อำนาจในกองทัพไม่ใช่เพียงอย่างเดียวที่ถังเส่ามี
เพราะลำพังแค่สถานะตระกูลของเขาก็สามารถทำให้ทุกคนเงียบกริบได้
ตอนที่ผู้คนเริ่มรู้จักชื่อเสียงเรียงนามนี้ เขาอายุได้เพียงแค่แปดขวบเท่านั้น
เหตุเกิดขึ้นที่ถนน Sixth Avenue ในนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
ตู้เอทีเอ็มเจ็ดเครื่องที่อยู่ใกล้ๆ นั้นสูญเสียการควบคุมไปโดยสิ้นเชิง และเอาแต่คายเงินออกมาอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกให้กับบรรดาผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แต่ยังสร้างรายงานข่าวอันน่าตกตะลึงในกับสื่อในเวลานั้นอีกด้วย
ทุกคนต่างพยายามคาดเดากันว่าใครที่จะสามารถเจาะระบบการป้องกันของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ พวกเขาคิดว่ามันจะต้องเป็นองค์กรแฮกเกอร์สักองค์กรอย่างแน่นอน
หลังการสอบสวนจึงพบว่าความจริงแล้วพวกเขาก็คือตระกูลถังที่ดูแลย่านไชน่าทาวน์อยู่นั่นเอง
ในเวลานั้น อดีตนายท่านถังถือไม้เท้าหัวมังกรอยู่ในมือโดยมีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
เด็กชายตัวน้อยคนนี้เกิดมาพร้อมกับอาการออทิสติก นอกจากเกมซูโดคุที่อยู่ในหนังสือพิมพ์แล้ว เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาต่อสิ่งใดเลย ไม่แม้แต่จะร้องไห้หรือหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ
แต่เด็กคนนี้กลับเป็นคนที่สามารถเจาะระบบเครือข่ายป้องกันความปลอดภัยหลายต่อหลายชั้นนั้นได้ด้วยคอมพิวเตอร์พกพาเพียงเครื่องเดียว
ใครที่ติดตามข่าวต่างประเทศช่วงปลายปี 1997 ย่อมรู้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับกระแสตอบรับมากมายเพียงใด
เด็กชายถูกพาตัวไปที่ห้องสอบปากคำ และเพราะเขายังเด็กเกินไป เขาจึงไม่ได้รับการตัดสินโทษในทันที
ถ้าถามว่าทำไม ก็เพราะอเมริกาไม่ได้ต้องการที่จะตัดสินโทษเขา แต่ต้องการตัวเขานั่นเอง
พวกเขาสามารถจัดหาทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กคนนี้ได้อย่างไม่จำกัด ตราบใดที่ตระกูลถังยอมเปลี่ยนสัญชาติของเด็กชายให้เป็นสหรัฐอเมริกา พวกเขาจะพาเขาเข้าสู่หน่วยที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดทันที
แต่อดีตนายท่านถังกลับไม่ยอมให้ไฟเขียว ในฐานะนักธุรกิจเชื้อสายจีนผู้ทรงอิทธิพลที่สุด อำนาจของเขาในประเทศสหรัฐอเมริกาย่อมมีไม่น้อยไปกว่าที่จีน
เขาบอกกับชาวอเมริกันพวกนั้นเพียงประโยคเดียวว่า “สมาชิกทุกคนของตระกูลถังจะต้องเป็นทหารของประเทศจีน”
ใช่ เป็นทหาร
เด็กชายคนนั้นเติบโตมาในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในย่านไชน่าทาวน์ของสหรัฐอเมริกา
เมื่อเทียบกับพี่คนโตและคนรองของเขา เขาดูแตกต่างจากคนในตระกูลถังคนอื่นๆ อย่างมาก
ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือ เขาก็เป็นแค่เด็กโง่ๆ คนหนึ่ง
ชาวอเมริกันเหล่านั้นเคยใช้จุดนี้มาเจรจากับอดีตนายท่านถัง พวกเขาบอกว่าคนที่เหมาะสมที่จะเลี้ยงดูเด็กแบบนี้ก็คือพวกเขา เพราะอัตราการรอดชีวิตของเด็กคนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์เลยทีเดียว นอกจากใช้คอมพิวเตอร์แล้วเด็กคนนี้จะยังสามารถทำอะไรได้อีกหรือ
แต่ในจำนวนลูกหลานของตระกูลถัง อดีตนายท่านถังรักหลานชายตัวน้อยคนนี้ที่สุด เขาจึงส่งหลานตัวเองกลับไปประเทศจีน
