ตอนที่ 340 เซี่ยงไฮ้ปักกิ่งครอบครัวเดียวกัน (2)
ภายในสนามกีฬา
อธิการเฝิงจากมหาวิทยาลัยซีซานที่อยู่ชั้นสองไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกแล้ว ส่งสายตาเป็นนัยให้อาจารย์ระดับสูงขั้นหกของซีซานที่อยู่ด้านข้างอย่างจนใจอยู่บ้าง “โจวอู๋จี๋ ยอมแพ้!”
ด้านล่าง
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต่อกันเลย ไม่ต้องให้เวลาพักผมหรอก”
ไม่มีใครสนใจเขา
นายออกแรงด้วยหรือไง? ให้เวลาพักหรือไม่พักต่างกันตรงไหน?
แต่การแข่งขันยังต้องดำเนินต่อ สมาชิกทีมของมหาวิทยาลัยซีซานคนที่สามสงสนามแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนสุดท้ายของซีซาน
เห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ราวกับมองความตายเป็นการได้กลับบ้าน จู่ๆ ฟางผิงก็กดเสียงว่า “ให้ฉันห้าล้าน ฉันจะสู้เป็นเพื่อนนายหนึ่งนาที!”
“ฟางผิง!”
ไม่รอให้คนๆ นั้นเอ่ยปาก ผู้ตัดสินก็ตำหนิขึ้นมาก่อน “แข่งขันได้แล้ว ถ้าพูดไร้สาระอีก จะริบคุณสมบัติการแข่งขันของเธอซะ!”
แม่งเหอะ เจ้าเด็กนี้บ้าไปแล้วหรือไง?
จะมาล้มมวยต่อหน้าเขาเนี่ยนะ!
ฟางผิงจนใจอยู่บ้าง ช่างเถอะ แค่ล้อเล่นเท่านั้น ผู้ตัดสินกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง ไม่มีอารมณ์ขันสักนิด
“วิชาสะกดร่าง!”
ฟางผิงตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งหมัดออกไป ครั้งนี้ฟางผิงไม่ปล่อยพลังออกมาอีก แต่ลอยเคลื่อนไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ชกจนอีกฝ่ายกระเด็นออกจากเวทีไป
ไม่จำเป็นต้องให้คนพูดยอมแพ้อีกแล้ว เสียเวลาเปล่า
“ฟางผิงชนะ!”
พิธีกรทั้งสองคนไม่อธิบายอะไรอีกเช่นกัน ตอนนี้อธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์
ฟางผิงไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย ตะโกนว่า “ต่อเลย!”
“มหาวิทยาลัยซีซานยอมแพ้!”
อธิการเฝิงที่อยู่ชั้นสองเอ่ยปากยอมแพ้ไปตรงๆ
ยังเหลือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดอีกสองคน จะสู้หรือไม่สู้แทบจะไม่ต่างกัน
ขึ้นเวทีแล้ว นอกจากถูกฟางผิงชกกระเด็นก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีก
ขั้นสี่ยังพอจะฝากความหวังให้รับกระบวนท่าได้ ขั้นสามคงต้องปล่อยไป หากสู้อีก คงขายหน้ามหาวิทยาลัยซีซานจนไม่เหลือแล้ว
สรุปแล้วใช้เวลาไปทั้งหมดห้านาที!
ในห้านาทีนี้ ฟางผิงใช้เวลาต่อสู้บนเวทีเกือบสามนาที!
การแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว!
มองผู้ชมที่เต็มสนาม คนของมหาวิทยาลัยปักกิ่งปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง
ต้องทำยังไง?
ทุกคนเพิ่งจะเข้ามานั่งได้ไม่นาน!
ตอนนี้ต้องสลายตัวแล้ว?
การแข่งขันครั้งนี้มีการเก็บค่าเข้าชม ตั๋วใบละหนึ่งพันหยวน ไม่แพงทั้งไม่ถูกเช่นกัน
ผลปรากฏว่า…บางคนแอบแวบไปเข้าห้องน้ำ การแข่งขันก็จบลงแบบนี้แล้ว น่าหดหู่ใจอะไรอย่างนี้!
คนของมหาวิทยาลัยปักกิ่งปวดหัว เวลานี้พิธีกรทั้งสองคนกลับรู้ว่าต้องไว้หน้าให้ปักกิ่ง อย่างน้อยต้องกู้สถานการณ์กลับมา จะว่ายังไงดีล่ะ การแข่งขันควรจะสู้กันสักสิบกว่านาทีถึงจะเหมาะสม ตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่นานเท่านั้น เร็วจนไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
เห็นฟางผิงกำลังจะเดินเท่ๆ ลงจากเวที พิธีกรชายก็ละล่ำละลักเอ่ยว่า “หัวหน้าทีมฟาง รบกวนรอสักครู่ เกี่ยวกับการแข่งขันเมื่อกี้ คุณมีอะไรอยากจะพูดกับทุกคนบ้าง?”
“มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มุ่งมั่นจะเป็นที่หนึ่ง แม้ว่ามหาวิทยาลัยซีซานจะไม่อ่อนด้อย แต่เทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ แล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้กลับพัฒนามาจนถึงขั้นนี้ ช่วงชิงกับมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่มหาวิทยลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปจะทำได้”
ครั้งนี้ฟางผิงกลับไว้หน้าให้มหาวิทยาลัยปักกิ่งเล็กน้อย เอ่ยต่อ “แน่นอนว่าผมยังต้องพูดอีกหนึ่งประโยค ครั้งนี้มหาวิทยาลัยปักกิ่งจัดการได้ไม่ค่อยดีนัก การต่อสู้ของขั้นสี่ อันที่จริงจัดในพื้นที่โล่งจะดีกว่า อยู่ข้างในขยับมือขยับเท้าไม่ค่อยสะดวก ตอนนี้เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ต่อไปพอเข้าสู่ศึกชิงสิบอันดับ ยอดฝีมือจะมากกว่านี้ ผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องจำกัดการประลองให้อยู่แค่บนเวที สำหรับใครหลายคนถือว่ามีข้อจำกัดเกินไป! ผมนั้นไม่เป็นไร แต่สมาชิกทีมบางคนที่เคลื่อนไหวเร็ว แค่ขยับก็อาจจะหลุดจากเวทีไปแล้ว นี่จะถือว่าพวกเขาแพ้น่ะสิ? ในเมื่อเป็นการประลองฝีมือ งั้นก็ควรจะทำให้ครอบคลุมหน่อย”
“ดังนั้นผมแนะนำให้การแข่งขันต่อจากนี้ ควรจะจัดในพื้นที่โล่งด้านนอก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่จะสามารถแสดงศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ อีกอย่างการแข่งขันครั้งต่อไป อันที่จริงผมอยากแนะนำให้เพิ่มหัวข้อเข้าไปสักหน่อย การต่อสู้เป็นทีม! ผู้ฝึกยุทธ์ต่อสู้ตัวต่อตัวถือว่าแข็งแกร่ง แต่การต่อสู้เป็นทีมก็สำคัญเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธ์บางส่วน แม้จะอยู่ขั้นสี่ ก็อาจไม่ได้เดินทางด้วยตัวคนเดียว พวกเรามีทีมของตัวเองเช่นกัน ความสามัคคีของทีมจะสามารถระเบิดพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าขึ้นมาได้ เพิ่มการต่อสู้เป็นทีมแล้ว ก็จะสามารถร่นระยะห่างระหว่างกันให้แคบลงได้ อย่างเช่นครั้งนี้ หากมหาวิทยาลัยซีซานรวมทีมขึ้นมาห้าคน แม้ว่าจะแพ้ ก็ไม่อาจแพ้อย่างน่าเกลียดแบบนี้…”
ฟางผิงพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน พิธีกรสองคนแทบไม่รู้ว่าควรจะรับบทสนทนายังไงดี
นี่ไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันครั้งนี้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์จนใจ พิธีกรชายทำได้เพียงตัดบทสนทนา “ประธานฟาง ในความคิดของคุณ การแข่งขันครั้งนี้ทีมไหนดูเป็นภัยคุกคามมากที่สุด?”
“ถ้าพูดถึงฝีมือโดยรวมต้องเป็นมหาวิทยาลัยปักกิ่งอยู่แล้ว แต่ถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่งจะแข็งแกร่ง พอเป็นการสู้ตัวต่อตัวแล้วอาจจะไม่มีประโยชน์ขนาดนั้นเสมอไป ระบบการแข่งขันแบบนี้ ความแข็งแกร่งของคนใดคนหนึ่งถึงจะมีพลังคุกคามมากกว่า โรงเรียนเตรียมทหารอันดับหนึ่ง มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยหนานเจียง สถาบันพวกนี้ต่างมียอดฝีมือขั้นสี่อยู่ มีความสามารถพอๆ กันทั้งนั้น”
“มหาวิทยาลัยหนานเจียง? ประธานฟางหมายถึงประธานหวังจินหยาง? ประธานหวังไม่ได้อยู่ในการจัดอันดับที่สูงนักในขั้นสี่…”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำหรับพวกเรา อันที่จริงการจัดอันดับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร มีเวลาก็ไปท้าประลองดูเท่านั้น ถ้าไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไร พวกเราไม่ได้ว่างถึงขนาดนั้น ส่วนมากจะไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้จนเกินไป…”
คำพูดนี้ราวกับตำหนิเหยาเฉิงจวินและหลี่หานซงว่าว่างกันเหลือเกิน
คนของมหาวิทยาลัยปักกิ่งและโรงเรียนเตรียมทหารอันดับหนึ่งต่างเผยสีหน้าขุ่นเคือง กระทั่งยังไม่พอใจต่อพิธีกรด้วยซ้ำ ยังจะถามให้ได้เรื่องอีก รีบปล่อยเขาออกไปซะ!
