ตอนที่ 356 กลบรัศมีรุ่นเดียวกัน (1)
หนานเจียง
เขตชานเมืองรุ่ยอัน เทือกเขาชางซาน
ตอนนี้รอบบริเวณถูกทหารเข้าไปควบคุมแล้ว ทหารจำนวนมากกำลังตรากตรำทำงานหนักในพื้นที่อ้างว้างไร้ผู้คนขนาดใหญ่นี้
ในอนาคตที่นี่จะเป็นพื้นที่สำคัญของทหาร ตอนนี้หนานเจียงเริ่มการก่อสร้างอย่างเป็นทางการแล้ว
ใจกลางพื้นดินปรากฏหลุมลึกยาวนับสิบเมตรขึ้นมา
ใต้หลุมนั้นกระแสน้ำวนขนาดเท่าหัวคนกำลังปั่นป่วนอากาศรอบๆ ไม่หยุดหย่อน ดินหินปลิวกระจัดกระจาย อนุภาคพลังงานอันเข้มข้นพรั่งพรูออกมาจากกระแสน้ำวนไม่ขาดสาย
ด้านบนของหลุมยุบ
จางติ้งหนาน หลิวพั่วหลู่ รวมทั้งปรมาจารย์ห้าหกคนได้เดินทางมาถึงแล้ว ทุกคนพากันขมวดคิ้ว ไม่มีใครส่งเสียงอะไร
อู๋ชวน ผู้บังคับการกองตั้งมั่นเฝ้าระวังเขตทางใต้ก็อยู่ในกลุ่มคนนี้เช่นกัน
ส่วนทางเซี่ยงไฮ้ ตอนนี้ขั้นเก้าที่เดิมทีนั่งรักษาการณ์อยู่ได้กลับไปแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บังคับการกองตั้งมั่นเฝ้าระวังเขตทางใต้ ในสถานการณ์ที่หนานเจียงไม่มีขั้นเก้า เขาจำเป็นต้องมานั่งรักษาการณ์
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จางติ้งหนานค่อยเอ่ยว่า “อธิการบดีหูจะกลับมาตอนบ่าย รองผู้บัญชาการโจวจะมาถึงช่วงบ่ายเหมือนกัน ขั้นเก้าหนึ่งคน ขั้นแปดหนึ่งคน ขั้นเจ็ดห้าคน รวมกับขั้นหกอีกสิบยี่สิบคนน่าจะถึงขีดจำกัดแล้ว หากมากไปกว่านี้ ทางเดินจะพังทลายได้”
อู๋ชวนที่อยู่ด้านข้างครุ่นคิดเล็กน้อย “หรือว่าคุณรอสั่งการภาพรวมอยู่ด้านบนจะดีกว่า…”
“ผู้บังคับการอู๋พูดเล่นซะแล้ว”
จางติ้งหนานแค่นยิ้มว่า “ภาพรวมอยู่ที่ถ้ำใต้ดินต่างหาก!”