ด้วยเหตุนี้ สิบปีต่อมาหน่วยรบพิเศษฟอลคอนจึงได้เคี่ยวกรำฝึกฝนถังเส่าจนกลายมาเป็นคนที่คนทั้งในและนอกประเทศต่างก็เคารพและอิจฉาได้อย่างทุกวันนี้
เมื่อมีเขาคอยช่วยจับตาดู จึงไม่มีใครกล้าผ่านชายแดนเข้ามาตลอดสามปีเต็ม
ถ้าคนอย่างเขาเก่งแค่เรื่องในกองทัพ มันก็คงไม่มีอะไรให้ทุกคนต้องหวาดกลัวขนาดนั้น
แต่แล้วทุกคนก็ต้องประหลาดใจ เพราะเขายังรู้จักกลยุทธ์ทางการเมืองอีกด้วย
สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้ผู้คนมากมายต่างก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
อันที่จริง ชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอวิ๋นกุยเป็นเขตที่หน่วยฟอลคอนให้การปกป้องอยู่
พวกเขาจะกล้าท้าทายผู้ชายที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันคนนี้ได้อย่างไร
เหงื่อเย็นๆ หยดลงมาจากหน้าผากของรองผบ.ตร.จาง
ถังเส่าก้าวเข้าไปหาเขา มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม “ท่านรองผบ.ตร.จางใช่หรือเปล่าครับ”
รองผบ.ตร.จางยืนหลังตรง ผู้ชายคนนี้มียศสูงกว่าเขาเพียงแค่ระดับเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องโค้งให้อีกฝ่ายมากนัก บางทีทุกอย่างเกี่ยวกับอีกฝ่ายที่เขาเคยได้ยินมาอาจจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือก็ได้ “ใช่ ฉันเอง”
“คุณรับเงินใต้โต๊ะ ติดการพนัน และยังมีความสัมพันธ์กับประเทศพม่าด้วย” ถังเส่ายกมือขึ้น แล้วเล็งปืนที่อยู่ในฝ่ามือไปที่หน้าผากของรองผบ.ตร.จางทันที ท่าทางของเขาดูหล่อเหลาอย่างมากขณะที่สาวเท้าเดินตรงเข้ามา “คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมเวยเวยถึงจับลูกของคุณไปเหมือนกัน มันเป็นเพราะบาปอันไม่สมควรได้รับการให้อภัยพวกนี้อย่างไรล่ะครับ เอาล่ะ คนอื่นล่ะ แสดงตัวออกมาได้แล้ว”
ใครเล่าจะกล้าลุกขึ้นยืนเมื่อมีปืนจ่อพวกเขาอยู่อย่างนี้
รองผบ.ตร.จางกลัวจนหัวหด
ถังเส่าหันปืนไปทางอื่น แล้วพึมพำออกมาเพียงสองสามคำว่า “พาตัวไป”
เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสามคนที่คิดว่าตัวเองอาจพอมีโอกาส และต้องการเสี่ยงดวงเพื่อพูดกับอดีตนายพลต่างถูกพาตัวออกไปอย่างลับๆ
อดีตนายพลฉุนกึกเมื่อเห็นถังเส่า “ไอ้หนุ่ม! กล้าดียังไงถึงชักปืนออกมาต่อหน้าฉัน! นายไม่เห็นยศฉันหรือไม่เห็นฉันกันแน่”
เมื่อถึงตอนนี้ถังเส่ากลับยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาก้าวถอยหลังด้วยขาซ้าย แล้วประกบเท้าเข้าหากันเพื่อแสดงความเคารพตามมาตรฐานประจำกองทัพ “เรียนท่านนายพล วันนี้ท่านไม่สวมเครื่องแบบทหารเข้ามาครับ”
“นาย นายนี่มัน…” อดีตนายพลไม่รู้จะบอกว่าเขารักหรือเกลียดเจ้าลูกศิษย์คนโปรดคนนี้ดี เขายื่นมือออกไปแล้วชี้หน้าอีกฝ่าย “วิธีนี้มันเอิกเกริกเกินไป ฉันบอกนายไปกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำตัวเด่นเวลาปฏิบัติภารกิจ สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติดูแลนายไม่ดีหรืออย่างไร ถ้าเป็นอย่างนั้นก็กลับมาหาฉัน อยู่กับฉันนายจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ถังเส่ามองตรงไปที่เขาพร้อมทำความเคารพอีกครั้ง “เรียนท่านนายพล เข้าใจแล้วครับท่าน ผมจะทำตามคำสั่งโยกย้ายครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา อดีตนายพลก็อยากเพ่นกบาลอีกฝ่ายเข้าสักที เจ้าเด็กคนนี้เคยเชื่อฟังขนาดนี้เสียเมื่อไหร่กัน เหลวไหล!
“เอาล่ะ ถ้าไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับ แต่นายวางแผนปฏิบัติการนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้วจริงๆ หรือ ฉันไม่เห็นรู้ข่าวเลยสักนิดเดียว” อดีตนายพลเลิกคิ้ว
ถังเส่าหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “เป็นเพราะเวยเวยจัดการทุกอย่างได้ด้วยความเร็วที่น่าตกใจน่ะครับ เธอคงคลี่คลายเรื่องทั้งหมดได้ก่อนที่ข่าวจะมาถึงท่าน แต่อย่างไรผมก็คงต้องถามเรื่องเครื่องบินลำนั้น ท่านก็รู้ว่าสำนักถังมีงบจำกัด คงไม่สามารถซื้อเครื่องบินส่วนตัวได้”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ อดีตนายพลก็แทบจะพ่นน้ำชาออกจากปาก!
ไอ้เด็กเวรนี่กล้าบอกว่าตัวเองจน!
หมอนี่กล้ามายืนบ่นว่าตัวเองจนต่อหน้าฉันได้อย่างไร!
หลังคุยกันได้สิบนาที อดีตนายพลก็ไล่เขาออกจากห้อง เขากลัวว่าถ้าลูกศิษย์คนโปรดคนนี้ไม่กลับไป ภาพลักษณ์อันเยือกเย็นที่เขาพยายามอย่างมากที่จะรักษาไว้ต่อหน้าคนอื่นคงได้ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีแน่!
ไอ้เด็กเวรนี่สามารถทำให้คนเป็นบ้าได้ในไม่กี่วินาที!
แต่อดีตนายพลรับรองกับถังเส่าว่าถึงเขาจะไม่มาที่นี่ แต่ไม่ว่าอย่างไรคนพวกนี้ก็จะต้องได้รับบทลงโทษอย่างรุนแรงอยู่แล้ว
ความกดดันที่พวกเขาเผชิญในคราวนี้ไม่ได้มาจากภารกิจนี้แค่อย่างเดียว แต่ยังมาจากคนที่อยู่ในเครื่องบินส่วนตัวที่ปรากฏตัวขึ้นบนรถไฟอีกด้วย เบื้องลึกเบื้องหลังของเขาซับซ้อนยิ่งกว่าที่ตาเห็น และยังสามารถต่อกรกับสำนักถังได้เลยทีเดียว
หลังฟังทุกอย่างจบ ถังเส่าก็ขยี้บุหรี่ที่อยู่ในมือและยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “คงถึงเวลาที่พวกเราต้องเจอหน้ากันแล้ว”
อดีตนายพลที่อยู่ทางด้านนี้มีสีหน้างุนงง
ส่วนไป๋หลี่ซ่างเสียที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้นไม่ได้กลับไปในที่ที่เขาเคยอยู่ แต่กลับจูงยมทูตสองตนเดินตามหลังแล้วแอบเข้าไปในห้องสอบปากคำที่เสี่ยวชิงเฉิงถูกกักตัวอยู่
การที่ปีศาจตัวน้อยสักตนหนึ่งจะเดินแทรกผ่านฝูงชนไปย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้น ทุกคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการรับมือกับความคิดเห็นจากโลกภายนอก ที่นี่จึงไม่มีใครคอยเฝ้ายามอยู่แม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนี้ไป๋หลี่ซ่างเสียจึงสามารถเดินเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
เสี่ยวชิงเฉิงยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ศีรษะของเขาก้มต่ำลงเหมือนกำลังเล่นกับอะไรสักอย่างอยู่ แต่เมื่อเห็นยมทูตสองตนที่อยู่ด้านหลังไป๋หลี่ซ่างเสีย เขาก็รีบนั่งตัวตรงในทันที…