พิธีกรทั้งสองคนเห็นว่ายืดเวลาได้กว่าสิบนาทีแล้วก็ไม่ถามต่อ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณประธานฟางที่แสดงความคิดเห็นต่อการแข่งขันครั้งนี้…”
ฟางผิงไม่ใส่ใจเช่นกัน เดินกลับไปด้านหลังเวที
ส่วนแผ่นโลหะผสมที่อยู่ด้านหน้าเวทีพวกนั้น เขาไม่ได้หันไปมอง
ภายใต้สายตาของทุกคน ต้องรักษาท่าทีเคร่งขรึมเอาไว้
แม้ว่าเขาจะสามารถนำกลับไปเป็นสินสงครามได้ ทั้งปักกิ่งอาจจะไม่ทวงคืนจากเขาเช่นกัน แต่ฟางผิงยังคงรักหน้าตา จะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน
เข้าไปด้านหลังเวทีแล้ว ฟางผิงก็มองไปทางฉินเฟิ่งชิง “ตรงเวทีมีโลหะผสมระดับ C อยู่ไม่น้อย ตอนนี้มหาวิทยาลัยปักกิ่งไม่บากหน้าไปเก็บหรอก นายไปเอาสิ แบ่งกันแปดสิบยี่สิบ!”
ฉินเฟิ่งชิงนิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยอย่างจนใจว่า “ทำไมนายไม่ไปเอาเองล่ะ?”
“ไร้สาระ ทุกคนรู้จักฉันกันหมด คนมีชื่อเสียงอย่างฉันจะทำเรื่องพวกนี้ได้ยังไง? นายเป็นอะไรที่ไหน ไม่มีใครจำนายได้”
“ฉัน…ฉันไปเอา นั่นก็ต้องเป็นของฉัน!”
“ฉันเป็นคนทำลาย ห้าสิบห้าสิบ นับว่าฉันไว้หน้านายแล้ว”
“แปดสิบยี่สิบ ฉันแปดสิบ นายยี่สิบ!”
“เจ็ดสิบสามสิบ!”
“…”
ทั้งสองคนถกเถียงอย่างออกรส มหาวิทยาลัยซีซานที่อยู่ด้านข้างต่างเผยใบหน้าดำคล้ำ ก่อนจะแค่นเสียงในลำคออย่างเงียบๆ เดินออกจากเวทีไป
แพ้ให้คนอื่นก็แล้วไป แต่แพ้ให้ทีมแบบนี้ รู้สึกขายหน้ายังไงไม่รู้
“เร็วหน่อย ไม่งั้นมีคนเก็บไปไม่รู้ด้วย!”
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
ฉินเฟิ่งชิงไม่ชักช้าเช่นกัน ของอยู่ในมือ ใครจะแบ่งให้ฟางผิงกัน คิดว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง
เห็นฉินเฟิ่งชิงวิ่งตัวปลิวออกไป จางอวี่ปวดหัวอยู่บ้าง “ไว้หน้าให้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้หน่อยเถอะ”
ไว้หน้ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ขายหน้าอะไรกันอย่างนี้!
ฟางผิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันไม่ได้ทำสักหน่อย ฉินเฟิ่งชิงไปเก็บเอง คนที่ขายหน้าก็เป็นเขานั่นแหละ เขาไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว”
จางอวี่ไร้เรี่ยวแรงจริงๆ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว!
—
ในเวลาเดียวกัน
พวกปรมาจารย์ชั้นสองที่เพิ่งจะเตรียมตัวแยกย้าย จู่ๆ ก็สำลักไอออกมา
พวกอาจารย์ของมหาวิทยาลัยปักกิ่งใบหน้าดำคล้ำจนน่าตกใจ!
หวงจิ่งเหลียวซ้ายแลขวาราวกับกำลังหาข้ออ้าง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “ฉินเฟิ่งชิงเป็นฝ่ายออกตัวช่วยมหาวิทยาลัยปักกิ่งเก็บกวาด มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกนักศึกษาควรต้องเป็นแบบนี้แหละ จะคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเกินไปไม่ได้…”
พวกถังเฟิงลอบถอนหายใจ สร้างความลำบากใจให้คณบดีซะแล้ว ในที่สุดก็ฝืนหาข้ออ้างออกมาได้
จู่ๆ อธิการมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็หัวเราะออกมา ไม่พูดอะไรอีก ปรายหางตามองฉินเฟิ่งชิงที่ก้มเก็บแผ่นโลหะผสมอยู่ไม่ไกล เดินไปก็เอ่ยไปพลาง “คณบดีหวงพูดมีเหตุผล ครั้งหน้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งก็จะเป็นครอบครัวเดียวกับเซี่ยงไฮ้เช่นกัน”
หวงจิ่งไม่ใส่ใจนัก ครั้งหน้าค่อยว่ากัน ยิ่งไปกว่านั้น นายอยู่ในถิ่นของเซี่ยงไฮ้ คิดจะตักตวงผลประโยชน์จากเซี่ยงไฮ้…ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
—————————–