บทที่ 909 ซากปรักหักพังอุปโลกน์ ดินแดนที่แท้จริง!
“สุดยอดจริงด้วย…”
หลี่จิ่วเต้าแสร้งทำเป็นทึ่ง
เขาอยากเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่ว่านี้เป็นตัวอะไร ถึงได้หลอกล่อเขาถึงเพียงนี้
ส่วนวิชาสวรรค์ที่ว่า เขามิได้ฟังด้วยซ้ำ เพราะไม่เข้าหูเลยสักนิด
“ถ่ายทอดวิชาสวรรค์ที่ทรงพลังกว่านี้ให้ข้าได้จริงหรือ”
หลี่จิ่วเต้าแสดงท่าทีกระตือรือร้นราวกับติดเบ็ด
“แน่นอน ขอเพียงเจ้าทำตามที่ข้าบอก หลังข้าออกมาแล้วย่อมต้องขอบคุณเจ้าเป็นการยิ่งใหญ่ ถ่ายทอดวิชาสวรรค์ที่ทรงพลังกว่านี้แก่เจ้า!”
ปราณศพเอ่ย มันบอกให้หลี่จิ่วเต้าโจมตีแกนกลางของพลังผนึก ขณะเดียวกัน มันเองก็เตรียมตัวเรียบร้อย ขณะที่หลี่จิ่วเต้าโจมตีแกนกลางผนึก มันจะลงมือจากภายใน เมื่อทั้งคู่ประสานการโจมตีย่อมสามารถทลายผนึกแห่งนี้ได้
บัดนี้อีกเพียงนิดเดียวมันก็จะทลายผนึกในที่แห่งนี้ลง ขอเพียงหลี่จิ่วเต้าสมทบจากข้างนอกให้นิดหน่อย มันก็จะทลายผนึกได้อย่างง่ายดาย
“ได้”
ชายหนุ่มทำตามที่ปราณศพว่า มายังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นแกนกลางผนึก
เขาตั้งจิต พลังพวยพุ่งออกจากฝ่ามือกระหน่ำโจมตี
ปราณศพรอเวลานี้อยู่ หลังหลี่จิ่วเต้าลงมือ มันก็ลงมือทันควัน โจมตีแกนกลางผนึกจากภายใน
ตู้ม!
เสียงระเบิดอันน่ากลัวดังขึ้น ผนึกทั้งหมดพังครืน แต่เดิมปราณศพนั้นแข็งกร้าวอยู่แล้ว ขาดเพียงนิดหน่อยเท่านั้น หลี่จิ่วเต้ามิต้องสำแดงพลังมากมาย ปราณศพก็ทลายผนึกได้ง่ายดาย
“ฮ่า ๆ ในที่สุดข้าก็ออกมาได้แล้ว!”
ปราณศพหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะสะเทือนนภา มันคือปราณขุ่นมวลหนึ่ง ดูโสมมอย่างยิ่ง ซ้ำยังพิศวงน่าสะพรึง
หลี่จิ่วเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ต่างจากที่เขาคิดเลยจริง ๆ สิ่งที่ถูกสะกดไว้ในนี้มิได้ดีเด่น หาได้บริสุทธิ์อย่างที่มันกล่าว
“ถ่ายทอดวิชาสวรรค์ที่ทรงพลังกว่านี้ให้ข้าได้หรือยัง”
ชายหนุ่มถาม มิได้รีบร้อนลงมือ อยากแน่ใจก่อนว่าปราณมวลนี้เป็นพวกชั่วช้าสามานย์จริงหรือไม่
“แน่นอนว่าได้ ข้าคือจ้าวสวรรค์ไร้พ่าย ย่อมต้องรักษาคำพูด”
ปราณศพยังคงหัวเราะร่วน ไม่เห็นหลี่จิ่วเต้าในสายตาสักนิด
มันทลายผนึกออกมาแล้ว ลงมือได้โดยมิถูกจำกัด ในสถานการณ์เช่นนี้ พลังที่มันสำแดงออกมาย่อมกล้าแกร่งยิ่งขึ้น หลี่จิ่วเต้าไม่มีทางคุกคามมันได้แม้แต่น้อย
หลี่จิ่วเต้าฉงน หรือว่าเขาคิดผิดไป?
