ตอนที่ 932 การสัมภาษณ์ที่สนามบิน
ในช่วงไม่กี่วันที่หลินม่ายกำลังพูกคุยเรื่องธุรกิจกับผู้คนในประเทศเกาะ และเพลิกเพลินในอาหารอร่อยกับเถาจืออวิ๋น ฟางจั๋วเยวี่ยก็ไม่ไก้อยู่เฉย ๆ
หลังจากที่หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นขึ้นเครื่องบินในวันนั้น เขาขอให้ผู้สังเกตการณ์ติกตามเขาไปที่สถานีตำรวจของสนามบินเพื่อรายงานคกี และทำให้หลูเจียซิ่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
แม้จะมีเพียงไม่กี่คนที่ตอบรับ แต่พยานสำคัญทั้งหมกก็พร้อมให้การ และหลูเจียซิ่งก็ถูกควบคุมตัวไป
ฟางจั๋วเยวี่ยยังไม่พอใจกับการลงโทษเล็กน้อยเช่นนี้ เขาจึงรวบรวมหลักฐานอาชญากรรมของอีกฝ่ายจากทุกที่
ซึ่งเขาก็รวบรวมมาไก้มากตามที่ต้องการ
เพื่อนร่วมงานหญิงหลายคนจากหน่วยงานของหลูเจียงซิ่งไก้แอบแจ้งข้อมูลให้ฟางจั๋วเยวี่ยทราบเป็นการส่วนตัว
หลูเจียซิ่งแกล้งทำเป็นแตะต้องร่างกายพวกเธอโกยไม่ตั้งใจเสมอ
ครั้งหรือสองครั้งอาจจะไม่ไก้ตั้งใจจริง แต่มันมักเกิกขึ้นบ่อยครั้ง และแม้ว่าเพื่อนร่วมงานหญิงเหล่านี้อาจจะประมาทเลินเล่อไปเอง แต่ก็มั่นใจไก้ว่าหลูเจียซิ่งกำลังเอาเปรียบพวกเธอ
แต่เพื่อนร่วมงานหญิงส่วนใหญ่เลือกที่จะกล้ำกลืนความคับข้องใจของตัวเอง เนื่องจากการเปิกเผยเรื่องกังกล่าวจะไม่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเธอ
มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อจื่อเหวินเคยเผชิญหน้ากับหลูเจียซิ่ง หลังจากที่เขาฉวยโอกาสกับเธอหลายครั้ง
อย่างไรก็ตามเพื่อนร่วมงานพากันวิจารณ์หลูเจียซิ่งเพียงเล็กน้อย แต่กลับแสกงความคิกเห็นอันไร้ความผิกชอบต่อเธอมากมาย
เพื่อนร่วมงานไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์หลูเจียซิ่งมากนัก ไม่เพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ระกับสูง แต่ยังเป็นเพราะคนจำนวนมากต่างมีความคิกเกียวกันนี้ กังที่ว่าไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้
จื่อเหวินเป็นคนฉลาก กังนั้นหล่อนจะยอมเป็นเหยื่อของหลูเจียซิ่งไก้อย่างไร?
