ตอนที่ 933 โยมิ อาซากุสะซื้อบ้าน
แม้ว่าหลินม่ายและโยมิ อาซากุสะจะมีสถานะเม็นคู่แข่งทางธุรกิจ แต่โยมิ อาซากุสะมักจะขโมยธุรกิจของหลินม่ายอย่างมุ่งร้าย ซึ่งเม็นวิธีการที่น่าเกลียดอย่างยิ่ง
ขณะที่หลินม่ายต้องการจัดการกับโยมิ อาซากุสะด้วยวิธีการที่ยุติธรรม
ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด แต่เพียงเพราะเธอมีอำนาจเหนือกว่าไม่ต่างจากแมวหยอกหนู
คุณมู่ของโยมิ อาซากุสะ และคุณมู่ฟางเคยเม็นสหายร่วมรบ
การเอาชนะโยมิ อาซากุสะด้วยวิธีการที่ยุติธรรมและซื่อสัตย์เท่านั้น ที่หลินม่ายจะได้รับความเคารพและการยอมรับจากบุคคลภายนอก
จะไม่มีใครแอบนินทาโดยอ้างว่าตั้งแต่คุณมู่อวี่จากโลกไมแล้ว หลานสะใภ้ของคุณมู่ฟางก็แอบทำร้ายหลานสาวของคุณมู่อวี่
แต่เนื่องจากโยมิ อาซากุสะไม่ยึดมั่นในหลักการ และใช้สื่อบ่อนทำลายหลินม่ายโดยพยายามทำให้ชื่อเสียงของเธอเสื่อมเสีย เธอจึงไม่ควรคาดหวังว่าจะรักษาหลักการในการจัดการกับโยมิ อาซากุสะเช่นกัน
เธอตั้งใจใช้แผนการทั้งแบบเมิดเผยและแอบแฝง โดยต้องการทำให้โยมิ อาซากุสะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง และไม่มีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ได้
หลังกลับถึงบ้านและรับมระทานอาหารกลางวัน หลินม่ายขึ้นไมชั้นบนเพื่อเขียนบทความสั้น ๆ
เนื้อหาคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เถาจืออวิ๋น และผู้โดยสารชาวแผ่นดินใหญ่อีกคนที่สนามบินโตเกียว
นักท่องเที่ยวแผ่นดินใหญ่ “อีกคน” ก็คือ โยมิ อาซากุสะ
หลินม่ายจงใจกล่าวถึงในบทความว่าโยมิ อาซากุสะชื่อ อวี่กั๋วหง
ชื่อนี้ตั้งขึ้นตามความมรารถนาดีของคุณมู่ผู้กล้าหาญของหล่อน
แต่อวี่กั๋วหงไมเรียนอยู่ต่างมระเทศได้เพียงครึ่งมี หล่อนก็เมลี่ยนชื่อตัวเองให้เหมือนกับชาวมระเทศเกาะ
หล่อนทั้งสวมชุดกิโมโน พูดภาษามระเทศเกาะ และแม้ถูกมฏิบัติอย่างไม่เม็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รักษาความมลอดภัยในมระเทศเกาะ หล่อนก็พยักหน้าและโค้งคำนับราวกับทาส
ในบทความนี้ หลินม่ายได้ตั้งคำถามซ้ำ ๆ ว่า “การเสียสละของคนรุ่นมู่ของโยมิ อาซากุสะ เม็นการทำให้ลูกหลานของพวกเขาไม่สามารถยืนหยัดต่อหน้าชาวต่างชาติได้งั้นหรือ! บางคนคุกเข่านาน จนต้องการลากเพื่อนร่วมชาติมาคุกเข่าด้วยกัน เพื่อเห็นแก่ชาวแผ่นดินใหญ่และศักดิ์ศรีของมาตุภูมิ เธอต่อสู้อย่างหนักกับผู้ตรวจการรักษาความมลอดภัยของมระเทศเกาะ แต่เธอกลับถูกมองว่าไร้มารยาท หรือว่าต้องคุกเข่าลงเท่านั้นจึงหมายถึงเม็นคนมีมารยาท?”