ปราณศพมิได้จู่โจมเขา ทั้งยังเอ่ยว่าจะรักษาคำพูด
“ทว่าข้ามิได้ลิ้มรสโลหิตมานาน ถวิลหาถึงรสชาติโลหิตอย่างยิ่ง”
ปราณศพกล่าว “ข้าขอดื่มเลือดของเจ้าสักหน่อย เจ้าคงไม่ถือสาใช่หรือไม่ อ้อ ต่อให้เจ้าถือสาก็ไม่เป็นไร เพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์มีเสียงในเรื่องนี้อยู่ดี”
“…”
หลี่จิ่วเต้าหมดคำพูดในบัดดล เขาไร้เดียงสาเกินไปจริง ๆ หมอนี่เป็นพวกชั่วช้าสามานย์จริง ๆ ด้วย ทันทีที่ออกมาก็ต้องการดื่มเลือดของเขา ระยำยิ่งนัก
เขารู้สึกว่าปล่อยมันไปมิได้ หากปล่อยให้หนีไป ไม่รู้ว่าต้องมีสิ่งมีชีวิตอีกตั้งเท่าไหร่ต้องพลอยซวยไปด้วย
“มาเถิด ขอข้าลิ้มรสโลหิตสด ๆ หน่อย”
ปราณศพส่งเสียงหัวเราะอึมครึมชั่วร้าย เผยปากใหญ่ออกมา เขมือบไปทางหลี่จิ่วเต้า
แน่นอนว่ามันมิได้ต้องการเพียงดื่มเลือด
หลี่จิ่วเต้าปรากฏตัวในที่แห่งนี้ได้ย่อมไม่ธรรมดา หากได้กินอีกฝ่ายเข้าไป ย่อมต้องเป็นประโยชน์ต่อมันแน่อย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าหุบปากเสียเถิด”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ แผลงฤทธิ์ปากประกาศิตได้อย่างไร้ที่ติ สิ้นเสียงเขา ปากใหญ่ที่ปราณศพก่อร่างขึ้นมาก็พลันหุบสนิท!
ปราณศพตื่นตระหนก หวาดผวาขึ้นมา ฝีมืออะไรกัน เหนือความคาดหมายของมันไปอย่างสิ้นเชิง!
มันคือปราณศพในศพฉินอี้ เป็นจุดรวมพลัง สุดท้ายเพียงประโยคเดียวของหลี่จิ่วเต้าก็ปิดผนึกปากของมันได้อย่างนั้นหรือ?!
มันตระหนักได้ในพริบตาว่าตนประเมินหลี่จิ่วเต้าต่ำไปอย่างมาก อีกฝ่ายน่าครั่นคร้ามที่มันคาดไว้อย่างยิ่งยวด!
ทว่ามันมิได้วิตกกังวล บัดนี้มันทำลายผนึกได้แล้ว สามารถติดต่อร่างศพมาช่วยมันที่นี่!
รอจนมันได้ผสานเป็นหนึ่งกับร่างศพ ต่อให้หลี่จิ่วเต้าจะแกร่งกล้าเพียงใดก็ไร้ผล!
‘ร่างศพมานี่เร็วเข้า!’
