ตอนที่ 922 หัวหน้าโรงงานฉีมาหาถึงที่
เหรินเป่าจูคาดเดาจากทางปลายสาย “บางทีมันอาจเป็นเรื่องของผลประโยชน์น่ะค่ะ คนที่ฉันส่งไปตรวจสอบกลับมารายงานว่า เถ้าแก่เฉาทอผ้าผสมให้เรา แต่กลับขายผ้าแคชเมียร์และผ้าขนสัตว์ที่เก็บไว้ในราคาสูง”
หลินม่ายแทบไม่อยากสิ่งที่ได้ยิน เถ้าแก่เฉาทำเรื่องโง่เขลาแบบนี้ได้อย่างไร?
เธอตั้งข้อสงสัย “เถ้าแก่เฉาให้สินค้าผสมทั้งหมดแก่เรา ซึ่งสามารถบอกได้ทันทีด้วยตาเปล่า ไม่มีทางที่เราจะส่งต่อของแบบนี้โดยไม่เกิดความสงสัย ทำไมเขาถึงต้องทำให้ชื่อเสียงของตัวเองเสื่อมเสียด้วยล่ะ?”
เหรินเป่าจูกล่าว “มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด มองเพียงรอบเดียวก็ดูออกแล้วล่ะค่ะ ปริมาณขนสัตว์ของผ้าผสมชุดนั้นสูงถึง 80% จนถ้ามองผาดๆ ก็ไม่สามารถแยกออก แต่เพราะโฮ่วซินอี้ตรวจสอบการผลิตทุกวันและคุ้นเคยกับเนื้อผ้าดี เขาจึงสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติและเกือบจะปล่อยให้เถ้าแก่เฉาหนีไป”
หล่อนถามต่อว่า “เราไม่มีผ้าแคชเมียร์บริสุทธิ์ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถผลิตเสื้อผ้ากันหนาวได้ เราควรทำอย่างไรดีคะ?”
หลินม่ายครุ่นคิดครู่หนึ่ง “คุณไม่ได้บอกเหรอว่าผ้าผสมปริมาณขนสัตว์สูงของเถ้าแก่เฉามีคุณภาพเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหรินเป่าจูตอบอย่างเถรตรง “ไม่เลวเลยค่ะ”
งั้นเรามาใช้ผ้าผสมชุดนี้เผื่อฉุกเฉินกันเถอะ ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นผ้าใยผสมและระบุองค์ประกอบที่แน่นอนด้วย”
เหรินเป่าจูลังเลพลางถามว่า “แล้วจะตั้งราคาอย่างไรคะ? จะต้องลดราคาตามความเหมาะสมหรือเปล่า?”
“ไม่จำเป็นหรอก ตอนนี้กำลังขาดแคลนผ้าแคชเมียร์และผ้าขนสัตว์ ทำให้ราคาของพวกมันพุ่งขึ้นสูงมาก ถึงเราจะใช้ผ้าผสมก็ไม่ควรลดราคา แต่เราควรเพิ่มราคาที่สมเหตุสมผลแทน อย่าลืมว่าเรากำลังเดินบนเส้นทางแบรนด์เสื้อผ้าระดับกลางถึงระดับไฮเอนด์”
แม้จะบอกว่าการใช้ผ้าผสมไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว เนื่องจากจะทำให้ระดับของเสื้อผ้าจิ่นซิ่วต่ำลง และยังต้องใช้ผ้าแคชเมียร์บริสุทธิ์คุณภาพสูง ทว่าผ้าแคชเมียร์บริสุทธิ์ในท้องตลาดมีราคาแพงเกินไป หลินม่ายได้ติดต่อผู้ผลิตผ้าขนสัตว์บริสุทธิ์หลายรายในกว่างโจว แต่เป็นดังที่เหรินเป่าจูกล่าว ราคามันสูงเกินไป
การนำเข้าผ้าที่มีราคาแพงเช่นนี้มาทำเสื้อผ้าย่อมทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจและเกิดการบอกต่อปากต่อปาก
ในเวลาอันกระชั้นชิด เธอจะหาโรงงานสิ่งทอแห่งอื่นที่มีเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมและมุ่งมั่นที่จะรักษาสัญญาในการช่วยแปรรูปผ้าแคชเมียร์บริสุทธิ์ได้จากที่ไหน
ขณะที่หลินม่ายตกอยู่ในห้วงความคิด จู่ ๆ ก็มีคนมาที่ประตู
หลังเลิกเรียนตอนเที่ยงของวันนั้น หลินม่ายเดินออกจากห้องเรียนโดยสะพายกระเป๋านักเรียนไว้ด้านหลัง ขณะที่ชายวัยกลางคนแต่งตัวดีเดินมาหาเธอ
เขากล่าวทักทายเธอว่า “ประธานหลิน ยังจำผมได้ไหมครับ?”