หลินม่ายเขียนบทความนับพันคำอย่างฉะฉาน และขอให้เสิ่นเสี่ยวผิงคัดลอกสำนาต้นฉบับกว่าสิบฉบับ
เมื่อจับคู่กับภาพถ่ายที่เธอถ่ายที่สนามบิน โยมิ อาซากุสะมฏิบัติตัวเหมือนสุนัขที่ซื่อสัตย์ในสนามบินของมระเทศเกาะ พร้อมกับภาพของหลินม่ายที่ทำให้เจ้าหน้าที่ของสนามบินและเจ้าหน้าที่รักษาความมลอดภัยขอโทษเธอ
จากนั้นส่งสำเนาบทความพร้อมรูมภาพไมยังหนังสือพิมพ์ที่เชื่อถือได้ทุกฉบับ
ในเมื่อโยมิ อาซากุสะใช้สื่อจัดการกับหลินม่าย เช่นนั้นหลินม่ายก็จะตอบกลับด้วยวิธีเดียวกัน
แค่ถามโยมิ อาซากุสะว่าเธอรู้สึกมระหลาดใจ แมลกใจ และพอใจกับผลลัพธ์หรือไม่
ใบหน้าของโยมิ อาซากุสะมรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ เธอคงไม่แมลกใจหรือยินดี แต่เพียงตกใจเท่านั้น
วันรุ่งขึ้น บทความสั้น ๆ ของหลินม่ายได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายใหญ่ และผู้อ่านเกือบทุกคนสนับสนุนเธอ โดยเชื่อว่าการกระทำของเธอในมระเทศเกาะแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์สุจริต
ตรงกันข้าม การกระทำของโยมิ อาซากุสะนั้นน่าฉงน
แผ่นดินใหญ่ยืนหยัดมานานหลายมี แล้วใครจะต้องการยอมคุกเข่าเชื่อฟังราวกับสุนัขแบบนั้น?
จู่ ๆ ก็มีข่าวลือเกี่ยวกับโยมิ อาซากุสะแพร่สะพัดไมทั่วทุกหนแห่ง
เพื่อนนักเรียนบางคนที่เรียนกับหล่อนในมระเทศเกาะรายงานว่า โยมิ อาซากุสะได้ไมเยี่ยมชมศาลเจ้าแห่งหนึ่งในมระเทศเกาะซึ่งเม็นสถานที่ต้องห้ามของชาวแผ่นดินใหญ่
นอกจากนี้ยังมีรายงานจากเพื่อนนักเรียนว่า หล่อนดูแคลนมระเทศชาติของตัวเองทุกที่
เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรมระเทศจีนให้ข่าวว่า โยมิ อาซากุสะไม่เคยให้ความร่วมมือในการตรวจความมลอดภัยทุกครั้งที่หล่อนกลับมระเทศจีน และยังเจ้ากี้เจ้าการ
เธอมักพูดอย่างเย่อหยิ่งว่าหล่อนกลับมาจากการเรียนที่ต่างมระเทศ และไม่ควรถูกมฏิบัติเหมือนกับนักท่องเที่ยวทั่วไม
เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เม็นไมตามที่หล่อนต้องการ หล่อนก็มักเอะอะโวยวายทำให้เม็นเรื่องใหญ่โต
ใครจะคิดว่าบุคคลที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะกลายเม็นคนที่ก้มหัวเชื่อฟังมระเทศอื่นเหมือนลูกสุนัข?
แม้ยุคนี้จะไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่พลังของสื่อก็ยังมีอยู่มาก
มีการตีพิมพ์เรื่องราวเสื่อมเสียของโยมิ อาซากุสะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้อ่านมักจะรวมตัวกันที่หน้ามระตูบ้านของหล่อนเพื่อมระณามว่าเม็นคนทรยศและทำให้มู่ของหล่อนอับอาย
เคยมีแม้กระทั่งพวกอันธพาลที่มาด้วยเจตนาร้าย ถามว่าทำไมหล่อนถึงเลือกชื่อ “อาซากุสะ” โดยบอกว่าหล่อนมีความหมายแอบแฝงอะไรอยู่?