มันรีดเร้นวิชาลับในใจ พยายามติดต่อร่างศพ
ในความคิดของมัน ร่างศพคงทลายผนึกจากกระบี่ฉุนจวินได้แล้วเช่นกัน ต่อให้ยัง ผนึกจากกระบี่ฉุนจวินก็มิได้ทรงพลังดั่งเก่าอย่างแน่นอน
มันใช้วิชาลับนี้สร้างการเชื่อมต่อกับร่างศพได้
หากร่างศพยังมิได้ทลายผนึกของกระบี่ฉุนจวิน มันจักช่วยร่างศพทลายผนึกผ่านวิชาลับนี้ เพื่อให้ร่างศพได้มาผสานเป็นหนึ่งกับมันที่นี่
ทว่าต่อมา มันกลับต้องนิ่งอึ้ง
ร่างศพ…หายไปแล้ว!
มันสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างศพไม่มีอยู่อีก ถูกกำจัดไปอย่างสมบูรณ์
เป็นไปได้อย่างไร?!
มันมิอาจเชื่อได้ลง!
ฉินอี้เป็นถึงตัวตนระดับใด เขาคือผู้ติดตามข้างกายผู้เบิกทางท่านนั้น ศพของเขาฟ้าดินมิอาจทำลาย ต่อให้ยอดฝีมือขอบเขตอิสระขั้นห้าโจมตีทุกวี่วันไม่หยุดหย่อนเป็นเวลาหลายล้านปีก็ไม่มีทางทำลายได้!
ทว่าบัดนี้ มันกลับจับสัมผัสร่างศพมิได้เลยสักนิด
บ่งบอกว่าร่างศพหายไปแล้วจริง ๆ!
‘คงมิใช่เขาที่เป็นผู้กำจัดกระมัง!’
มันหันมองหลี่จิ่วเต้า อย่าให้เอ่ยเลยว่ารู้สึกแย่เพียงใด
หลี่จิ่วเต้ากำจัดร่างศพเสร็จแล้วมากำจัดมันที่นี่ต่ออย่างนั้นหรือ?!
สวรรค์! หลี่จิ่วเต้าผู้นี้เป็นใครกันแน่ ถึงได้มีพลังสยดสยองปานนี้!
ก่อนนี้มันยังทึกทักว่าชายผู้นี้ไม่เป็นภัย คิดหลอกล่อให้อีกฝ่ายยอมรับใช้มัน สุดท้ายมันต่างหากที่โง่งมสิ้นดี!
‘ใจเย็นก่อน เขาน่าพรั่นพรึงเพียงนั้นที่ไหน ต่อให้ร่างศพถูกเขาทำลายไปจริง ๆ แล้วอย่างไร ข้าก็ไม่เหมือนกับร่างศพ ไม่มีทางถูกกำจัดโดยง่ายแน่!’
มันกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง ต่อให้หลี่จิ่วเต้าแข็งแกร่งปานใดยังมีขีดจำกัด มันไม่มีทางถูกหลี่จิ่วเต้ากำจัด
แน่นอนว่าให้สู้คงสู้หลี่จิ่วเต้ามิไหว ลำพังประโยคเดียวก็สะกดปากมันได้ หลี่จิ่วเต้าย่อมเหนือกว่ามันหลายขุม!
“ไป!”
มันสำแดงวิชาลับบางอย่าง ปราณโลหิตชั่วร้ายทะยานนภา ม่านหมอกโลหิตมหาศาลแผ่ซ่านออกไปปกคลุมฟ้าดิน มันคิดจะหนีไปจากที่นี่
นี่คือวิชาลับหลบหนีอันเก่าแก่ทรงพลัง สามารถแบ่งร่างแยกออกไปนับล้านในเสี้ยวลมหายใจ ทั้งยังทะลุมิติ ส่งร่างแยกนับล้านออกไปปรากฏตามพื้นที่ห่างไกล
กล่าวโดยไม่เกินจริง หลังสำแดงวิชาลับหลบหนี มิมีผู้ใดหยุดเขาได้อีก
ให้หยุดอย่างไรไหว?