หลินม่ายจดจำชายตรงหน้าได้ทันที เขาคือฉีหมิงชาน หัวหน้าโรงงานโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 ในเมืองหลวงที่เธอเคยพบเขาครั้งหนึ่งที่สมาคมผู้ประกอบการซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันมาก
เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “จำได้ค่ะ ทำไมฉันจะจำคุณไม่ได้ล่ะคะ? คุณเป็นถึงหัวหน้าโรงงานโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 อันโด่งดังไม่ใช่เหรอไง?”
ฉีหมิงชานโบกมือ “ประธานหลินก็พูดเกินไปครับ ผมไม่ได้โด่งดังอะไรเลย”
หลินม่ายไม่ต้องการเสียเวลา จึงถามอย่างตรงไปตรงมา “หัวหน้าโรงงานฉีมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ?”
หัวหน้าโรงงานฉีพยักหน้าอย่างมีเลศนัย “มีเรื่องสำคัญที่ผมต้องการจะคุยกับคุณ พอจะมีเวลาไปร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารและพูดคุยกันไหมครับ?”
หลินม่ายส่ายหน้าด้วยความลำบากใจ “คงไม่ค่อยสะดวกค่ะ ตอนนี้ฉันยังมีธุระต้องทำ ทำไมเราไม่คุยกันหลังจากที่ฉันเลิกเรียนตอนบ่ายล่ะคะ? ฉันมีเรียนแค่สองคาบในช่วงบ่ายนี้”
หัวหน้าโรงงานฉีดูไม่เต็มใจ แต่เขาก็พยักหน้ารับตอบตกลง
หลินม่ายไม่มีอะไรทำในช่วงเที่ยง เธอแค่ไม่อยากรับประทานอาหารกลางวันกับหัวหน้าโรงงานฉี
ทันทีที่หัวหน้าโรงงานฉีจากไป เธอจึงเดินไปโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับเพื่อนร่วมชั้น
หลังเลิกเรียนตอนบ่ายสอง หัวหน้าโรงงานฉีก็มาหาเธออย่างตรงเวลา
เวลานี้อากาศหนาวจัด ทั้งสองจึงไปร้านกาแฟของมหาวิทยาลัยซึ่งมีบรรยากาศอบอุ่น
ทันทีที่กาแฟถูกยกมา หัวหน้าโรงงานฉีก็พูดขึ้น “ผมรู้ว่ามันกะทันหันไปบ้างที่มาพบประธานหลินอย่างเร่งรีบ แต่ผมได้ยินมาว่าโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าจิ่นซิ่วของประธานหลินกำลังขาดแคลนผ้าแคชเมียร์
บังเอิญว่าผมมีผ้าแคชเมียร์คุณภาพดีอยู่ชุดหนึ่ง จึงอยากนำมาเสนอขายให้ประธานหลิน ไม่ทราบว่าประธานหลินต้องการมันหรือไม่”
นี่ไม่ต่างกับการง่วงนอนแล้วพลันพบหมอนเลยสักนิด
หลินม่ายยังไม่ตอบตกลง แต่ถามไปว่า “ราคาเท่าไหร่คะ?”