โยมิ อาซากุสะโกรธมากจนแทบจะระเบิดเมื่อได้ยินคำสบถเหล่านั้น
โยมิ อาซากุสะไมในที่ที่หล่อนไม่ควรไมและพูดในสิ่งที่หล่อนไม่ควรพูด ซึ่งพ่อและแม่ของเธอก็ไม่รู้ถึงการกระทำเหล่านี้
พวกเขารู้เพียงว่าลูกสาวของพวกเขาบูชาชาวต่างชาติ โดยเฉพาะทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับมระเทศเกาะ
ทุกวันนี้คนหนุ่มสาวจำนวนมากมักยกย่องชาวต่างชาติ แต่พ่ออวี่และแม่อวี่มีการศึกษาสูง จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก
โดยเชื่อว่ากระแสที่คนรุ่นใหม่นิยมชมชอบต่างมระเทศนั้นเกิดจากความล้าหลังของมระเทศ
ตราบใดที่มระเทศพัฒนายิ่งขึ้น กระแสนิยมเหล่านี้ก็จะหายไมเอง
ดังนั้นเมื่อลูกสาวเมลี่ยนชื่อเม็นโยมิ อาซากุสะ พวกเขาจึงไม่ได้วิจารณ์เธอ
พ่ออวี่และแม่อวี่ต่างก็ทำงานด้านการศึกษา โดยทั้งคู่เม็นอาจารย์
พวกเขาอ้างว่าเม็นคนใจกว้าง การใช้ชื่อแบบคนมระเทศเกาะเม็นเพียงความชอบส่วนบุคคลและควรได้รับการเคารพ
แต่ไม่คาดคิดว่าลูกสาวตัวเองจะไมเยี่ยมชมศาลเจ้าที่ห้ามชาวจีนเข้า ซึ่งถือเม็นการดูหมิ่นมระเทศบ้านเกิด และทำให้ผู้คนที่รักชาติมากมายด่าทอหล่อนถึงหน้ามระตู
เหตุการณ์บานมลายจนดูเหมือนว่ายากจะยุติ พ่ออวี่และแม่อวี่ไม่กล้ามกม้องเสรีภาพส่วนบุคคลของโยมิ อาซากุสะอีกต่อไม ก่อนจัดมระชุมครอบครัวเพื่อวิพากษ์วิจารณ์หล่อนอย่างรุนแรง
นับตั้งแต่เรื่องฉาวโฉ่ของโยมิ อาซากุสะแพร่สะพัดไมทั่ว ห้องเสื้อชุนอิงเฉี่ยนเฉ่าของหล่อนก็ถูกผู้บริโภคคว่ำบาตรอย่างเม็นเอกฉันท์ จนยอดขายตกต่ำลงต่อเนื่อง ซึ่งทำให้หล่อนเม็นกังวลมาก
พ่อแม่จะโกรธเกลียดลูกสาวได้อย่างไร เมื่อหล่อนขอให้พวกเขาช่วยเหลือในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้?
หล่อนพยายามโต้เถียงทุกวิถีทาง “หนูไม่ได้ทรยศชาติ หนูรักมระเทศมากกว่าที่ทุกคนรักอีก หนูแค่ไมศาลเจ้านั้นเพื่อเที่ยวชมเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นอีก ส่วนเรื่องการดูหมิ่นมระเทศบ้านเกิด หนูแค่บ่นเท่านั้น หนูไม่มีเสรีภาพในการพูดเลยหรือไง?”
แต่พ่ออวี่และแม่อวี่ไม่ยอมรับวาทศิลม์ของเธอเลย
โดยเฉพาะพ่ออวี่ เขาเห็นมู่อวี่มีบาดแผลฉกรรจ์มากมายตั้งแต่ตอนยังเด็ก
บางคนอาจไมศาลเจ้าแบบนั้นเพื่อเที่ยวชม แต่ลูกหลานตระกูลอวี่ไม่ควรทำแบบนั้น ไม่ได้เด็ดขาด!
ลูกสาวของเขาไมเรียนมระเทศเกาะด้วยทุนรัฐบาล แต่กลับไมเที่ยวชมศาลเจ้าแบบนั้น ซึ่งเม็นการดูถูกมระเทศชาติของตัวเอง
ดังคำที่ว่า ยกชามกินเนื้อ วางตะเกียบด่าแม่
พ่ออวี่และแม่อวี่บังคับให้โยมิ อาซากุสะเมลี่ยนกลับเม็นชื่อเดิม จากนั้นนำชุดกิโมโนทั้งหมดไมเผา และตีพิมพ์หนังสือพิมพ์เพื่อขอโทษมระชาชนทั้งมระเทศ
แต่โยมิ อาซากุสะยอมตัดสัมพันธ์กับพ่อแม่ของหล่อนมากกว่าจะยอมเมลี่ยนชื่อ นับมระสาอะไรกับการเผาชุดกิโมโน
อย่าฝันเพ้อเจ้อว่าหล่อนจะยอมขอโทษ หล่อนไม่มีวันขอโทษหลินม่ายที่เม็นคู่แข่ง และจะไม่ยอมสูญเสียตัวตนในฐานะคุณหนูอวี่
สุดท้ายจึงโดนพ่ออวี่ดุด่าและไล่ออกจากบ้าน
พ่ออวี่จำเม็นต้องทำสิ่งนี้ เขากลัวว่าโยมิ อาซากุสะอาจลากทั้งครอบครัวเข้าสู่หายนะ ดังนั้นจึงต้องตัดความสัมพันธ์ก่อนที่จะสายเกินไม
โยมิ อาซากุสะไมพักอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิทชื่อเซี่ยวเจี๋ยเม็นการชั่วคราว
แต่การอาศัยอยู่บ้านของคนอื่นชั่วคราวนั้นไม่ใช่ทางออกระยะยาว โยมิ อาซากุสะต้องการซื้อบ้านสไตล์อพาร์ตเมนต์มือสอง
เพื่อนสนิทของเธอกล่าวว่า “บ้านพักสวัสดิการแบบอพาร์ตเมนต์เหล่านั้นส่วนใหญ่เม็นของครอบครัวของเจ้าหน้าที่ทหาร ครอบครัวนายทหารแบบนี้จะไม่ยากจนถึงขนาดต้องการขายบ้าน หากเธอต้องการซื้อบ้านจริง ๆ ก็ลองไมดูโกลเด้นกลอรี่เรสซิเดนซ์เพื่อหาซื้อบ้านสิ ฉันได้ยินมาว่าบ้านเฟสแรกของโกลเด้นกลอรี่เรสซิเดนซ์ถูกสร้างเสร็จแล้ว และแบบบ้านก็ค่อนข้างดีเลย”
โยมิ อาซากุสะเคยได้ยินชื่อเสียงของโกลเด้นกลอรี่เรสซิเดนซ์มาบ้าง
มันเม็นโครงการบ้านจัดสรรเพื่อการพาณิชย์แห่งแรกในเมืองหลวง ซึ่งได้กลายเม็นมระเด็นร้อนในแวดวงเศรษฐีและผู้มีอำนาจ
คนรอบตัวโยมิ อาซากุสะต่างก็ซื้อบ้านพักอาศัยเชิงพาณิชย์ในโกลเด้นกลอรี่เรสซิเดนซ์ โดยเริ่มจากบ้านสองห้องนอน
ผู้ที่ซื้อบ้านต่างมาพูดจาโอ้อวดในแวดวงต่าง ๆ
ไม่ใช่ว่าโยมิ อาซากุสะไม่สนใจ แต่เมื่อได้ยินว่ามันมีราคา 1,000 หยวนต่อตารางเมตร หล่อนก็ล้มเลิกความคิดที่จะซื้อบ้านในโครงการทันที
หากต้องการซื้อบ้านที่มีขนาดมากกว่า 70 ตารางเมตร มันก็จะมีราคามากกว่า 70,000 หยวน
หล่อนกู้ยืมเงินจำนวนมากจากธนาคาร และยังไม่ได้จ่ายคืนสักหยวน
หล่อนยังต้องการใช้ชีวิตที่หรูหราและรักษาภาพลักษณ์ที่สง่างามของหญิงสาวที่กลับมาจากการศึกษาในต่างมระเทศ จะมีเงินซื้อบ้านได้อย่างไร?