อู๋ชวนไม่พูดต่อ ภาพรวมอยู่ในถ้ำใต้ดินจริงๆ
จางติ้งหนานพูดจบก็มองไปทางกลุ่มคนที่อยู่ไกลๆ ถอนหายใจว่า “ต่อให้พวกเราเป็นอันตรายก็แข็งแกร่งกว่าพวกเขา ขั้นหก…เข้าไป คงจะอันตรายแล้ว”
อู๋ชวนขมวดคิ้วแน่น ครั้งนี้มีปรมาจารย์เข้าไปเจ็ดคน
เจ็ดคนนี้ต้องทำสงครามเป็นกลุ่มแรก
ปรมาจารย์ไม่อาจจะเยอะไปกว่านี้ได้ ทำได้แค่เลือกยอดฝีมือขั้นหกเข้าไป ด้านหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ทางเดินถูกทำลาย อีกด้านหนึ่งก็เพื่อกวาดล้างพวกปลาซิวปลาสร้อย ตอนที่ปรมาจารย์ทำสงครามไม่อาจสนใจพวกนี้ได้ ถ่วงรั้งกำลังต่อสู้เกินไป แม้ว่าจะจัดการได้ในชั่วพริบตาก็เสียเวลาอยู่ดี
แต่ไม่สนใจคงไม่ได้ หากถูกคนของถ้ำใต้ดินทำลายทางเดิน พวกเขาก็จะติดอยู่ภายในนั้น
อู๋ชวนไม่ได้ต่อบทสนทนา หลิวพั่วหลู่มองออกไปไกลๆ เช่นกัน ถอนหายใจว่า “เดินมาถึงสุดเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์แล้ว จะเป็นหรือตายให้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเถอะ”
ทุกครั้งที่ถ้ำใต้ดินอุบัติต่างมียอดฝีมือขั้นหกล่วงหน้าเข้าไปก่อน คนพวกนี้เดินมาสุดทางผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ไปถ้ำใต้ดินมีอันตราย ทั้งเป็นโอกาสด้วยเช่นกัน
มีชีวิตรอด บางทีอาจสามารถทะลวงด่านได้
“หลี่ฉางเซิงล่ะ?” จู่ๆ จางติ้งหนานก็ถามออกมา หลี่ฉางเซิงไม่อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น
หลิวพั่วหลู่เอ่ยอย่างติดตลกว่า “เดี๋ยวนายก็รู้เอง”
พูดไม่ทันขาดคำ กลางอากาศไกลออกไปนั้นชายชราที่ผมขาวปลิวสยายก็ขี่กระบี่ทะยานเข้ามา!
“สหายทั้งหลาย ฉันมาแล้ว!”
หลี่ฉางเซิงเหินบนกระบี่มาราวกับเทพเซียน หัวเราะเสียงดังว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
พวกจางติ้งหนานตกตกลึงในเวลาเดียวกัน!
ทรงผมนี่มัน…
“ว่ายังไงล่ะ? เสียไปสามพันหยวนแลกกับผมขาวนี้มา ฉันคงไม่ได้ถูกคนหลอกสินะ?”
จางติ้งหนานปวดหัวอยู่บ้าง อู๋ชวนยิ้มขื่นว่า “ฉางเซิง นี่ไม่ใช่…”
อยากด่าสักทีว่าว่างจนไม่มีอะไรทำแล้วหรือไง!
แต่พอมาคิดๆ ดู อู๋ชวนก็ไม่ได้พูดออกไป
เขาและหลี่ฉางเซิงต่างเป็นลูกศิษย์ของอธิการเฒ่า แม้ว่าอู๋ชวนจะดูหนุ่มกว่า ในความเป็นจริงกลับอายุมากกว่าตาเฒ่าหลี่ซะอีก
เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ หลี่ฉางเซิงเพิ่งจะเข้าเรียนด้วยซ้ำ
หลี่ฉางเซิงเมื่อสิบปีก่อนถือเป็นที่โดดเด่นของยุคจริงๆ แม้จะเป็นแค่ยอดฝีมือขั้นห้าสูงสุด แต่พลังต่อสู้แข็งแกร่งอย่างมาก สาเหตุที่หยุดในขั้นห้าสูงสุดก็เพื่อหลอมร่างทอง
ใครจะรู้ว่าเขายังไม่ทันทำสำเร็จก็เจอกับเจ้าเมืองเทียนหนานซะก่อน
ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้พลังเสียหายไร้ทางพลิกฟื้น แม้จะทะลวงถึงขั้นหกสูงสุด แต่พลังจิตใจได้รับบาดเจ็บหนัก อย่าพูดถึงปรมาจารย์เลย ระยะที่สองของขั้นหกสูงสุด ปลดปล่อยพลังจิตใจมาข้างนอกยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
หากไม่ใช่เพราะแบบนี้ เกรงว่าจะเข้าสู่ร่างทองไปนานแล้ว
หากหลี่ฉางซิงเข้าสู่ขั้นร่างทอง อธิการอู๋ขุยซานของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ในตอนนี้อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเสมอไป
ตาเฒ่าหลี่ไม่สนใจพวกเขา ลูบผมยาวสีขาวของตัวเอง หัวเราะว่า “ไอ้หนูนั่นพูดถูก ยอดฝีมือควรจะเป็นแบบนี้ อย่างน้อยทรงผมก็ต้องดูดีหน่อย!”
ทุกคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง จางติ้งหนานปลอบใจว่า “นายระวังตัวหน่อย อย่ามาถูกพวกเดียวกันฟันเพราะคิดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำซะล่ะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง อีกอย่างใครจะฟันใครยังพูดยาก!”
ตาเฒ่าหลี่หัวเราะ เอ่ยต่อว่า “จะเข้าไปได้วันไหน?”
“ภายในสามวัน รอทางเดินเสถียรขึ้นกว่านี้หน่อย”
“เข้าใจแล้ว งั้นขอตัวก่อน!”
ทิ้งคำพูดนี้ไว้ ตาเฒ่าหลี่ก็ขี่กระบี่ออกไปทันที กระบี่ไม่ได้ออกจากฝักด้วยซ้ำ
เห็นเขาไปแล้ว ทุกคนต่างส่ายหัวเบาๆ จ้องมองกระแสน้ำวนข้างล่างต่อ ไม่ส่งเสียงออกมาอีก
—
ปักกิ่ง
ฟางผิงรับโทรศัพท์จากน้องสาว
“ฟางผิง ช่วงนี้เหมือนพรสวรรค์ฉันจะเพิ่มขึ้นแล้ว!”
ฟางหยวนดีอกดีใจ กระตือรือร้นเป็นพิเศษ
ฟางผิงเอ่ยหยอกว่า “เธอรู้ได้ยังไง?”
“ฉันฝึกวิชาได้เร็วขึ้นน่ะสิ!” ฟางหยวนพูดอย่างจริงจัง “ฟางผิง พรสวรรค์สูงขึ้นแล้วมีประโยชน์จริงๆ ด้วย ตอนนี้พรสวรรค์ฉันแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ตอนที่ฝึกวิชา ปราณยังฟื้นฟูได้เร็วขึ้นอีก!”
อนุภาคพลังงงานของรุ่ยอันปะทุขึ้น อยู่ไม่ไกลจากหยางเฉิง ฟางหยวนรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ต้องฝึกวิชาได้เร็วกว่าก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
“งั้นเหรอ? อาจจะเพิ่มขึ้นจริงๆ ก็ได้ แต่อย่าได้ใจไป ก่อนหน้านี้พรสวรรค์เธอแค่หนึ่งร้อยหกสิบ ตอนนี้อย่างน้อยคงจะหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ อยากจะแตะถึงระดับฉัน ยังห่างไกลอยู่มาก แต่พยายามยังอาจมีหวัง…”
ฟางผิงพูดให้กำลังใจเล็กน้อย ฟางหยวนเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “งั้นฉันจะพยายาม ฟางผิง พรสวรรค์แข็งแกร่งนี่เจ๋งจริงๆ เลย! ไม่น่าล่ะนายถึงฝึกวิชาได้รวดเร็ว ฉันเพิ่งหนึ่งร้อยเจ็ดสิบก็รับรู้ว่าฝึกได้เร็วขึ้นแล้ว นายเกือบเจ็ดร้อย ฝึกหนึ่งชั่วโมงคงเทียบเท่ากับฉันฝึกหลายวัน”
“ประมาณนั้น ไม่งั้นจะพูดว่าพี่ชายเธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่พรสวรรค์สูงที่สุดในโลกได้ยังไง ได้ดูการแข่งขันหรือเปล่า?”
“อืม ดูแล้ว เก่งจริงๆ!”
“งั้นพรุ่งนี้อย่าลืมดูต่อล่ะ ตอนนี้พี่ชายเธอยังไม่ได้แสดงฝีมือเลย ตั้งใจเล่นสนุกเป็นเพื่อนพวกเขาไปก่อน รอวันพรุ่งนี้ เธอก็จะรู้ว่าพี่ชายเธอแข็งแกร่งถึงขนาดไหน!”
“จริงเหรอ?”
ฟางหยวนสงสัยอยู่บ้าง “งั้นวันนี้ทำไมนายไม่ชนะห้ารวด…”
“ยัยโง่ เธอไม่รู้จักหวังจินหยางหรือไง? เขาเป็นคนสอนพื้นฐานศิลปะการต่อสู้ให้ฉันตั้งแต่ต้น ต้องไว้หน้าให้เขาบ้าง เอาชนะพวกเขารวดเดียว ในใจเขาต้องยากจะรับได้จนอยากร้องไห้น่ะสิ? อีกอย่างพวกเรายังอยู่หนานเจียงเหมือนกัน เอาชนะคนอื่นเขาห้ารวด ไม่อาจจะทำแบบนี้กับหนานเจียงได้ ผู้ว่าหนานเจียงยังเชิญพี่เธอมาเป็นรองผู้ว่าด้วยซ้ำ ยังไงก็ต้องเกรงใจหน่อย”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว ไว้หน้าให้พวกเขาสินะ” ฟางหยวนเข้าใจความทุกข์ใจของพี่ชายทันที ไม่น่าล่ะฟางผิงไม่เอาชนะหนานเจียงด้วยตัวคนเดียว
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางหยวนก็คุยโทรศัพท์ไป เริ่มพิมพ์ข้อความลงในกลุ่มไปด้วย
บอกคนของสมาคมหยวนผิง ครั้งนี้ที่ไม่ได้เอาชนะมหาวิทยาลัยหนานเจียงห้าคนรวด เพราะต้องไว้หน้าให้กับหนานเจียง ไม่ใช่ว่าพี่ชายเธอทำไม่ได้
จะสนิทไม่สนิทก็คนบ้านเดียวกัน ทุกคนไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศอย่างเอริกเกริก ในใจรู้ดีก็พอแล้ว
ส่งข้อความเสร็จ ฟางหยวนก็เอ่ยต่อว่า “ฟางผิง การแข่งขันจบแล้วจะกลับบ้านหรือเปล่า?”
“ดูสถานการณ์ก่อน”
“…”
สองพี่น้องพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนฟางผิงจะวางสายโทรศัพท์
ถ้ำใต้ดินหนานเจียงอุบัติขึ้นแล้ว การแข่งขันเงียบเหงาลงไปไม่น้อย
ตาเฒ่าหลี่ออกด่านหรือยัง?
หลู่เฟิ่งโหรวยังไม่กลับจากถ้ำใต้ดินอีก?
ผู้หญิงคนนี้ไม่ให้คนเขาได้วางใจเอาเสียเลย!
พวกอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ พวกที่แก่ก็แก่ พวกที่ไม่สนใจอะไรก็ไม่สนอะไร ยังมีหลายคนที่ทึ่มทื่อเหมือนถังเฟิง ทำให้คนปวดหัวจริงๆ
ฟางผิงถูขมับเล็กน้อย ครั้งนี้ออกมานานเหมือนกัน
ควรต้องกลับไปแล้ว!
—
วันที่ 19 ธันวาคม
เดิมทีควรเป็นการแข่งขันของอันดับสามและอันดับสี่ แต่มหาวิทยาลัยหนานเจียงถอนตัว การจัดลำดับจึงถูกกำหนดออกมาแล้ว มหาวิทยาลัยหนานเจียงอันดับสี่ โรงเรียนเตรียมทหารอันดับหนึ่งอยู่ที่อันดับสาม
ตอนนี้เหลือเพียงการแข่งขันชิงชนะเลิศ
ตอนที่ฟางผิงเดินเข้าสนามกีฬา เห็นทางมหาวิทยาลัยปักกิ่งพากันตั้งท่าพร้อมต่อสู้ บรรยากาศร้อนระอุขึ้นมาก็ส่ายหัวเบาๆ “รีบสู้รีบตัดสินแพ้ชนะ คว้าอันดับหนึ่งแล้วก็กลับเซี่ยงไฮ้ทันที!”
ทีแรกพวกเฉินเหวินหลงยังคิดจะคุยเรื่องกลยุทธ์ต่อสู้กับเขาสักหน่อย ผลปรากฏว่าฟางผิงพูดแบบนี้ออกมา พวกเขาจึงไม่เอ่ยขึ้นอีก
ตอนนี้หวงจิ่งอยู่ที่นี่เช่นกัน เห็นแบบนั้นจึงเอ่ยว่า “ดาบนี้ของเธอ บ่มเพาะใช้การได้แล้วงั้นเหรอ?”
เขาไม่มั่นใจเท่าไหร่ แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ แต่ฟางผิงใช้พลังจิตใจห่อหุ้มดาบที่เอวอยู่ตลอดเวลา นอกจากเขาจะฝืนทะลวงเข้าไป ไม่งั้นก็ไม่อาจรับรู้อะไรได้
“หากเจ้าหลี่หัวเหล็กไม่อยากตาย ก็ควรยอมแพ้แต่โดยดี ผมไม่ได้คิดจะชักดาบฟันเขา แต่ถ้าเขาไม่ยอมแพ้ ผมก็จะฟันหัวเหล็กของเขา ปรมาจารย์ลงมือขัดขวาง คณบดีอย่าลืมหาผลประโยชน์ให้ผมด้วย!”
ฟางผิงวางแผนไว้แล้ว ครั้งนี้จะฟันอีกฝ่ายด้วยดาบเดียว!
เจ้าหัวเหล็กต้านไม่ไหว หากปรมาจารย์ลงมือ นั่นเท่ากับทำผิดกฎ ยังไงก็ต้องชดใช้เงิน!
หวงจิ่งหัวเราะเสียงดัง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเธอฟันเขาในดาบเดียวได้จริงๆ คนของมหาวิทยาลัยปักกิ่งลงมือ ฉันก็จะลงมือเหมือนกัน”
กฏเกณฑ์ยังจำเป็นต้องมี
ครั้งก่อนอธิการของมหาวิทยาลัยซีซานยังไม่ทันเข้าไปยุ่งกับการแข่งขันก็ต้องชดใช้ยาฟื้นคืนชีวิตให้ฟางผิงตั้งห้าเม็ด มหาวิทยาลัยปักกิ่งมีเงินมากกว่าซีซานอยู่มหาศาล
“งั้นคุณรอดูเถอะครับ!”
ฟางผิงเผยสีหน้ามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แตะเท้าขึ้นอากาศ กระโดดไปบนเวที เอ่ยเสียงดังว่า “หลี่หานซง ขึ้นเวที!”
ถังเฟิงเห็นแบบนี้ก็มองไปทางหวงจิ่ง ถามออกไปว่า “เขาจะไหวหรือเปล่า?”
ยังไงหลี่หานซงก็ทะลวงถึงขั้นห้าแล้ว
อาการบาดเจ็บของฟางผิง จนถึงตอนนี้ยังไม่หายสนิท เมื่อวานใช้กระบวนท่านั้นต่อกรกับหวังจินหยาง วันนี้อาจไม่ใช้เสมอไป
หากใช้ นั่นจะบาดเจ็บหนักกว่าเดิมอีก ได้ไม่คุ้มเสีย
หวงจิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย “ไม่แน่ใจ แต่เขามั่นใจขนาดนี้ น่าจะเกิดผลลัพธ์บ้างอยู่แล้ว”
หวงจิ่งยังคงจมดิ่งในความคิด ฟางผิงบ่มเพาะดาบได้ไม่นาน เพิ่งจะสองเดือนเท่านั้น
อาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งเท่าไหร่
ยิ่งไปกว่านั้นฟางผิงเพิ่งจะขั้นสี่ ก่อนหน้านี้ยังฝึกวิชาเพื่อเลื่อนขั้นมาโดยตลอด
—————————