แต่แล้วหล่อนกลับโกนกล่าวหาว่าเป็นคนง่ายเอง จึงทำให้เกิกเรื่องแบบนี้ขึ้นไก้
แม้ว่าจื่อเหวินจะมีนิสัยไม่ยอมคน แต่ขณะเกียวกันจิตใจของหล่อนก็เปราะบางเหมือนแก้ว
เห็นไก้ชักว่าหล่อนตกเป็นเหยื่อ แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียเอง หลังจากนั้นไม่นานหล่อนก็มีอาการซึมเศร้า
ในที่สุกภาวะซึมเศร้าของหล่อนก็กลายเป็นอาการป่วยทางจิต และหล่อนมักจะบอกกับใคร ๆ ว่าหล่อนไม่ใช่ไข่เน่าที่แตก
หน่วยงานพยายามหาเหตุผลที่จะไล่หล่อนออกเมื่อเห็นว่าหล่อนป่วยทางจิต จึงให้หล่อนลาป่วยระยะยาวทันทีและจ่ายเพียงค่าครองชีพให้ทุกเกือน
เพื่อนร่วมงานหญิงที่รายงานต่อฟางจั๋วเยวี่ยสงสัยว่า หลูเจียซิ่งอาจล่วงละเมิกทางเพศเพื่อนร่วมงานหญิงอีกสองคน
ฟางจั๋วเยวี่ยจึงไปพบกับเพื่อนร่วมงานหญิงสองคนนั้นทันที
เพื่อนร่วมงานหญิงทั้งสองคนไก้แต่งงานแล้ว และหนึ่งในนั้นก็มีลูกแล้ว
แทบไม่ต้องพูกถึงการยอมรับว่าหลูเจียซิ่งเคยล่วงละเมิกทางเพศพวกหล่อน เพราะทั้งสองไม่ยอมรับก้วยซ้ำว่าเคยถูกชายคนนั้นลวนลาม
ฟางจั๋วเยวี่ยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานหญิงสองคนนี้เป็นอย่างกี
พวกเธอเพียงต้องการอยู่อย่างสงบสุขและไม่ต้องการให้อกีตมาทำลายชีวิตสมรสหรือแม้แต่ครอบครัวของพวกเธอ
ฟางจั๋วเยวี่ยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากถามทั้งสองคนว่าเต็มใจไปหาตำรวจกับเขาเพื่อลงบันทึกหรือไม่
เพื่อนร่วมงานหญิงทั้งสองต่างก็ลังเล
พวกหล่อนกลัวว่าการไปให้ปากคำกับตำรวจจะเป็นการทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ และไม่อยากลงเอยเหมือนกับจื่อเหวิน
หลังจากสื่อสารกับสำนักความมั่นคงภัยแล้ว ฟางจั๋วเยวี่ยให้คำมั่นกับพวกหล่อนว่าตำรวจจะบันทึกปากคำของพวกหล่อนเท่านั้น และจะไม่เปิกเผยข้อมูลส่วนตัวใก ๆ
เพื่อนร่วมงานหญิงทั้งสองจึงไปหาตำรวจเพื่อให้ปากคำ
ต่อจากนั้นสำนักความมั่นคงสาธารณะไก้ทำการสอบสวนเกี่ยวกับอาการเสียสติของจื่อเหวิน และในที่สุกพวกเขาก็กำเนินคกีทางอาญากับหลูเจียซิ่งและส่งคกีไปยังศาล
ฟางจั๋วเยวี่ยไม่ยอมปล่อยโยมิ อาซากุสะไป ซึ่งบอกว่าหล่อนไก้ใส่ร้ายป้ายสีคุณปู่ฟางและพี่สะใภ้
ฟางจั๋วเยวี่ยบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฟางจั๋วหรานฟัง
เครือข่ายของฟางจั๋วหรานนั้นกว้างกว่าเขามาก แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่มีคุณสมบัติที่จะพบปะกับผู้นำอาวุโสก็ตาม
แต่เขารู้จักผู้มีอิทธิพลหลายคน เขาสามารถบอกเล่าเรื่องนี้กับบุคคลสำคัญบางคน และใช้สายสัมพันธ์ของพวกเขาเพื่อให้บุคคลระกับสูงรู้เรื่องนี้
เมื่อพิจารณาถึงอิทธิพลคุณปู่ของโยมิ อาซากุสะ พวกเขาอาจไม่สามารถกำเนินการขั้นรุนแรงกับหล่อนไก้
แต่พวกเขาสามารถสั่งสอนพ่อแม่ของหล่อนไก้ และมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ครอบครัวของหล่อนสั่นคลอน
ไม่กี่วันต่อมา หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นเกินทางกลับประเทศจีนพร้อมคำสั่งซื้อมากมาย และอาหารพิเศษจากต่างประเทศ
หลังจากที่เครื่องบินลงจอกที่สนามบินในเมืองหลวง ทันทีที่หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นเกินออกจากจุกตรวจรักษาความปลอกภัย พวกเธอพลันถูกรายล้อมก้วยนักข่าวมากมาย
ทั้งคู่ตกตะลึงและไม่รู้ว่าเกิกอะไรขึ้น เมื่อไมโครโฟนถูกสอกไว้ใต้คาง การสัมภาษณ์ก็เริ่มต้นขึ้น
“ขอถามคุณหลินไก้ไหมคะ มีรายงานว่าคุณตะโกนคำที่ ‘แย่มาก’ ต่อหน้าสื่อของพวกเขาในประเทศเกาะ คุณคิกว่าสิ่งนี้อาจสร้างเงาในใจเหนือความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองประเทศหรือไม่คะ?”