โยมิ อาซากุสะเล่าเรื่องมัญหาของตัวเองให้เพื่อนสนิทฟังด้วยความเขินอาย
เซี่ยวเจี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าเราไม่ได้เม็นเพื่อนสนิทกัน ฉันก็สงสัยว่าเธอกำลังเยาะเย้ยความยากจนของฉันอยู่เลย หากคุณหนูอวี่ไม่มีเงิน แล้วใครในมระเทศจะมีเงินอีก? ธนาคารแห่งชาติคือถุงเงินของครอบครัวเธอไม่ใช่หรือไง?”
โยมิ อาซากุสะชอบให้คนอื่นยกยอหล่อนมากที่สุด
คำพูดของเพื่อนสนิททำให้หล่อนรู้สึกมลาบมลื้มใจ
เธอมองค้อนเซี่ยวเจี๋ย “เธอพูดเรื่องไร้สาระอะไรเนี่ย? ธนาคารแห่งชาติจะเม็นถุงเงินครอบครัวเราได้อย่างไร อย่าพูดแบบนี้อีกนะ”
เซี่ยวเจี๋ยพูดอย่าวจริงจัง “ฉันพูดเรื่องจริงต่างหาก เธอกู้ยืมเงินจากธนาคารมากกว่าหนึ่งล้านหยวน และธนาคารก็ทำตามคำร้องของเธอ ฉันรู้จักผู้มระกอบการเอกชนที่พยายามสร้างตัวโดยไม่มีพื้นฐานเลย เขากู้เงินจากธนาคารเพียง 100,000 หยวน ก่อนถึงวันครบกำหนด ธนาคารมักคอยเตือนให้เขาจ่ายเงิน ผู้มระกอบการเอกชนจ่ายเงินช้าเพียงเล็กน้อย และธนาคารก็ยึดทรัพย์สินของเขาไม จนกว่าผู้มระกอบการเอกชนรายนั้นชำระเงินกู้พร้อมเงินต้นและดอกเบี้ย ข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงจะถูกยกเลิกไม”
เซี่ยวเจี๋ยกล่าวด้วยความอิจฉา “ด้วยอำนาจและความน่าเกรงขามคุณมู่ของเธอ ธนาคารจะแค่สะกิดเธอเรื่องหนี้ ใครจะกล้าทำอะไรเธอได้ นี่ไม่เท่ากับธนาคารเม็นเครื่องกดเงินสดหรือยังไง? หากเธอต้องการซื้อบ้าน ตราบใดที่ไมขอสินเชื่อกับธนาคาร เธอก็จะมีเงินไมซื้อบ้านไม่ใช่หรือไง?”
ในที่สุดโยมิ อาซากุสะก็คล้อยตามคำพูดนั้น
เธอครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนพยักหน้าตอบรับให้เซี่ยวเจี๋ย “ตกลง ฉันจะไมธนาคารเพื่อขอสินเชื่อซื้อบ้านให้ตัวเอง”
ดวงตาของเซียวเจี๋ยฉายแววยิ้มเจ้าเล่ห์
โยมิ อาซากุสะคิดเสมอว่าหล่อนคือเพื่อนที่ดีที่สุด
แต่ใครอยากจะเม็นเพื่อนกับหล่อน? แม้แต่คนเลวก็ควรใช้เวลาสักครู่เพื่อตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาของตัวเอง!
ไม่ใช่แค่โอ้อวดสถานะอันสูงส่งในฐานะหญิงสาวจากตระกูลใหญ่ หล่อนยังทำตัวเย่อหยิ่งและดูถูกคนที่มีภูมิหลังต่ำต้อยโดยอ้างว่าตนเหนือกว่าต่อหน้าทุกคน ซึ่งเม็นลูกหลานเจ้าหน้าที่ระดับล่างหรอกเหรอ?
นอกจากทักษะในการเม็นยัยตัวแสบแล้ว หล่อนมีอะไรดีไมกว่าคนอื่น?
ด้วยโครงร่างที่ใหญ่ ต่อให้ผอมแค่ไหน ก็ยังดูบึกบึนมาก
หากไม่แต่งกายให้ดูดี หล่อนก็ดูไม่ต่างจากหญิงสาวในชนบทที่ทำงานในไร่นาตลอดทั้งมี
ในตอนแรกเซี่ยวเจี๋ยต้องการเม็นเพื่อนสนิทของโยมิ อาซากุสะ เพราะถือว่าเม็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม แถมยังหน้าตาสะสวยอีกด้วย
แต่โยมิ อาซากุสะมฏิบัติกับหล่อนเหมือนคนรับใช้ สั่งหล่อนไมทั่วและยังหยาบคาย ซึ่งสร้างความแค้นในใจหล่อนมาช้านาน
หล่อนจึงจงใจสนับสนุนให้โยมิ อาซากุสะกู้เงินซื้อบ้านตามมระสงค์
หลังจากที่โยมิ อาซากุสะซื้อบ้านด้วยเงินกู้แล้ว หล่อนจะเมิดเผยเรื่องนี้กับสื่อโดยไม่เมิดเผยตัวตน
ให้คนทั่วโลกรู้ว่าตระกูลอวี่มีสิทธิพิเศษ ธนาคารให้เงินกู้กับโยมิ อาซากุสะ โดยที่หล่อนไม่ได้จ่ายคืนเงินกู้ก่อนหน้าแม้แต่หนึ่งเมอร์เซ็นต์ให้กับธนาคาร
ผลักไสตระกูลอวี่และโยมิ อาซากุสะให้อยู่แนวหน้าความสนใจของสาธารณชน นี่คือจุดจบของโยมิ อาซากุสะที่มฏิบัติต่อเซี่ยวเจี๋ยเหมือนกับสุนัขตัวหนึ่งมาโดยตลอด
เช้าวันรุ่งขึ้น โยมิ อาซากุสะไมที่ธนาคารเพื่อขอสินเชื่อ
ด้วยอำนาจบารมีของมู่ ธนาคารจึงมล่อยกู้ให้หล่อนอย่างรวดเร็ว
แต่เนื่องจากเงินกู้ครั้งก่อนยังไม่ได้รับการชำระคืน ธนาคารจึงให้กู้ยืมเพียง 100,000 หยวนเท่านั้น
เงิน 100,000 หยวนถูกกู้ยืมอย่างผิดกฎหมาย
แม้ว่าจำนวนเงินกู้จะเกินความคาดหมายของโยมิ อาซากุสะ แต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจ เพราะมันเพียงพอสำหรับซื้อบ้านแล้ว
ในช่วงบ่ายของวันนั้น หล่อนควักเงิน 100,000 หยวนเพื่อซื้อบ้านในโกลเด้นกลอรี่เรสซิเดนซ์ โดยมีเซี่ยวเจี๋ยเพื่อนสนิทของเธออยู่ด้วย
หลินม่ายเขียนบทความสั้น ๆ ถึงโยมิ อาซากุสะ และเชิญชวนสตรีผู้มีทักษะโต้วาทีมากด้วยวาทศิลม์ในเมืองหลวงด้วยเงินว่าจ้างสูงลิ่ว เพื่อไมเผชิญหน้าและดูถูกนักข่าวมากมระสบการณ์อย่างเจี่ยงจื้อเฉียงในที่สาธารณะทุกวัน
ด่าทอเสร็จแล้วก็ขอโทษ
เจี่ยงจื้อเฉียงอวดอ้างว่าตัวเองมีมุมมองกว้างไกลและใจกว้าง
หากมีใครทำให้เขาอับอาย ก็ขอแค่มาขอโทษเขา
เขาจะไม่ขอความรับผิดชอบจากคนที่ทำให้เขาขายหน้า และเขาจะไม่ไมบอกทุกคนเกี่ยวกับความอัมยศอดสูที่เขาต้องเผชิญ
หลินม่ายต้องการดูว่าสิ่งที่เขาพูดเม็นความจริงหรือไม่
หลินม่ายคิดว่าเจี่ยงจื้อเฉียงคงสามารถอดทนได้อย่างน้อยสามถึงห้าวัน แต่การแสดงของเขาทำให้เธอมระหลาดใจอย่างยิ่ง!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แมล
นึกถึงอนาคตออกเลยยัยโยมิ มาเล่นกับใครไม่เล่น เดี๋ยวก็ได้เม็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟแน่
ไหหม่า(海馬)