ร่างแยกนับล้านปรากฏตัวตามพื้นที่ห่างไกลต่าง ๆ ในพริบตาเดียว ตราบใดที่เหลือร่างแยกอยู่หนึ่ง มันก็จะไม่ตาย ต่อให้หลี่จิ่วเต้าแข็งแกร่งเพียงใดก็ทำอันใดมิได้
จากนั้น ลมหายใจต่อมา ประกายสีเลือดนับล้านพวยพุ่งออกไปทั่วสารทิศ ทะลุมิติ ปรากฏตัวตามพื้นที่ห่างไกลมากมายนับไม่ถ้วน
ปราณศพก็วางใจได้อย่างสิ้นเชิง
“เขาทะนงตนเกินไป คิดว่าควบคุมข้าได้ง่าย ๆ มิได้ป้องกันอันใดไว้”
ปราณศพเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น
ยังดีที่หลี่จิ่วเต้าเย่อหยิ่งทะนง มิได้ป้องกันไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น ในสถานการณ์ที่พลังห่างชั้นกันเช่นนี้ มันคงยากจะหนีพ้น
“ไม่ต้องรีบผสานเป็นหนึ่ง รอให้ผ่านไปอีกสักระยะก่อน”
มันรอบคอบอย่างมาก ไม่คิดรวมร่างกับร่างแยกนับล้านที่กระจายออกไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้หลี่จิ่วเต้าจับร่างแยกของมันได้จำนวนหนึ่งก็ไม่เป็นไร
“กำจัดร่างศพแล้วยังคิดกำจัดข้าอีกหรือ เรื่องนี้ไม่จบง่าย ๆ แน่!”
นัยน์ตาของมันเย็นยะเยือก สาบานว่าจะแก้แค้นให้ได้
ร่างศพถูกทำลายจนมันมิอาจประสานเป็นหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อมันอย่างมาก ไม่อาจครอบครองพลังสูงสุด
“ซากปรักหักพังอุปโลกน์ ดินแดนที่แท้จริง…เรื่องเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร?!”
มันพึมพำเสียงเบา น้ำเสียงเคร่งเครียดถึงขีดสุด
คล้อยตามเวลาที่เลยผ่าน พลังของมันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ความทรงจำของฉินอี้ผุดเข้ามาในหัวมันจำนวนหนึ่ง
ความทรงจำที่ว่ามิได้มากเท่าใด หรืออาจเรียกได้ว่าน้อยจนน่าสงสาร มีเพียงสองคำที่มันได้เอ่ยออกมา
หนึ่งคือซากปรักหักพังอุปโลกน์ หนึ่งคือดินแดนที่แท้จริง!
นี่มันหมายความว่าอย่างไร
มันคิดไม่ตก ไม่เข้าใจเลยสักนิด
กระนั้นมันก็ตระหนักดีว่าฉินอี้คงล่วงรู้บางอย่าง และซากปรักหักพังอุปโลกน์กับดินแดนที่แท้จริงคือตัวแปรสำคัญ
ที่เกิดเรื่องกับฉินอี้จนถึงแก่ชีวิตน่ากลัวว่าเกี่ยวข้องกับซากปรักหักพังอุปโลกน์และดินแดนที่แท้จริง
เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดหรือคือซากปรักหักพังอุปโลกน์ สิ่งใดหรือคือดินแดนที่แท้จริง?!
มันไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย ไม่รู้ต้องเริ่มคาดเดาจากตรงไหน!
“พวกเราอาศัยอยู่ในซากปรักหักพังอุปโลกน์ ทุกสิ่งที่เห็นล้วนเป็นของปลอม หาใช่ดินแดนที่แท้จริง!!!”