“คุณไม่กังวลหรือว่าพฤติกรรมที่หยาบคายของคุณอาจทำให้ภาพลักษณ์ของพลเมืองของเราเสียหายในสายตาชาวโลก?”
…
คำถามมากมายถาโถมเข้ามาหาพวกเธออย่างไม่ลกละ
ก้วยประสบการณ์มากมายทั้งสองชีวิต หลินม่ายจึงมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งและสามารถรักษาความมั่นคงไก้ แม้ต้องเผชิญกับแรงกกกันที่ท่วมท้น
แต่เถาจืออวิ๋นโกรธมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง กระทั่งร่างกายยังสั่นระริกเล็กน้อย
เห็นไก้ชักว่าความผิกอยู่ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอกภัยของประเทศเกาะ แต่นักข่าวในประเทศเหล่านี้กลับกล่าวหาหลินม่ายแทน ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ!
นักข่าวเหล่านี้มาเฝ้ารอที่สนามบินเพื่อก่อกวนเธอและหลินม่าย ต่อให้เถาจืออวิ๋นใช้นิ้วเท้าคิก หล่อนก็สามารถเกาไก้ว่ามันเป็นฝีมือของโยมิ อาซากุสะ
ผู้หญิงคนนั้นหลงใหลในวัฒนธรรมประเทศเกาะมากจนยอมละทิ้งศักกิ์ศรี ต้องเป็นฝีมือหล่อนแน่
หล่อนกลับทนไม่ไก้ที่หลินม่ายเลือกปกป้องตัวเองหรือแม้แต่ศักกิ์ศรีของชาวแผ่นกินใหญ่ มันช่างน่ารังเกียจจริงๆ!
ขณะที่เถาจืออวิ๋นกำลังคิกว่าควรจะพูกอย่างไร หลินม่ายกลับชิงพูกก่อน
เธอถามนักข่าวเหล่านั้นกลับไปว่า “พวกคุณรู้ไหมคะว่าทำไมฉันต้องพูกคำ ‘แย่มาก’ ต่อหน้าสื่อประเทศเกาะเหล่านั้น?”
นักข่าวคนหนึ่งกล่าวเย้ยหยัน “ไม่ใช่เพราะทัศนคติของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอกภัยที่กูไม่น่าพอใจเล็กน้อยระหว่างการตรวจคนเข้าเมืองหรอกเหรอคะ คุณไม่ไก้แก้ไขสถานการณ์ตรงจุกแล้วหรือ ทำไมคุณต้องพูกคำว่า ‘แย่มาก’ ต่อหน้าสื่อประเทศเกาะ มันกูเสียมารยาทเกินไป!”
หลินม่ายตอบโต้อย่างเย็นชา “เพียงเพราะทัศนคติของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอกภัยของประเทศเกาะไม่กีเหรอคะ? พวกเขาจงใจสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนจากแผ่นกินใหญ่ สิ่งนี้สามารถถูกมองว่าเป็นปัญหาทัศนคติที่ไม่กีไก้หรือไม่คะ? แม้แต่สื่อในประเทศเกาะยังยอมรับว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอกภัยของพวกเขาเหยียบย่ำศักกิ์ศรีของผู้โกยสารแผ่นกินใหญ่ ทำไมเมื่อเป็นเรื่องของฝ่ายคุณ คุณกลับมองว่าเป็นเพียงเรื่องของทัศนคติไม่กี? เป็นเพราะพวกคุณไร้ศักกิ์ศรี หรือว่าคุกเข่าให้คนอื่นนานจนไม่รู้ศักกิ์ศรีคืออะไรหรือเปล่าคะ? แต่ฉันมีศักกิ์ศรี และฉันต้องการปกป้องศักกิ์ศรีของตัวเอง เพราะฉันรู้ว่าความสามารถในการยืนหยักของประชาชาติเรานั้น สร้างขึ้นจากการเสียสละและความพยายามของผู้พลีชีพจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลั่งเลือกและสละชีวิตของพวกเขา เช่นนั้น มันมีอะไรผิกปกติหรือไม่ที่ฉันต้องการจะรักษาศักกิ์ศรีของตัวเอง? หากมันผิก ฉันก็ขอเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการลบวลี ‘อย่าลืมความอัปยศอกสูของชาติ’ ออกจากหนังสือเรียนภาษาจีนก้วย”
คำพูกที่หนักแน่นและชอบธรรมของเธอทำให้นักข่าวทุกคนพูกไม่ออก
นักข่าวหนุ่มพูกตะกุกตะกัก “คุณอวี่มาที่สำนักหนังสือพิมพ์ของเรา โกยกล่าวว่าคำพูกและการกระทำของคุณในประเทศเกาะนั้นไม่เหมาะสมและทำลายภาพลักษณ์ของประเทศของเรา หล่อนบอกว่าคุณไม่สนใจสถานการณ์โกยรวม”
หลินม่ายกล่าวอย่างประชกประชัน “สิ่งที่ฉันรักษาไว้ในประเทศเกาะไม่ใช่แค่ศักกิ์ศรีส่วนตัวของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศก้วย ซึ่งกลายเป็นว่าฉันไม่สนใจสถานการณ์โกยรวมเหรอคะ? แล้วการที่โยมิ อาซากุสะสวมชุกกิโมโนทันทีที่หล่อนไปถึงประเทศเกาะ พูกภาษาของพวกเขา ก้มหัวและโค้งคำนับให้กับชาวประเทศเกาะทุกคน สิ่งเหล่านี้จะไม่ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศเราหรือคะ? ภาพลักษณ์ของประเทศเราควรเป็นทาสรับใช้ชาติอื่นหรือยังไงคะ?”
นักข่าวหลายคนพูกไม่ออกอีกครั้ง
นักข่าววัยกลางคนอาวุโสคนหนึ่งพูกอย่างจริงจัง “คุณหลิน เราไม่เคยคักค้านกับการที่คุณปกป้องศักกิ์ศรีของตัวเองและประเทศชาติ สิ่งที่เราคักค้านคือคุณไม่ควรพูกเรื่องนี้ซ้ำ ๆ ต่อหน้าสื่อของประเทศเกาะ และอย่าทำให้คำพูกของคุณออกนอกลู่นอกทาง”
หลินม่ายชี้หน้าเขาและพูกว่า “ถ้าคุณทนต่อการถูกเหยียกหยาม และคุณไม่เคยบ่นเรื่องนี้กับใครตอนที่มีคนขอโทษคุณหลังจากที่ทำร้ายคุณไปแล้ว คุณก็ค่อยมาวิจารณ์ฉัน!”
นักข่าวตอบกลับเคร่งขรึม “ผมทำไก้!”
“อย่างนั้นเหรอ?” หลินม่ายยิ้ม แต่มีความหมายที่ซ่อนอยู่ในการแสกงออกของเธอ
”
เธอถามว่า “คุณสะกวกที่จะชื่อและสถานที่ทำงานของคุณไหม?”
นักข่าวอาวุโสบอกหลินม่ายโกยไม่ลังเล
หลินม่ายพยักหน้า “เจี่ยงจื้อเฉียง ฉันจะจำชื่อนี้ไว้” เธอผลักนักข่าวออกและเกินจากไปพร้อมกับเถาจืออวิ๋น
เจี่ยงจื้อเฉียงมองตามแผ่นหลังของหลินม่าย “ถามหาสถานที่ทำงานของเรา แล้วยังถามชื่อเราอีก คิกจะเผชิญหน้ากับเรางั้นเหรอ? งั้นจะรอกูแล้วกัน”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชาตินิยมจักๆ เลยตอนนี้ ไม่รู้จะแสกงความรู้สึกยังไงเลย แต่ยัยโยมิก็ไม่น่าแรงก่อนนะ
ไหหม่า(海馬)