“ผ้าแคชเมียร์ชั้นหนึ่งราคาขายส่งเมตรละ 38 หยวน แต่ราคาตลาดปัจจุบันเมตรละ 45 หยวน ซึ่งถูกกว่ามาก!”
หลินม่ายจิบกาแฟอย่างเงียบงันก่อนถามว่า “ฉันขอดูสินค้าตอนนี้เลยได้ไหมคะ?”
“ได้แน่นอนครับ!”
จากนั้นหลินม่ายนั่งแท็กซี่กับฉีหมิงชานไปยังโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3
นับตั้งแต่ซ่งเฮยเจิ้นเกือบพังรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของเธอ หลินม่ายก็ไม่ได้ขับรถอีกเลย
เธอวางแผนที่จะขอฟ่านฉางคงช่วยหาซื้อรถสองคนในฮ่องกง คันหนึ่งสำหรับเธอ และอีกคันสำหรับฟางจั๋วหราน มิฉะนั้นการออกไปข้างนอกคงยากลำบากเกินไป
โรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 เป็นโรงงานขนาดใหญ่ของรัฐ ซึ่งมีพนักงานหลายพันคน
ก่อนการปฏิรูปและการเปิดประเทศ พนักงานโรงงานฝ้ายแห่งชาติต่างถือชามข้าวเหล็ก และพวกเขาทั้งหมดต่างหยิ่งยโส
หลังจากการปฏิรูปและการเปิดประเทศ ภายใต้ผลกระทบของเศรษฐกิจการตลาด ประสิทธิภาพของโรงงานนั้นแย่ลงเรื่อย ๆ และโรงงานก็เข้าสู่สภาวะกึ่งอัมพาต
เมื่อหลินม่ายมาถึงโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 สิ่งที่เธอได้พบคือเสียงดังเซ็งแซ่ของโรงปฏิบัติงานเมื่อไม่มีเครื่องจักรทำงาน
คนงานจับกลุ่มกันสองถึงสามคนเพื่อพูดคุยและฆ่าเวลา
หัวหน้าโรงงานฉีพาหลินม่ายตรงไปยังโกดัง และขอให้เธอตรวจสอบดูด้วยตัวเอง
หลินม่ายสุ่มหยิบผ้าแคชเมียร์มาสองม้วน ซึ่งพวกมันทั้งสีสวยและคุณภาพดี
หัวหน้าโรงงานฉีอ้างว่าเป็นสินค้าคุณภาพสูง แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้ดีไปกว่าสินค้าชั้นสองมากนัก
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “โรงงานของคุณสามารถผลิตผ้าแคชเมียร์คุณภาพดีขนาดนี้ได้แล้วหรือคะ?”
เหตุผลที่โรงงานฝ้ายแห่งชาติไม่สามารถแข่งขันกับโรงงานทอผ้าแต่ละแห่งตามชายฝั่งได้ เนื่องจากคุณภาพของผ้าที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน
หัวหน้าโรงงานฉีบอกกับเธอว่า เมื่อปีที่แล้วรัฐบาลได้นำอุปกรณ์สิ่งทอที่ทันสมัยที่สุดเข้าสู่โรงงานของพวกเขา ดังนั้นคุณภาพของผ้าที่ผลิตจึงดีขึ้นมาก
หลินม่ายอิจฉามาก หน่วยงานรัฐวิสาหกิจไม่ต่างจากลูกชายแท้ ๆ ของรัฐบาลเลย
รัฐบาลทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขามีชีวิตรอด และยินดีซื้ออุปกรณ์หลายล้านชิ้นให้พวกเขา
น่าเสียดายที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเป็นเหมือนโคลนที่ไม่อาจฉาบติดผนัง ไม่ว่ารัฐบาลจะสนับสนุนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
เมื่อได้ยินหลินม่ายกล่าวชื่นชมคุณภาพของผ้าแคชเมียร์ในโรงงานของเขา หัวหน้าโรงงานฉีรู้สึกยินดีและถามว่า “ประธานหลิน คุณยินดีซื้อผ้าแคชเมียร์ของโรงงานเราใช่ไหมครับ?”
ราคาขายส่งอยู่ที่ 38 หยวนต่อเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับราคาของปีที่แล้ว แน่นอนว่าหลินม่ายต้องการซื้อมัน
ปัญหาคือ หัวหน้าโรงงานฉีไม่ใช่เพื่อนสนิทหรือญาติของเธอ และพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวมากนัก
เขาจะขายผ้าแคชเมียร์ชั้นดีให้เธอในราคาต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร?
ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทหรือญาติ พวกเขาล้วนชำระแจกแจงบัญชีกันอย่างชัดเจนและจะไม่ขายให้เธอในราคาถูกขนาดนี้
มีใครบ้างที่คิดว่าเสนอเงินมากไปแล้วเท่ากับกัดมือตัวเอง!
เรื่องนี้อาจมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ไม่ว่าในกรณีใดเธอจะไม่เชื่อในเรื่องโชคลาภ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมาโดยไม่คาดคิดและตกลงบนศีรษะอย่างแม่นยำ มันดูดีเกินไปที่จะเป็นเรื่องจริง
หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ฉันคงยังให้คำตอบไม่ได้ค่ะ”
หัวหน้าโรงงานฉีรู้สึกท้อแท้เล็กน้อยและพูดว่า “คุณกังวลว่าผ้าแคชเมียร์ของผมขายถูกเกินไป และอาจมีต้นกำเนิดที่น่าสงสัยหรือเปล่า? คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย บอกตามตรงว่า ที่ผมสามารถขายผ้าแคชเมียร์ราคาถูกขนาดนี้ เนื่องจากพวกมันเป็นผ้าค้างโกดังที่ไม่ได้ขายเมื่อปีที่แล้ว แต่ถึงจะเป็นสินค้าค้างสต๊อก คุณก็ได้เห็นมันแล้ว พวกมันคุณภาพยังดีอยู่ และคุณจะไม่ขาดทุนถ้าคุณซื้อมัน”
ในชีวิตที่แล้วหลินม่ายเคยเป็นนักธุรกิจเช่นกัน แม้ว่าเธอจะมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มก็ตาม แต่นั่นทำให้เธอมีไหวพริบและความเฉียบแหลมของนักธุรกิจ
แม้ว่าหัวหน้าโรงงานฉีจะอธิบายอย่างสมเหตุสมผล แต่หลินม่ายก็อาศัยประสบการณ์ทางธุรกิจและสัญชาตญาณหลายปีของเธอ และเธอก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับข้อตกลงนี้
ของค้างสต๊อกแล้วอย่างไร ในเมื่อมีคุณภาพดี อย่างไรมันก็ยังขายได้ในราคาสูง
แม้พวกเขาจะไม่ได้ขายในราคาสูง แต่ตราบใดที่ราคาขายต่ำกว่าราคาตลาดเพียงไม่กี่หยวน ผู้ผลิตรายอื่น ๆ จำนวนมากก็จะแห่กันมาซื้อ ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องขายให้เธอในราคาที่ต่ำผิดปกติเลย
ท่าทางผิดปกติแบบนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่
หลินม่ายระมัดระวังอยู่เสมอ เนื่องจากเธอรู้สึกว่าอาจมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล และเธอจะไม่ตกหลุมพรางง่าย ๆ ดังนั้นเธอจึงยังคงยิ้มและบ่ายเบี่ยง
หัวหน้าโรงงานฉีจึงทำได้เพียงส่งเธอออกไปด้วยท่าทางผิดหวัง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อะไรที่ดูดีเกินจริงย่อมมีบางอย่างแอบแฝงอยู่เสมอล่ะค่ะ เกือบไปแล้วม่ายจื่อ โชคดีที่เชื่อสัญชาตญาณและประสบการณ์ตัวเอง
ไหหม่า(海馬)