บทที่ 158 ภูผาทับซ้อนธารน้ำคดเคี้ยว-1
“ไม่เข้าไปร่วมครึกครื้นหรือ”
จิ่วซานปั้นถามหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งถูกเขาถามเช่นนี้ก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
บางครั้งเขาก็อยากเอากระบี่เปิดหัวสมองของจิ่วซานปั้นออกมาดูจริงๆ ว่ามันเป็นเช่นใดกันแน่
คนกลุ่มหนึ่งร่วมดื่มสุรากันนั้นนับได้ว่าเป็นความครึกครื้น
คนสองกลุ่มเข้าปะทะกันก็นับได้ว่าเป็นความครึกครื้น
แต่เรื่องที่มีคนตายจะนับเป็นความครึกครื้นได้อย่างไร
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเห็นลู่หมิงหมิงก็มอบบทกวียาวของตี๋เหว่ยไท่ให้เขาทันใด จากนั้นลากตัวจิ่วซานปั้นและทังจงซงออกไปจากร้านน้ำชา
เรื่องที่เหลือจากนั้นก็เป็นดังที่ฉางอี้ซานกล่าว คือมีกฎเกณฑ์ของมันเอง
ทว่ากฎเกณฑ์นี้ไม่ใช่เรื่องที่หลิวรุ่ยอิ่งจะสามารถเข้าไปก้าวก่ายได้
ต่อให้ในภายหน้ากรมสอบสวนจะเพ่งเล็งพรรคอาภรณ์แดงฉานมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น หลิวรุ่ยอิ่งจะยังไม่รายงานเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นและเกี่ยวพันถึงอาภรณ์แดงฉานต่อเบื้องบน
เมื่อรายงานขึ้นไปแล้ว เบื้องบนจะจัดการอย่างไร หรือจะมีการลงมือที่เป็นรูปธรรมอย่างไร ล้วนมีกฎเกณฑ์ของมันเอง
หลิวรุ่ยอิ่งทำได้เพียงปล่อยตัวเดินตามกฎเกณฑ์ไปเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้วกฎเกณฑ์นี้ถูกกำหนดขึ้นมาอย่างไร ตัวเขาก็ไม่มีสิทธิในการออกเสียงเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องครึกครื้นบางเรื่องไม่เพียงต้องเข้าร่วม ต่อให้เข้าร่วมไม่ได้ก็ต้องขืนเข้าร่วมให้จงได้ แต่ก็มีเรื่องครึกครื้นบางเรื่องที่ต่อให้มองเพียงปราดเดียวจากที่ไกลๆ ก็ยังมากเกินไป”
ทังจงซงกล่าว
นี่กลับเป็นสิ่งที่ช่วยให้หลิวรุ่ยอิ่งพ้นจากสถานการณ์คับขันนี้ไปได้
ยามเขาสนทนากับจิ่วซานปั้น เขาก็อยากให้ความนึกคิดของตนใกล้เคียงกับจิ่วซานปั้นเสมอ
แม้ไม่อาจหลอมรวมกันได้ทั้งหมด เขาก็ยังอยากพยายามเข้าใกล้ให้มากขึ้นอีกหน่อย
เพราะเขาไม่รู้ว่าหากตนทำความเข้าใจด้วยหลักเหตุผลทั่วไปแล้ว เขาจะยังฟังรู้เรื่องหรือไม่
แต่ทังจงซงกลับไม่ได้เคร่งครัดเช่นนั้น เขาคิดสิ่งใดได้ก็กล่าวสิ่งนั้น
จำต้องกล่าวว่านี่กลับเป็นวิถีที่เรียบง่ายและชัดเจนยิ่งนัก
จิ่วซานปั้นพยักหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าที่จริงแล้วเขาไม่น่าจะฟังเข้าใจ
แต่หากให้พวกเขาทั้งสองคนอธิบายต่อไป จะกลายเป็นว่าไม่ว่าใครก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนทั้งสิ้น
หลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจในเวลานั้น เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปคิดถึงมันเสียเลย
พักไว้ก่อน แล้วจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นเอง
ต่อให้เป็นยามที่ตัดสินใจโง่เง่าลงไปเพราะคิดไม่ออกก็อย่าได้เสียใจภายหลัง
เพราะการตัดสินใจเช่นนี้ จะต้องเป็นสิ่งที่ตนเองในเวลานั้นเห็นว่าเหมาะสมและสมควรที่สุดแล้ว
หากเอาแต่คิดถึงอนาคตอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังคอยหักล้างสิ่งที่ตนยึดมั่นในวันก่อนไม่หยุดหย่อน นั่นก็นับว่าหักหลังตนเองแล้ว
คนผู้หนึ่งสามารถหันหลังให้คนหมู่มาก แยกจากญาติพี่น้อง สามารถอยู่ลำพังโดยไร้สหาย แต่ห้ามสูญเสียความแน่วแน่และความมั่นใจในตนเองโดยเด็ดขาด
ก็เหมือนกับหลิวรุ่ยอิ่งที่แม้รู้ว่าตนเคยทำความผิดใหญ่หลวง แต่เขาก็ไม่ได้เสียใจในภายหลัง
หากให้โอกาสเขาใหม่อีกครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าเขายังคงย่ำไปบนรอยเดิม
“เช่นนั้น…คืนนี้พวกเรายังจะไปหอจันทร์กระจ่างอยู่หรือไม่”
จิ่วซานปั้นถาม
“ไปสิ ต้องไปอยู่แล้ว! ของดีที่ส่งมาถึงหน้าประตู ไม่รับไว้จะน่าเสียดายเพียงใด!”
ทังจงซงกล่าว
จิ่วซานปั้นจึงพยักหน้าอย่างผ่อนคลาย
ที่แท้แล้วสิ่งที่เขาเป็นห่วงที่สุดก็คือสุรานารีในค่ำคืนนี้
ความจริงแล้วจิ่วซานปั้นไม่ใช่คนหยาบกระด้าง
คิดดูแล้วก็เป็นเช่นนั้น คนผู้หนึ่งหากสามารถเขียนบทกวีเปี่ยมพลังออกมาได้เพียงนั้นจะเป็นคนหยาบกระด้างได้อย่างไร
ต้องเป็นผู้มีความละเอียดอ่อนกว่าคนทั่วไปนับร้อยเท่าจึงจะถูก
แต่ไม่ว่าสำนวนของเขาจะแข็งกร้าวห้าวหาญหรือละเอียดอ่อนโยน จิตใจของเขาล้วนต้องละเอียดอ่อนกว่าคนทั่วไปมากนัก
สำหรับเรื่องนี้ หลิวรุ่ยอิ่งกลับสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง
แม้เขาจะไม่เขียนบทกวี แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางจิตใจที่ละเอียดอ่อน และความทระนงในศักดิ์ศรี
ครั้งจิ่วซานปั้นอยู่ในหมู่บ้านยอดนักดื่มนับได้ว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ เลยทีเดียว
แต่หลังออกจากหมู่บ้านยอดนักดื่ม จึงเพิ่งพบว่าเรื่องในใต้หล้านี้ใช่ว่าจะเขียนออกมาได้ด้วยตำราเพียงไม่กี่เล่ม
หมู่บ้านยอดนักดื่มช่างเล็กเหลือเกิน ส่วนใต้หล้านั้นกว้างใหญ่เหลือเกิน
เหมือนกับผู้มั่งมีผู้หนึ่งจู่ๆ ต้องยากจนหมดตัว
ไม่ใช่เพราะเขาโง่ แต่เป็นเพราะเขาเกียจคร้าน
คนโง่ย่อมไม่มีทางกลายเป็นผู้มั่งมีได้ แต่ผู้มั่งมีอาจล้างผลาญทรัพย์สมบัติมหาศาลไปด้วยความเกียจคร้านและความหละหลวมของตน
จิ่วซานปั้นไม่ได้โง่
เขาสามารถเขียนบทกวีดีๆ ออกมาได้ ตีกระบี่ชั้นยอดออกมาได้ และยังมีตบะยุทธ์ที่ทั้งแปลกประหลาดและสูงส่งอย่างยิ่ง
สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่คนโง่สามารถทำได้
ดังนั้น เขานับเป็นคนเกียจคร้านผู้หนึ่ง
เกียจคร้านจนคิดเพียงว่าไม่อยากห่างสุราสักเวลา
ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้ของเขากว้างขวางและลึกซึ้ง แม้ไม่ประสากับความสัมพันธ์ซับซ้อนของมนุษย์ แต่ความเข้าใจที่เขามีต่อใต้หล้านี้ไม่มีทางน้อยกว่าทังจงซงและหลิวรุ่ยอิ่ง
ทังจงซงเองก็รู้สึกว่าจิ่วซานปั้นเป็นคนแปลกผู้หนึ่ง
ถึงขั้นคิดว่าเขาล้วนทำสิ่งต่างๆ เป็นทั้งสิ้น ยกเว้นเรื่องแต่งงานมีลูก
ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เขาคิดว่าการแต่งงานมีลูกเป็นเรื่องปกติ
ขอเพียงคนทั้งสองรักกัน เช่นนั้นแล้วการแต่งงานมีลูกก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
“เจ้าออกจากหมู่บ้านมาเพราะเหตุใดกันแน่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
คำถามนี้เขาขบคิดมาเนิ่นนานแล้ว แต่ยังหาโอกาสเหมาะๆ ถามออกไปไม่ได้สักที
ว่ากันตามตรงแล้วการถามคำถามสักประโยค ไหนเลยจะยากเย็นเพียงนี้
หลิวรุ่ยอิ่งเพียงรู้สึกว่าตนและจิ่วซานปั้นยังไม่สนิทกันมากพอ
เมื่อสนิทกันแล้วย่อมสามารถไถ่ถามได้โดยไม่ต้องมีข้อห้ามใดๆ
แต่หากไม่สนิทกัน ต่อให้ไม่กล่าวทักทายหรือบอกลาก็ต้องอึดอัดไปครึ่งค่อนวัน
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาก็เคยถามจิ่วซานปั้นในทำนองเดียวกันมาแล้ว แต่ที่ถามคราวก่อนเป็นเพียงคำกล่าวไปตามธรรมเนียมเท่านั้น
“ความจริงแล้วข้าอยากออกมาคบหาสหายให้มากขึ้น ดื่มสุราเลิศรสมากขึ้นอีกหน่อย ส่วนสิ่งที่เรียกว่าตาน้ำสุรานั้น ข้าไม่ได้ปักใจลึกล้ำอะไร แต่ถ้าสามารถหาพบได้ย่อมดีที่สุด!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“แต่เจ้าเคยบอกว่า ไม่ว่าที่ใดล้วนไม่มีสุราที่เทียบได้กับสุราที่หมักจากหินสุราในหมู่บ้านยอดนักดื่มของพวกเจ้านี่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ก็เหมือนกับคนที่อาหารทั้งสามมื้อมีแต่ของดีหายาก นานๆ ครั้งได้กินโจ๊กและกับข้าวเล็กน้อยกลับทำให้เขาเจริญอาหารยิ่งอย่างไรเล่า”
จิ่วซานปั้นเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
เขารู้สึกว่าการเปรียบเทียบเช่นนี้ชัดเจนยิ่ง!
จะอย่างไรทุกเรื่องทุกสิ่งควรมีการเปลี่ยนแปลงบ้างจึงจะน่าสนใจ
หากไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ต้น ก็ยากจะมีสิ่งน่าสนใจให้เอ่ยถึง
พอคิดเช่นนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการที่จิ่วซานปั้นอยากเข้าไปร่วมครึกครื้นด้วยก็ไม่ผิด
ไม่ว่าคนเป็นตะโกนวิวาทกัน หรือคนตายหลั่งโลหิตพลีชีพ ก็ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลง
ตราบใดที่มีการเปลี่ยนแปลง ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกสุขใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าจิตใจของตนเบิกบานขึ้นมาทันใด
ในความเบิกบานนั้นยังมีความได้ใจอยู่ด้วย
จิ่วซานปั้นมีสหลายเช่นเขา ไม่ใช่ว่าเขาเองก็ได้จิ่วซานปั้นเป็นสหายด้วยเช่นกันหรือ
การคบสหายเดิมทีก็เป็นเรื่องของสองฝ่าย มีให้และมีรับ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นธงป้ายของร้านรวงสะบัดไปมายามต้องลม เสียงตะโกนขายของดังลั่นถึงชั้นเมฆ เขามีสหายที่ดีและมีจุดเด่นมากมายสองคนเดินอยู่ข้างกาย ทำให้รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก
“ทว่า ใต้หล้าที่ข้าเคยคิดถึงก่อนนี้ช่างตายตัวนัก ห้าอ๋องอะไรนั่นล้วนอยู่ห่างไกลจากข้าเกินไป เหมือนเทพเซียนในวัดวาอารามที่นั่งอยู่ที่สูงๆ เสพสุขกับธูปเทียนที่ถวายให้ เดิมทีข้าคิดว่ายุทธภพเต็มไปด้วยไมตรีและความแค้น กินมังสาดื่มสุราแบ่งเงินทอง ทุกคนล้วนยึดถือวาจามั่นดั่งทองพันชั่ง ห้าวหาญเกรียงไกร”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“แต่ใต้หล้าในความเป็นจริงกลับยืดหยุ่นนัก ห้าอ๋องก็คือคน คนเป็นๆ ที่มีเลือดมีเนื้อ พวกเขาก็ต้องกินข้าวนอนหลับ และมีคนที่ตนรักและเรื่องที่ตนชิงชัง ยุทธภพในความเป็นจริงกลับมีความอารียิ่งกว่าที่คิด บางคนมีคุณธรรมเทียมฟ้าและก็มีบางคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ก็เหมือนกับที่มีคนสวมใส่เงินและทอง ดาบประดับอัญมณี และมีคนที่เสื้อผ้าขาดมีรอยปะ และกระบี่สั้นเพียงสามชุ่น”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
จิ่วซานปั้นไม่ได้ตอบ แต่ยื่นไหสุราของตนให้
“หือ?”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ
“คารวะเจ้าอึกหนึ่ง”
จิ่วซานปั้นเอ่ย
“เหตุใดต้องคารวะข้าอึกหนึ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะจ้าพูดได้ดี!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
เขาไม่ได้สนใจว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะยื่นมืออกมารับหรือไม่ แต่ยัดใส่มือเขาเสียเลย
ทังจงซงเห็นภาพนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เพราะเขาเคยได้ยินแต่ว่าคารวะเจ้าด้วยสุราหนึ่งจอกหรือไม่ก็หนึ่งชาม ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคารวะสุราหนึ่งอึก!
แค่หนึ่งอึกจะคารวะได้อย่างไร
แล้วคนที่ได้รับการคารวะจะดื่มอย่างไร
ฉะนั้น สายตาเขาจึงจ้องไปยังหลิวรุ่ยอิ่งไม่กะพริบ ดูว่าคนที่ได้รับการคารวะสุราหนึ่งอึกเป็นคนแรกในหล้านี้จะจำกัดความคำว่า ‘หนึ่งอึก’ เช่นใด
หลิวรุ่ยอิ่งมองปากขวดเล็กๆ ของน้ำเต้าใส่สุรา
ปากของตนย่อมใหญ่กว่าปากขวดน้ำเต้าใส่สุรานี้มาก
ความจริงแล้วหลิวรุ่ยอิ่งก็ใคร่รู้กับขวดน้ำเต้าใส่สุรานี้พอควร
เพราะเขาเห็นจิ่วซานปั้นเติมสุราใส่ในนั้นน้อยครั้งนัก แต่ขวดน้ำเต้าใส่สุรานี้กลับมีสุราอยู่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งอยู่ทุกยาม
บางครั้งที่มากหน่อยก็มีจนเกือบเต็ม
บางครั้งก็น้อยกว่านั้นเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าจะมีน้อยเท่าใด ก็ไม่เคยน้อยกว่าครึ่งขวดน้ำเต้า
จิ่วซานปั้นมองหลิวรุ่ยอิ่งกะน้ำหนักของขวดน้ำเต้าในมือหนแล้วหนเล่า เพียงพริบตาก็เข้าใจว่าหลิวรุ่ยอิ่งกำลังคิดสิ่งใด
“ข้าหมักสุราเป็น”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“อืม…”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบรับส่งๆ ไปเสียงหนึ่ง
การที่จิ่วซานปั้นหมักสุราเป็นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร
นักดื่มส่วนมากล้วนหมักสุราเป็นทั้งสิ้น
หรือต่อให้ทำไม่เป็นก็จะทำเช่นเดียวกับเซียวจิ่นข่าน ขอเรือนตะวันออกนิด ขอเรือนตะวันตกหน่อย รวมๆ กันก็พอจะได้หนึ่งไห
เพียงแต่ตอนท้ายตั้งชื่อให้สักชื่อ สุราที่ขอจากที่นั่นนิดที่นี่หน่อยก็กลายเป็นสุราที่ตนหมักขึ้นเองแล้ว
“ที่ข้าหมายถึงก็คือ ข้าหมักสุราได้ทุกเมื่อ”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ถ้อยคำบ้าบอเช่นนี้ ไหนเลยหลิวรุ่ยอิ่งจะเชื่อ
เพียงถือเอาว่าจิ่วซานปั้นกำลังพูดเล่นก็เท่านั้น
“ข้าทำได้จริงๆ! พวกเจ้าสองคนอย่าหัวเราะเยาะข้า!”
จิ่วซานปั้นเหมือนเด็กน้อย หน้าแดงไปหมด พยายามอธิบายสุดกำลัง
“ได้ๆๆ เช่นนั้นเจ้าก็แสดงให้ข้าดูสักหน”
หลิวรุ่ยอิ่งยกขวดน้ำเต้าใส่สุราขึ้น ดื่มไปอึกใหญ่ จากนั้นก็ส่งให้จิ่วซานปั้นพลางเอ่ย
“ยามนี้ไม่ได้”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ทำไมกัน หรือว่าเจ้าหมักสุรายังต้องแบ่งชั่วยามด้วย”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“แน่นอน! ยามก่อนย่ำรุ่งจันทร์กระจ่างดาราบางเบาเป็นดีที่สุด เวลานี้เพิ่งเลยเที่ยงวัน ร้อนเกินไปเร่งรีบเกินไป สุราที่หมักออกมาจะไม่ละมุนพอ แค่พอให้ข้าดื่มเองสองอึก ไม่อาจมาแสดงให้พวกเจ้าดูได้”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ข้าว่าเจ้าทำไม่เป็นต่างหาก!”
ทังจงซงกล่าวขัด
“ข้าทำเป็น! ทำเป็นจริงๆ! ข้าเคยฝึกเคล็ดหวนต้นกำเนิดกลายสุรา!”
จิ่วซานปั้นเสียงดังขึ้นอีกหลายส่วน
หลิวรุ่ยอิ่งและทังจงซงหันมองหน้ากัน
เพราะพวกเขาทั้งสองไม่เคยได้ยินวิชาทำนองนี้มาก่อน
พวกเขาทั้งคู่ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีวิชาที่มีคำว่า ‘สุรา’ อยู่ในนั้นด้วย
ทว่า ความสามารถที่มีในตัวจิ่วซานปั้นคล้ายว่าล้วนร่ำเรียนด้วยตนเองทั้งสิ้น
เช่นเพลงกระบี่ที่เรียกว่า กระบี่ ‘วัวคลั่งแพะตื่น’ อะไรนั่น
ต่อให้วิชาประเภทนั้นจะมีชื่อว่า ‘เคล็ดดื่มสุราไม่เว้นวาย’ ก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น เขาร่ำเรียนหนังสือมามาก เพียงหยิบถ้อยคำสละสลวยเล็กๆ น้อยๆ มาวางรวมกัน ฟังดูแล้วใช้ได้ทีเดียว
………………………………………