้ำตาทันทีที่แอบมองเข้าไปในความคิดของราชาปีศาจ สรุปว่าสาเหตุที่ทำให้พวกเขาได้รับความโปรดปรานจากองค์ชายปีศาจตัวน้อยตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาฆ่าไม่ตายหรือ?!! นี่มันรังแกกันชัดๆ! ที่ผ่านมาพวกมันหลงคิดว่าองค์ชายปีศาจตัวน้อยเห็นค่าในตัวพวกมันเพราะความงามของพวกมันเสียอีก!
เมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าของสองยมทูตดูอึมครึม ไป๋หลี่ซ่างเสียก็ใช้มือเล็กๆ จิ้มศีรษะพวกมันแล้วสั่งว่า “น้องชายคงไม่ชอบ ยิ้มสิ”
ยมทูตเหล่านั้นรีบบังคับให้ตัวเองยิ้มออกมาราวกับดอกไม้แรกแย้ม ฟันที่แทงออกมาจากใบหน้าซีดเซียวนั้นทำให้พวกเขาดูน่าขันอย่างมาก
ไป๋หลี่ซ่างเสียโน้มตัวลงและจับตามองพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอำนาจ “ช่างเถอะ ทำหน้าตาตามปกติก็แล้วกัน พวกแกสองคนยิ้มแล้วน่าเกลียดเกินไป น้องชายฉันได้ตกใจกลัวกันพอดี”
ยมทูตทั้งสองแทบกระอักเลือด! พวกเขาเสียใจอย่างมากที่มาเก็บวิญญาณคนตายที่นี่ ฮึก พวกเราคิดถึงยมโลก ถึงบุตรแห่งราชานรกจะเป็นคนชั่วร้ายเหมือนกัน แต่เขาก็สนใจแค่คนรักของตัวเองจนไม่มีเวลามากลั่นแกล้งพวกเขา แต่องค์ชายปีศาจตัวน้อยกลับแตกต่างออกไป เขาทำอย่างกับว่าพวกเขาเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ไม่มีผิด! ทำไมชีวิตพวกเขามันถึงได้ลำบากขนาดนี้!
ไป๋หลี่ซ่างเสียลากสองยมทูตติดไปตลอดทางสู่งานแถลงข่าว ซึ่งก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือการช่วยเปิดทาง ทันทีที่พวกเขามาถึง ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นยะเยือกอันยากอธิบาย พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าทำไมจู่ๆ อากาศในห้องประชุมแสนสบายแห่งนี้ถึงได้เย็นลงกะทันหัน
ตอนที่บรรดานักข่าวตั้งใจจะลุกไปรินน้ำอุ่นให้ตัวเองสักแก้ว พวกเขาก็เห็นหลิวหงเจียงเดินเข้ามาอย่างอ่อนล้าพร้อมเลขาประจำตัว
“พวกคุณคงมารอกันอยู่นานแล้ว” หลิวหงเจียงแสร้งเล่นละครเหมือนก่อนหน้านี้ เขาถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางสง่า “เริ่มถามคำถามได้เลยครับ”
นักข่าวเหล่านั้นย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน แต่พวกเขาเป็นนักข่าวที่เคยทำงานกับหลิวหงเจียงมาก่อน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะเข้าข้างหลิวหงเจียงขณะถามคำถามเขา “ท่านคิดอย่างไรกับบทความออนไลน์พวกนั้นครับ”
“ปัญหาเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้สำหรับพวกเราซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงอยู่แล้วครับ ความคิดชั่วช้าพวกนั้นมีแต่จะผลักดันให้ผมตั้งมาตรฐานตัวเองสูงขึ้น ความจริงผมเองก็คิดว่าคดีนี้เป็นคดีลักลอบค้ามนุษย์มาตั้งแต่แรก แต่ไม่มีผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมระหว่างทำการซื้อขายในที่เกิดเหตุ และเนื่องจากเรายังมีหลักฐานไม่เพียงพอ ดังนั้นผมจึงทำการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยคนอื่นๆ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ผู้ก่อเหตุตัวจริงรู้ตัว” หลิวหงเจียงพยายามพูดปกป้องตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
บรรดานักข่าวดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นเรื่องนั้น พวกเขาถามต่อทันทีหลังจากหลิวหงเจียงพูดจบ “ท่านคิดว่านักค้ามนุษย์ตัวจริงก็คือผู้ต้องหาหญิงที่ท่านสอบปากคำหรือครับ”
“ถูกต้องครับ” หลิวหงเจียงมองกล้อง เขาจงใจใช้การถ่ายทอดสดเพื่อเรียกคะแนนจากประชาชนกลับคืนมา “คนส่วนมากบนอินเตอร์เน็ตไม่เข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไร และตัดสินผมโดยอ้างอิงจากคลิปวีดีโอสั้นๆ เพียงคลิปเดียว ลูกชายของผมหายตัวไปจริงๆ ตอนที่ผมต่อสู้กับนักค้ามนุษย์ไม่เคารพกฎหมายเหล่านี้ ผมเองก็เตรียมใจรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว แต่ผมนึกไม่ถึงเลยว่าการแก้แค้นของพวกเขาจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เพื่อบังคับให้ผมยอมประนีประนอม พวกเขาถึงกับลักพาตัวลูกชายของผมไป และจงใจใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อสร้างความสับสนให้กับประชาชนด้วยการควบคุมสิ่งที่พวกเขาสามารถได้ยินหรือมองเห็นได้ ผมก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายเหมือนกัน การหายตัวไปของลูกชายย่อมทำให้เป็นกังวลยิ่งกว่าใคร แต่ผมรู้ว่าถ้าผมต้องการนำคนทั้งหมดนั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สิ่งเดียวที่ผมทำได้มีแต่ต้องกัดกระสุนและดำเนินการสืบสวนเรื่องนี้ต่อไปเท่านั้น นี่คือทั้งหมดที่ผมสามารถพูดได้ในเวลานี้ครับ”
คำพูดของหลิวหงเจียงฮึกเหิมเร่าร้อนและน่าประทับใจอย่างมาก ผู้ชมหน้าจอโทรทัศน์อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นฝ่ายผิด บางทีพวกเขาอาจจะเข้าใจหลิวหงเจียงผิดไป อย่างไรรองผู้กำกับคนนี้ก็มีชื่อเสียงยอดเยี่ยมมาโดยตลอด
ตอนนี้เขากำลังถูกแก้แค้นเพราะทำการสอบสวนนักค้ามนุษย์ เขาไม่ได้เพียงแค่เสียลูกชายไป แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังต้องเสียหายอย่างมากด้วยฝีมือคนพวกนั้น
โชคดีที่พวกเขาได้รู้ความจริงทันเวลา ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้เสียรองผู้กำกับดีๆ ที่คอยดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนไปอีกคน
ชาวเน็ตบางส่วนเริ่มพูดปกป้องหลิวหงเจียง พวกเขาเริ่มพิมพ์แสดงความเห็นลงในอินเตอร์เน็ตว่า “นักค้ามนุษย์พวกนี้มันเจ้าเล่ห์นัก!”
ในเวลานี้ นักเขียนเงาที่ได้รับการว่าจ้างจากเลขามีบทบาทในเรื่องนี้อย่างมาก
พวกเขาเริ่มทำการฟอกขาวให้กับหลิวหงเจียง “ผมเป็นคนของเมืองอวิ๋นกุย คนที่คุ้นเคยกับรองผู้กำกับหลิวทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาเป็นคนเข้าหาง่ายอย่างยิ่ง ทุกอย่างที่เขาทำก็ทำเพื่อประโยชน์ของเมืองอวิ๋นกุยทั้งนั้น ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะถูกใส่ร้ายเพราะต่อสู้กับอาชญากรรม”
“พวกเราควรมีเหตุผล เราจะปล่อยให้ตัวเองถูกคนอื่นปั่นหัวเอาไม่ได้ ยิ่งโดยเฉพาะในเวลานี้ เชื่อในตัวรองผู้กำกับสิ เขาจะต้องมอบคำตอบอันน่าพอใจให้กับพวกเราได้อย่างแน่นอน”
“ทันทีที่มีเรื่องออกมา ฉันก็รู้ว่ามีใครบางคนจงใจใส่ร้ายป้ายสีรองผู้กำกับเพื่อเอาตัวรอดจากความผิด รองผู้กำกับเป็นคนเข้มงวด เขารักและห่วงใยภรรยาของตัวเองมาก ดังนั้นเขาไม่มีวันไปยุ่งเกี่ยวกับใครแน่ อันที่จริงสิ่งที่ควรตั้งคำถามคือกล้องที่อยู่ในห้องสอบปากคำต่างหาก นี่เป็นแผนการที่นักค้ามนุษย์พวกนั้นวางเอาไว้!”
ภาพการสัมภาษ์ได้รับการถ่ายทอดสดออกไปในเวลาเดียวกัน นักข่าวหันไมโครโฟนไปทางหลิวหงเจียง แล้วเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “ช่างน่าเสียใจจริงๆ ค่ะ ท่านรองผู้กำกับ”
“ไม่มีอะไรน่าเสียใจ ตอนนี้ผมแค่ต้องการเอาลูกชายกลับมา และนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครรู้ว่าคนพวกนั้นจะปฏิบัติต่อลูกชายของผมโหดร้ายขนาดไหน” หลิวหงเจียงก้มหน้าระหว่างพูดเช่นนั้น จากนั้นจึงหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนราวกับพยายามข่มความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนสำคัญไป
ต้องบอกว่าฝีมือในการแสดงของเขายอดเยี่ยมทีเดียว ไม่มีใครมองเห็นความชั่วร้ายที่อยู่บนใบหน้าของเขาในตอนที่เขาหันไปอีกทาง
คิดจะใช้คลิปวีดีโอสั้นๆ คลิปเดียวเพื่อกำจัดเขาหรือ น่าขันเสียไม่มี!
ทันทีที่การแถลงข่าวนี้จบลง ผู้หญิงคนนั้นได้จบเห่แน่!
หลิวหงเจียงพอใจกับการเสแสร้งของตัวเองยิ่งนัก แต่เขาไม่รู้เลยว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่อีกฟากหนึ่งของฝูงชนกลับค่อยๆ กระตุกริมฝีปาก รอยยิ้มนั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเกมเริ่มต้นขึ้นแล้ว…
เลขาคนนั้นยังยืนอยู่ข้างหลิวหงเจียงและเอ่ยสนับสนุนเขาว่า “ท่านรองผู้กำกับไม่ได้พักสายตามาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพราะคดีที่เกิดขึ้น ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพักผ่อน ถ้านักข่าวไม่มีคำถามอะไรอีก…”
ฟุ่บ!
ก่อนที่เลขาจะทันได้พูดจบ หน้าจอขนาดใหญ่ภายในห้องประชุมแห่งนั้นก็เริ่มกะพริบติดๆ ดับๆ
“ฮัลโหล ไมโครโฟนไม่ทำงาน เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เลขาคนนั้นมองไปทางคนที่ควบคุมเครื่องเสียง
คนพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน อุปกรณ์ทุกชิ้นล้วนแต่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่มันกลับไม่มีเสียงใดๆ ออกมา หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดบนหน้าจอก็มีภาพปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ในวินาทีที่เลขากำลังจะยิ้ม และพูดในสิ่งที่พูดค้างไว้ต่อ เขาก็สังเกตเห็นว่าภาพวีดีโอที่อยู่บนหน้าจอเปลี่ยนไปแล้ว!