เวลานั้นเอง จู่ ๆ มันก็ร้องเสียงหลง น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเหลือเชื่อ
ความทรงจำของฉินอี้ปรากฏออกมาอีกส่วน ยังไม่มากเท่าใด และเกี่ยวข้องกับซากปรักหักพังอุปโลกน์กับดินแดนที่แท้จริง
นี่เป็นความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่ฉินอี้คาดเดา
ฉินอี้มุ่งหน้าตามรอยผู้บุกเบิกท่านนั้น คล้ายว่าล่วงรู้ความจริงบางอย่างถึงได้คาดการณ์เช่นนี้
ส่วนฉินอี้ล่วงรู้สิ่งใด แล้วเหตุใดถึงคาดเดาไปอย่างนี้มันไม่ทราบ ความทรงจำที่เกี่ยวข้องไม่ปรากฏ
การคาดเดาเช่นนี้ทำให้มันหวาดผวาขึ้นมาเป็นหนักหนา เพราะน่ากลัวเหลือเกิน
หากการคาดเดานี้เป็นจริง มิได้หมายความว่าพวกเขามิใช่สิ่งมีชีวิตจริง ๆ หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอุปโลกน์หรอกหรือ?!
“เป็นไปไม่ได้! ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเราล้วนสมจริงปานนั้น จะเป็นสิ่งมีชีวิตอุปโลกน์ได้อย่างไร?!”
มันไม่อาจปักใจเชื่อ
เป็นของปลอมหมดเลยหรือ?!
เป็นไปได้อย่างไร!
สิ่งมีชีวิตนับล้าน โลกอันกว้างใหญ่ไร้ใดเปรียบ ขอบเขตพลังสูงส่งกล้าแกร่ง ท้ายสุดแล้วเป็นของปลอมหมดเลยหรือ?
มันไม่เชื่อเด็ดขาด!
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ซ้ำพิจารณาจากความทรงจำท่อนนี้ ฉินอี้ก็รู้สึกไม่เข้าท่าเช่นกัน ต่อมาเขาไดัปัดข้อสันนิษฐานนี้ตกไป!”
ไม่นานนักเขาก็ใจเย็นลง
เพราะในช่วงต่อมาของความทรงจำนี้ ฉินอี้ปฏิเสธสมมติฐานนี้ไป เห็นได้ชัดว่าฉินอี้ก็รู้สึกว่าการคาดเดานี้ผิดจากความเป็นจริงเกินไป!
กระนั้นมันยังรู้สึกหนักอึ้งในใจ
ฉินอี้ประสบพบเจอสิ่งใดกันแน่ ถึงได้ตั้งข้อสันนิษฐานที่เพ้อเจ้อเช่นนี้?!
การคาดเดาเช่นนี้ไม่มีทางผุดขึ้นมาเอง…
“ไม่เป็นไร ต่อจากนี้ข้าจักล่วงรู้ทุกอย่าง! นี่อย่างไร หลังข้าทำลายผนึกก็มีความทรงจำช่วงใหม่ปรากฏ” มันเอ่ย
หลังทลายผนึกแล้ว มิมีสิ่งใดคอยจำกัดมันอีก ความทรงจำที่โผล่พรวดเข้ามาต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นแน่
มันรู้สึกว่า รอจนมันแข็งแกร่งขึ้น ต้องมีความทรงจำโผล่ออกมามากกว่านี้แน่
ถึงคราวนั้น มันจักล่วงรู้ความจริง
“ยโสโอหัง เจ้าต้องชดใช้ให้ความยโสโอหังนี้!”
มันเอ่ยเสียงเย็น นึกถึงหลี่จิ่วเต้าอีกครั้ง
หนนี้มันหนีมาได้เพราะหลี่จิ่วเต้าประมาท หลังจากนี้ มันจะทำให้หลี่จิ่วเต้าได้รู้ว่าผลลัพธ์ของการปล่อยให้มันหนี ร้ายแรงเพียงใด!
มันจักให้หลี่จิ่วเต้าชดใช้ด้วยชีวิต
ทว่ามันทึกทักเอาว่ามันหนีพ้น มิได้อยู่ในอันตรายอีก
แต่แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรือ?