ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 156 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-7

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 156 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-7

“นึกไม่ถึงว่าท่านจะรู้จักพวกเราลึกซึ้งเพียงนี้”

อาคันตุกะชุดแดงกล่าวหลังกินแตงกวาดองหมดแล้ว

“พวกเจ้าก็รู้จักหอทรงปัญญาไม่น้อยเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างรู้ก็เท่านั้น”

ฉางอี้ซานกล่าว

ชุดคลุมสีแดงที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศสูญเสียงพลังค้ำจุนพลันตกลงมาบนพื้นราวกับโคลนเหลว

รอยยับจากการพับถูกรอยขีดๆ เขียนๆ ที่ฉางอี้ซานทำเมื่อครู่นี้ปิดไว้จนหมดไม่มีเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย

ฉางอี้ซานดีดนิ้ว

เมื่อสิ้นเสียงแจ่มชัดนั้น หลิวรุ่ยอิ่ง จิ่วซานปั้นและทังจงซงจึงค่อยๆ คืนสติกลับมา

ทั้งสามคนยิ้มมองหน้ากัน ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่เอ่ยปากว่าเมื่อครู่ตนพบเจอสิ่งใด

“ท่านอาจารย์อา นี่คือ…”

หลิวรุ่ยอิ่งชี้ไปยังอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองคนพลางถาม

“องครักษ์หอทรงปัญญาตัวปลอม อาคันตุกะชุดแดงตัวจริง”

ฉางอี้ซานกล่าว

เรื่องราวของอาคันตุกะชุดแดงและพรรคอาภรณ์แดงฉานนั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็เคยได้ยินมาบ้าง

กรมสอบสวนกลางมีเจ้าหน้าที่ที่คอยจับตาดูเป้าหมายและความเคลื่อนไหวของเหล่าพรรคต่างๆ ในยุทธภพโดยเฉพาะ

ทว่า ผู้บังคับการเว่ยฉี่หลินผู้นี้ก็มีความพิเศษเฉพาะตัว

แม้กรมสอบสวนกลางจะมีอำนาจล้นเหลือ ทว่าแต่ไรมาเว่ยฉี่หลินก็ไม่เคยใช้ไม้แข็งกับเรื่องนานาในยุทธภพแต่อย่างใด

หนึ่งคือวัดวาอาราม อีกหนึ่งคือยุทธภพ

แต่ในสายตาของเว่ยฉี่หลินมีเพียงใต้หล้า

วัดวาอารามคือใต้หล้า ยุทธภพก็คือใต้หล้า ไม่ว่าขาดผู้ใดไปล้วนไม่ครบสมบูรณ์

ฉะนั้นวิธีที่ปฏิบัติต่อวัดและยุทธภพจึงล้วนเป็นเช่นนี้

มีเพียงห้าอ๋องย่อมไม่ใช่วัด แต่เมื่อนับรวมบ่าวกวาดพื้นในวังอ๋องเข้าไปด้วย วัดนี้จึงนับว่าเป็นวัด

มีเพียงกระบี่ว่องไวดาบรวดเร็วก็ยังไม่ใช่ยุทธภพ ยังต้องมีปิ่นทองบนหัวของยอดคณิกา มีสาแหรกหาบในมือของพ่อค้าเร่ ยุทธภพนี้จึงจะนับว่าเป็นยุทธภพ

ต้องรู้ว่าดอกเหมยพ่ายความขาวของหิมะ หิมะพ่ายกลิ่นหอมของดอกเหมย

นั่นหมายความว่าเมื่อหิมะและดอกเหมยสอดประสานกันจึงจะสร้างทัศนียภาพในฤดูเหมันต์ที่บริสุทธิ์และสูงส่งขึ้นมาได้

ธารน้ำยามสารทเคล้านภากว้าง ตะวันสายันต์ปักษาโบยบิน ความโลดแล่นประสานเข้ากับความนิ่งเงียบ จึงสามารถแต่งแต้มสีสันในสารทฤดู

มีเพียงการสอดประสานและเสริมส่งกันของสรรพสิ่ง จึงสามารถลดการลำพองตนลงได้

ในขณะเดียวกันเว่ยฉี่หลินต้องเรียนรู้จากหลากหลายผู้คน เพื่อเติมเต็มข้อบกพร่องของตนเอง ยอมรับความแตกต่างให้ตนเองก้าวหน้าขึ้น

ความจริงแล้วหลักการนี้เรียบง่ายนัก ก็เหมือนกับการที่น้ำตาลไม่อาจกลายเป็นเกลือ และเกลือก็ไม่อาจกลายเป็นน้ำตาล

แต่ยามทำอาหาร หากใส่เพียงเกลือไม่ใส่น้ำตาล หรือกลับกันใส่เพียงน้ำตาลไม่ใส่เกลือ ก็จะทำให้ขาดรสชาติบางอย่างไป

และแน่นอนว่าเมื่อมีรสเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ด และเค็ม ทั้งห้ารสประสานกัน อาหารหนึ่งจานจึงจะยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ

งดงามเพียงหนึ่งไม่สู้งดงามทั้งหมด

ลำพังเพียงมองใบหน้าคนก็เป็นเพียงใบหน้าคน ยามดอกท้อเบ่งบานก็เป็นเพียงดอกท้อ

แต่ยามใบหน้าคนอยู่พร้อมกับดอกท้อกลับขับกันให้โดดเด่น มีเสน่ห์อ่อนโยน

หาไม่แล้วทั้งใบหน้าคนและดอกท้อก็ไม่ใช่ว่าต่างฝ่ายต่างต้องเสียดายหรอกหรือ

ฉะนั้น สิ่งที่เว่ยฉี่หลินทำนั้นจึงเพียงตรวจสอบไม่จับกุม

ทุกความเคลื่อนไหวของเจ้า ข้าล้วนต้องรู้เห็น ล้วนต้องเข้าใจแจ่มแจ้ง

แต่เจ้าทำสิ่งใด ทำอย่างไร ขอเพียงไม่ก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งใต้หล้า ข้าก็จะไม่กระทำการใดๆ

แน่นอนว่าหลิวรุ่ยอิ่งยังไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงเพียงนั้น ในสายตาของเขาถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด

สีชาดและสีหมึกไม่อาจอยู่ร่วมกันได้

……………….

“ท่านอาจารย์อา พวกเราต้องทำเช่นใดหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

มือที่กุมกระบี่เริ่มกำแน่นขึ้นมา

“ก็นึกเสียว่าไม่เห็น”

ฉางอี้ซานพูดจบก็เดินผ่านอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองและตรงออกจากลานบ้านไป

หลิวรุ่ยอิ่งหันหลังกลับมามองพบว่าอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองเป็นเหมือนกับต้นเสา

เอาแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่จับจ้องชุดคลุมสีแดงที่อยู่บนพื้น ไม่ได้มีท่าทีจะเก็บขึ้นแต่อย่างใด

เมื่อออกจากลานบ้านของคฤหาสน์แห่งนี้ไป จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมา

ฉางอี้ซานพาคนทั้งสามไปยังร้านน้ำชาข้างถนนแห่งหนึ่ง

เพิ่งนั่งลง หลิวรุ่ยอิ่งใจหวิวๆ อย่างประหลาด ร้อนเย็นสลับกัน แสบคันยากทนได้

ในเวลาเดียวกัน แก้มข้างหนึ่งของเขาก็ร้อนระอุขึ้นมา หลิวรุ่ยอิ่งเอื้อมมือไปสัมผัสดูก็ไม่พบความผิดปกติใด

แต่เขาสัมผัสได้ว่ามีสายตาหนึ่งจ้องเขม็งมาที่ตนจากมุมของร้านน้ำชา

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เลือกที่จะหันไปสบตากับสายตานี้ แต่กลับรู้สึกว่าสายตานี้ช่างคุ้นเคยอย่างประหลาด

“นายท่านทั้งหลายต้องการสั่งสิ่งใดขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์เข้ามาสอบถาม

“ข้าไม่คุ้นเคยกับที่นี่ เจ้ามีสิ่งใดดีๆ จะแนะนำหรือไม่”

ฉางอี้ซานถาม

“มีขอรับๆ…ของมีชื่อที่สุดในร้านของเราก็คือชาฟื้นวิญญาณขอรับ!”

เสี่ยวเอ้อร์กล่าว

“ฟื้นวิญญาณ? นามนี้กลับน่าสนใจนัก…เช่นนั้นก็ว่าตามเจ้า ยกชาฟื้นวิญญาณมาสี่ถ้วย”

ฉางอี้ซานกล่าว

“ท่านอาจารย์อาขอรับ แต่พวกเขาสังหารคน จะปล่อยไปเช่นนี้หรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งยังคงนึกถึงอาคันตุกะชุดแดงทั้งสอง

“เมื่อสังหารคนย่อมต้องมีคนชดใช้ชีวิต แม้ว่าผู้ที่ตายจะเป็นสหายของข้า แต่ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนมีกฎเกณฑ์ การสังหารคนเป็นการทำผิดกฎเกณฑ์ แต่หากข้าสังหารพวกเขาทั้งสองก็เท่ากับทำผิดกฎเกณฑ์เช่นกัน”

ฉางอี้ซานกล่าว

“กฎเกณฑ์? กฎเกณฑ์ใดหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ

ทั้งที่เห็นฆาตกรสังหารคนอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่แยแส ใต้หล้าไหนเลยจะมีกฎเกณฑ์เช่นนี้

“กรมสอบสวนกลางของเจ้ามีกฎเกณฑ์ใดบ้าง”

ฉางอี้ซานถาม

หลิวรุ่ยอิ่งพูดไม่ออก

ไม่ใช่เพราะกรมสอบสวนกลางไม่มีกฎเกณฑ์

แต่กลับกัน เป็นเพราะมีกฎเกณฑ์มากมายเกินไป มากจนกระทั่งหลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้จะเริ่มเอ่ยอย่างไรดี

ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าสิ่งใดคือกฎเกณฑ์ที่ฉางอี้ซานเอ่ยถึง

นั่นก็คือเป็นลิขิตสวรรค์ประการหนึ่ง

การเป็นอยู่และดับไปของแต่ละคน ล้วนมีเหตุปัจจัยต่างกันออกไป

หลิวรุ่ยอิ่งเองก็หาใช่คนเปี่ยมน้ำใจ เขาเคยนิ่งมองผู้อื่นถูกเผาปล้นฆ่าและทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเช่นกัน

เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาควรไปยุ่มย่าม

แม้ว่าเวลานั้นหลิวรุ่ยอิ่งจะมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ แต่ในเมื่อเขาปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วจะมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำได้อย่างไร

เรื่องต่างๆ ในโลกแบ่งแยกเพียงเชื่องช้าหรือเร่งรีบ ไม่มีสำคัญน้อยหรือสำคัญมาก

เวลานั้นเอง เสี่ยวเอ้อร์ยกถาดมาและวางชาฟื้นวิญญาณสี่ถ้วยตรงหน้าทุกคน

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าน้ำชานี้เป็นสีอำพัน

ดูไปก็คล้ายสุราเล็กน้อย

กลิ่นหอมของชาไม่เข้มไม่จาง และคล้ายกลิ่นสุรา

จิ่วซานปั้นเป็นผู้ที่ไม่ยอมดื่มชา

แต่เมื่อเขาเห็นน้ำชาและได้กลิ่นชานี้ กลับเผยสีหน้าเปรมปรีดิ์

หลิวรุ่ยอิ่งใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำชา พบว่ายามมันออกจากถ้วย ชากลับเป็นสีม่วง

แต่เมื่อชาฟื้นวิญญาณนี้ถูกยกมา ความสนใจของหลิวรุ่ยอิ่งก็ถูกเบี่ยงเบนไป

ความอึดอัดและแก้มที่ร้อนผ่าวก่อนหน้านี้ก็สงบลงมาก

“เหตุใดผู้คนที่อยู่ที่นี่ล้วนดูเซื่องซึมเช่นนี้”

หลิวรุ่ยอิ่งหันมองรอบทิศแล้วเอ่ยปากถาม

“ที่นี่ยามกลางวันเป็นร้านน้ำชา ยามกลางคืนเป็นบ่อนพนัน คนเหล่านี้ส่วนมากล้วนเป็นแขกประจำ คืนวานห้ำหั่นกันตลอดทั้งคืน ยามนี้เพิ่งตื่นขึ้นมาและสั่งน้ำชาให้กระปรี้กระเปร่า”

ฉางอี้ซานกล่าว

“เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าของเลื่องชื่อที่นี่จึงเป็นชาฟื้นวิญญาณ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ในเมื่อตกกลางคืนที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นบ่อนพนัน แล้วเหตุใดจึงไม่ขายสุราเล่า”

ทังจงซงถาม

เขานับได้ว่าเป็นขาประจำบ่อนผู้หนึ่ง

บ่อนพนันทั่วไปล้วนขายสุรา

เพราะเหล่านักพนันมักวางเดิมพันอย่างมือเติบด้วยฤทธิ์ของสุรา และบ่อนพนันก็จะได้เงินเป็นกอบเป็นกำตามไปด้วย

แต่ที่นี่กลับไม่มีสุรา

ไม่เพียงรอบตัวไม่มีคนดื่มสุรา แม้แต่ผนังที่อยู่ข้างล่างโต๊ะเก็บเงินก็มีเพียงโหลใบชาวางเรียงอยู่ แม้แต่ไหสุราสักไหก็ยังไม่มี

“บ่อนพนันของหอทรงปัญญาไม่ได้แตกต่างจากที่อื่น แต่นักพนันของหอทรงปัญญากลับต่างจากนักพนันที่อื่นมากนัก”

ฉางอี้ซานกล่าว

“หมายความว่าอย่างไร”

ทังจงซงถาม

“นักพนันของหอทรงปัญญาไม่ว่าจะดื่มสุราเท่าใดก็ไม่อาจมือเติบขึ้นมาได้ เจ้าไม่เคยได้ยินว่าบัณฑิตไส้แห้งหรอกหรือ”

ฉางอี้ซานกล่าวพลางหัวเราะ

หลิวรุ่ยอิ่งเองก็หัวเราะ คำว่าไส้แห้งของฉางอี้ซานนี้กลับพลอยถากถางตนเองไปด้วย

แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เขากลับไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย

กลับรู้สึกว่าถ้อยคำนี้เป็นหลักการของฟ้าดิน

“ความเคยชินของผู้คนที่ยากไร้ล้วนติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะดื่มสุรากี่มากน้อยก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”

ฉางอี้ซานเอ่ยต่อ

ทังจงซงพยักหน้า คิดว่าถ้อยคำนี้มีเหตุผล

“ท่านฉางไต้ซือ นี่เป็นของว่างที่เถ้าแก่ของเรากำนัลแก่ท่านขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์วางผลอิงเถาหนึ่งจานไว้กลางโต๊ะน้ำชา

ผลอิงเถานี้สดใหม่ยิ่งนักและยังลูกใหญ่มากด้วย

แต่ในฤดูนี้จะมีผลอิงเถาได้อย่างไร

คาดว่าต้องเป็นของที่เก็บไว้ตั้งแต่ปีก่อน

ทังจงซงหยิบผลหนึ่งใส่ปาก แล้วกลืนลงไปทั้งหมดโดยไม่แม้แต่จะคายเม็ดออกมา

หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่กิน

ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบกินผลอิงเถา

แต่รูปร่างของผลอิงเถามักทำให้เขานึกถึงก้นของลิง

เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ เขาจึงกินไม่ลง

แต่เวลานี้เขากลับอยากดูลิง

อาจเพราะมนุษย์จอมปลอมเกินไป ไม่สู้ลิงที่กระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง

จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็เห็นแสงสีทองสายหนึ่งฉายวาบนอกหน้าต่าง

จากนั้นคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างก็ล้มพับลงทันใด

หากไม่ใช่เพราะที่ลำคอของเขามีรอยเลือดบางๆ รอยนึง ทุกคนคงนึกเพียงว่าเขาฟุบลงหลับบนโต๊ะเท่านั้น

“ดูทีว่าวันนี้เราจะโชคไม่ดีเอาเสียเลย…”

ฉางอี้ซานเอ่ยพลางถอนหายใจ

“ไม่เพียงไม่ดีเท่านั้น นี่เรียกว่าย่ำแย่จนน่าตกใจ…”

หลิวรุ่ยอิ่งอดส่ายหัวยิ้มเจื่อนไม่ได้

สำหรับคนทั่วไป ชั่วชีวิตได้พบเห็นประกายโลหิตจากการเข่นฆ่าเพียงครั้งเดียวก็นับว่าอกสั่นขวัญผวาพอแล้ว

แต่วันนี้พวกของหลิวรุ่ยอิ่งกลับได้ประสบมาแล้วถึงสามครั้ง

หากนับรวมการประมือครั้งใหญ่ระหว่างหลิวรุ่ยอิ่งกับอิ๋นซิงด้วยก็จะเป็นสี่ครั้ง

แม้การต่อสู้ครั้งนั้นไม่มีคนตาย แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังถูกอิ๋นซิงซัดเข็มเงินใส่ใบหน้าจนเป็นรอยแผลหนึ่งรอย

เรียกว่าอย่างน้อยก็ได้เห็นเลือด

อีกสามครั้งหลังแม้ว่าเลือดจะไม่ได้ไหลออกมาจากตนเองหรือคนรอบกาย แต่ก็เห็นอยู่เต็มตา ประทับอยู่ในสมอง

เรียกได้ว่าทุกก้าวล้วนคาวเลือดโดยแท้

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน