ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 152 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-3

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 152 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-3

หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกเรือน

ทุกก้าวล้วนเดินหนักหน่วงยิ่ง

ดูทีว่าองครักษ์หอทรงปัญญาที่ฉางอี้ซานเอ่ยถึงจะมาถึงมา

ทว่าเสียงฝีเท้านี้ฟังดูน้อยนัก คล้ายว่ามีอย่างมากแค่สองสามคนเช่นนั้น

หูของหลิวรุ่ยอิ่งไม่ใคร่ดี

แม้พอแยกแยะเสียงพื้นฐานทั่วไปได้ แต่หากอยู่ห่างกันไกลเพียงนี้ก็ยังไม่อาจแยกแยะได้ถูกต้อง

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที

สายตาของหลิวรุ่ยอิ่งจับจ้องตรงหัวโค้ง

แต่ร่างทั้งสองที่ปรากฏออกมากลับทำให้เขาตกใจจนหน้าถอดสี!

“เจ้าหมิงหมิง? เกาลัดคั่วน้ำตาล? พวกเจ้ามาได้อย่างไร?”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยเมื่อเห็นผู้ที่มา

“ข้ามาท่านน่ะสิ ครั้งอยู่ในหัวเมืองรัฐติงท่านจากไปรีบร้อนนัก ข้าต้องเสียแรงตั้งมากมายจึงสอบถามมาได้ว่าท่านอยู่ที่นี่”

เจ้าหมิงหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเกาลัดคั่วน้ำตาลที่ยืนอยู่ข้างๆ มองคุณหนูของตน แล้วหันมามองตัวเขาและกำลังยิ้มอยู่ด้วยเช่นกัน

เพียงแต่สองมือนางว่างเปล่า ไม่ได้เอาแต่กินเกาลัดคั่วน้ำตาลเช่นก่อนนี้

ไม่รู้เพราะเหตุใด หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างชอบกล

แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีตัวเขาเองก็มีความรู้สึกพิเศษออกไปกับเจ้าหมิงหมิง

เนิ่นนานไม่พบกัน จู่ๆ นางก็ปรากฏตัวให้เห็น ทำจิตใจเขาว้าวุ่นขึ้นมา พลันไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใดดี

“รู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

แม้ว่าเมื่อครู่เจ้าหมิงหมิง ก็บอกไปแล้วว่า ‘เสียแรงมากมายจึงสอบถามมาได้’

แต่เห็นชัดว่าหลิวรุ่ยอิ่งหลงลืมประโยคนี้ไปเสียแล้ว

เจ้าหมิงหมิงไม่ตอบ เพียงยังคงยิ้มให้เขาอยู่เช่นนั้น ก่อนค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาหาเขา

“เหตุใดจึงตื่นเต้นเพียงนี้ เพราะไม่ได้ดื่มสุราหรือ”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

ในน้ำเสียงถึงกับมีความยั่วยวนบางเบา ทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งอดใจเต้นตูมตามไม่ได้

“ข้า…ไม่ใช่เช่นนั้น เรื่องสำคัญคือที่นี่เพิ่งเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย”

หลิวรุ่ยอิ่งถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัวพลางเอ่ยไป

“เห็นทีก็เพราะไม่ได้ดื่มสุรา…คืนนั้นท่านยังร้อง ‘สุราบงกช’ ท่อนหนึ่งให้ข้า ข้ายังร้องไม่ทันเป็นเลย ท่านห้ามหนีไปเด็ดขาด!”

เจ้าหมิงหมิงโน้มเอวลงน้อยๆ ลำตัวท่อนบนเอนไปข้างหน้า ชี้นิ้วชี้ออกมาแตะที่ปลายจมูกของหลิวรุ่ยอิ่ง

การกระทำที่ใกล้ชิดขนาดนี้ทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งตั้งตัวไม่ทัน!

ในความรู้สึกของเขา เจ้าหมิงหมิงเป็นผู้สง่างามสงบเสงี่ยมเรื่อยมา เหตุใดเมื่อมาพบกันครั้งนี้ตัวนางจึงมีกลิ่นอายของโลกียะแสนหนักหน่วงเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้

ทว่ากลิ่นหอมหวนที่โชยจากปลายจมูกก็ทำให้เขาถอนตัวไม่ขึ้น หลิวรุ่ยอิ่งเข้าไปกุมมือเจ้าหมิงหมิงในทันใด

เจ้าหมิงหมิงเห็นว่ามือของตนถูกหลิวรุ่ยอิ่งเกาะกุมไว้ก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าเขินอาย หากเขย่งตัวขึ้นแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า

ยามนี้คนทั้งสองหันหน้าเขาประชิดกัน

“ทำไมหรือ ชอบข้าหรือ”

ริมฝีปากแดงของเจ้าหมิงหมิงเผยอบางเบา ลมหายใจหวานหอมดังกล้วยไม้

“เกาลัดคั่วน้ำตาล คุณหนูของเจ้า…”

หลิวรุ่ยอิ่งหันมองเกาลัดคั่วน้ำตาลพลางถาม

แต่กลับเห็นว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลมุ่งหน้าไปยังห้องใส่กรอบทางด้านหลังแล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้แต่อย่างใด

“ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว!”

ดวงตาเขาเคลื่อนออกจากใบหน้าของเจ้าหมิงหมิงพักหนึ่ง ทำให้จิตใจของหลิวรุ่ยอิ่งสงบลงเล็กน้อย เขาปล่อยมือเจ้าหมิงหมิงประสานมือคำนับขออภัย

แต่เจ้าหมิงหมิงกลับไม่ได้ให้โอกาสหลิวรุ่ยอิ่งตั้งสติแต่อย่างใด ไม่ว่าสายตาของหลิวรุ่ยอิ่งจะเคลื่อนไปที่ใด นางก็ขยับใบหน้าของตนตามไปด้วย

“ไม่ล่วงเกิน ข้าก็ชอบให้ท่านจับมือข้า”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

จะอย่างไรหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่ใช่ทังจงซง

นอกจากในคืนที่ไปเมืองจี๋อิงที่ถูกหลี่อวิ้นยั่วยวนแล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับสตรีเพียงนี้

ทันใดนั้นเขาถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก ทั้งตัวแข็งทื่อนิ่งอยู่กับที่ ขยับเขยื้อนไม่ได้

เขารู้สึกดีกับเจ้าหมิงหมิงอย่างยิ่ง ประเด็นนี้ไม่อาจปฏิเสธได้

แต่ความรู้สึกดีเช่นนี้ ที่จริงแล้วคือสิ่งใดกัน

แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจแน่ใจได้

ชอบพอ? ชื่นชม? หรือจะเป็นความรัก?

เขาล้วนแยกแยะได้ไม่ชัดเจน

ครั้งอ่านหนังสืออยู่ในกองสอบสวนกลาง เคยมีประโยคหนึ่งที่ทำให้เขาสะดุดตายิ่งนัก กล่าวว่า ‘ความรัก’ นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้คนยอมตายถวายชีวิตให้

หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าความรู้สึกที่ตนมีต่อเจ้าหมิงหมิงนั้นยังห่างไกลจากระดับนั้นมาก

ไม่ว่าบุรุษคนใดได้เห็นสตรีที่งดงามเพียงนี้ ต้องหวั่นไหวเป็นแน่

ทว่าความหวั่นไหวชนิดนี้ เป็นด้วยความรักหรือความใคร่

ผู้เก่งกาจสามารถมากมายในโลกหล้าล้วนไม่อาจไขปริศนาเร้นลับนี้ได้

แม้แต่คนระดับบัณฑิตจางก็ยังไม่อาจสะบัดพัดตัดสายใยรักได้เลย

เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งก็ไร้ที่พึ่งพิง เป็นเช่นห่านฟ้าเปล่าเปลี่ยวตัวหนึ่งในหล้า

หากไม่มีกรมสอบสวนกลางผูกมัดตนเอาไว้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปอยู่แห่งหนใด

ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดว่าตนยังมีโอกาสค้นพบใครสักคนที่สามารถอยู่เคียงข้างเขาชั่วชีวิต

หรือต่อให้มีก็คงไม่ใช่เวลานี้

ทว่าคนหนุ่มคนใดจะไม่มากรัก สาวรุ่นเรือนใดไม่ปองชาย

แม้ไม่เคยมีรักจริงๆ แต่นิยายเกี่ยวกับความรักระหว่างชายหญิงก็เคยอ่านมาไม่น้อย

ไม่เพียงเท่านี้ เนื้อเรื่องที่แสดงกันในละครร้องจะหนีพ้นวังวนของความรักความเกลียดและความแค้นไปได้หรือ

“ทะเลกว้างกลับกลายเป็นผืนนา สามีมิคลอนแคลน ฟ้าล่มดินสลาย ภรรยาอยู่ข้างกาย ทะเลแห้งใจมิแห้ง หินแหลกรักมิแหลก นิจเคียงคู่ มิร้างห่าง ยามภรรยาคิดถึงสามี สามีก็คิดถึงภรรยา กลับว่าของฟ้าช่างกางกั้น ดอกลั่วแดงบินผ่านพันสารทฤดู (หนึ่งพันปี) นกเป็ดน้ำคู่อายุสั้นให้ชิงชังพานพบล่าช้า ดอกท้อบาน รับวสันต์ ดอกบ๊วยบาน หิมะถม ด้วยอาทรจำยอมปลิวตามลม ด้วยรักล้นจึงมิควรมุ่งประจิมทิศ”

ราวกับจู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็เกิดฝันขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ

วันนั้นที่เขาฝันเห็น เป็นเหมันตฤดู

รู้สึกว่าใจตนหยิ่งผยอง มองหิมะร่วงทับถมต้นไผ่

เขาเดินไปลำพังกลางดินแดนแห่งลมและหิมะ ที่ปากมีรอยยิ้ม

ผู้ใดบอกว่าผู้คนในหล้าล้วนเป็นสุภาพชน

เขาชักกระบี่ออกมาจ้วงแทงเหล่าผู้คนที่ภายนอกดูดี แต่แท้จริงเพียงใบหน้าคนใจเดรัจฉานในทันใด

ปณิธารสูงส่ง หากกำลังไม่พอ

แม้รู้ว่ายุทธภพอันตราย ผู้คนโฉดเขลา

ทว่าหลังลมฝนโหมแรง ก็กลับทวนกระแสไม่ไหว จนอยากก้าวไปบนเส้นทางซึ่งเป็นหนทางกลับบ้านสายนั้น

คุณชาย จอมกระบี่

ต่อให้เกิดมามีเนื้อหนังที่ดี เพลงกระบี่จับตา การบุ๋นล้ำเลิศ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงผีพนันฝักใฝ่กามรมณ์ เดรัจฉานยังไม่ปาน

หากว่าเป็นไปได้ หลิวรุ่ยอิ่งก็พร้อมใจปิดตัวเองอยู่ในโลกห้าสิบปี ไม่เห็นตะวัน ไม่เห็นเดือน ไม่คำนึงถึงความรัก ไม่ชักกระบี่ออกมาอีก

แม้การเดินทางไกลครั้งนี้จะไม่ใช่หนทางยาวไกลนักและใช้เวลาไม่มากนัก

แต่ก็ทำให้เขาต้องพบเจอเล่ห์เพทุบายและไม่แยกแยะผิดถูกในยุทธภพมามากเกินพอ ได้พบเจอกับประสงค์ร้ายที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เรียกว่า ‘แอ่นอกรับแทน’ มากจนเกินพอ

เขาอยากปล่อยใจระเริงสักครั้ง ไม่ต้องคำนึงถึงฐานะ วัยที่ต่างกัน ไม่ไยดีต่ออคติของขนบธรรมเนียม ไม่สนใจมองความขรุขระของทางข้างหน้า

ด้วยกลิ่นอายเย้ายวนของโฉมงามผู้นี้น่าพึงใจกว่ากลิ่นคาวเลือด และความอ่อนโยนนี้เบาสบายกว่าความเย็นเฉียบของกระบี่มากนัก

………………………..

ในขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น สิ่งที่ปรากฏในดวงตาของทังจงซงกลับเป็นภาพที่ต่างออกไป

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาได้อย่างไร”

คนทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติง บิดาของเขาและโจวอวิ๋นอวิ่น มารดาของเขา

“แม่คิดถึงเจ้า! จึงมาเยี่ยมเจ้า!”

โจวอวิ๋นอวิ่นเอ่ยทั้งน้ำตาอาบหน้า พลางโผเขาไปกอดทังจงซงไว้ในอก

ทังจงซงไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ที่ใด

แม้จะเป็นช่วงเวลาที่เขาอยู่ในหัวเมืองรัฐติงก็ไม่เคยใกล้ชิดกับมารดาตนเช่นนี้มาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เห็นว่าทังหมิงผู้ซึ่งไม่เคยมีความยินดีหรือโทสะอยู่บนใบหน้าก็ยืนอยู่ที่นั่นพร้อมใบหน้าอ่อนโยน เปี่ยมด้วยความคิดถึง

ทันใดนั้น เรื่องต่างๆ แต่ก่อนเก่าพลันปรากฏขึ้นมาต่อตาเฉกเมฆลอย

เขาคิดว่าตนเองวางแผนอยู่แต่ในค่าย แม้บอกไม่ได้ว่าสามารถกำหนดชัยชนะที่ห่างออกไปพันลี้[1] แต่จะอย่างไรก็ยังสามารถปกป้องให้สกุลทังปลอดภัยสงบสุขมาได้ยี่สิบปี

ตะกร้าสานตักน้ำเหลือเพียงความว่างเปล่า

สภาพตนในเวลานี้ ทั้งต้องพึ่งพาผู้อื่น เช้ารอดแต่ตกเย็นกลับไม่แน่ จึงยากจะทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาได้

“ท่านแม่ ข้าอยากกลับบ้าน…”

ในที่สุดทังจงซงก็เอื้อมแขนทั้งสองออกไปโอบตอบมารดาของตนไว้แน่นๆ พลางเอ่ยปากบอก

แม้เสียงจะคงที่ น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับไม่อาจปิดกั้นหยดน้ำตาที่พรั่งพรูลงมาได้

น้ำตาบุรุษไม่หลั่งโดยง่าย เพียงเพราะยังไม่รู้สึกเจ็บปวดไปถึงดวงใจ

แต่ไรมา ทังจงซงก็เอือมระอาคำสอนสั่งเช่นนี้ เพราะสิ่งที่เขาชิงชังเป็นที่สุดก็คือผู้คนที่ยกยอตนเอง

กลับกัน เขารู้สึกว่าคนเราไม่ควรร้องไห้ แต่ควรหัวเราะ

ทว่าแม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่เมื่อทำจริงๆ กลับต่างกันราวฟ้ากับเหว

เขาเก็บกดความรู้สึกของตนเองเอาไว้นานเกินไป

จึงรู้สึกว่าในใจขื่นขมนัก

ขมเสียยิ่งกว่ายาที่ตาเฒ่าเยี่ยจัดให้ครั้งเขาป่วยหนักตอนเด็กๆ เสียอีก

ยาขม เพียงขมที่ลิ้นและคอ เมื่อผ่านลำไส้ไปแล้วก็เข้าสู่วัฏจักรแห่งธัญพืชทั้งห้า[2]เท่านั้น

ความเจ็บปวดจากโรคภัยยังมียาขมรักษาได้

แต่จิตใจที่ขื่นขมกลับไม่มีวิธีใดทำให้หายได้

ทังจงซงรู้ว่าตอนเองกลับไปไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยในยามนี้บิดามารดาของเขายังอยู่ครบ ยังคงนับว่าอยู่ดีปลอดภัย เพียงเท่านี้ก็สามารถปลอบประโลมเขาได้บ้าง

คนเรานั้น อย่างไรก็ต้องมีบ้านสักหลัง

ไม่จำเป็นว่าต้องใหญ่โตหรูหรา เพียงหลังคาสามารถบังฝน ผนังทั้งสี่กันลมได้เป็นพอแล้ว

บ้านหลังนี้ไม่เพียงเป็นที่คุ้มกาย หากยังเป็นที่พักพิงของจิตวิญญาณ

เหนื่อยแล้ว ง่วงแล้ว ก็ให้ดวงใจหลบเข้าไปภายใน ให้ร่างกายได้นอนสักงีบ

ต่อให้ย่ำแย่อีกเพียงใด แค่ส่องกระจกยิ้มเซื่องๆ อย่างไรก็จะรู้สึกดีขึ้น

ภายนอกทังจงซงดูคล้ายไม่ยี่หระกับสิ่งใด และมักพูดว่าโบราณว่ารู้จักปรับเปลี่ยนล้วนเป็นเลิศ ปักใจล้วนคือพวกโง่เง่า

แต่ว่าผู้พเนจรกลับปักใจเป็นที่สุด

บอกแต่ว่าผู้กล้าในใต้หล้า ไร้เวลาสานสัมพันธ์ชายหญิงให้ยืนนาน

น่าเสียดายที่ผู้กล้าก็มีน้ำตา ใต้หล้าสับสนวุ่นวาย เมื่อไร้ซึ่งรักระหว่างชายหญิง รักยืนนานก็ไม่อาจสานต่อ

เรื่องโศกเศร้าเจ็บปวดที่ทังจงซงต้องพบเจอมาตลอดยี่สิบกว่าปีนี้ ช่างมากมายเหลือทน

เขาเองก็อยากปล่อยวางลงเช่นกัน

เขาอยากขับขานลำนำบอกเล่าความไม่สงบในโลกหล้า ร่ำสุรากระวัดกระบี่ตัดหัวคน

“พวกเรากลับบ้านกัน แม่จะพาเจ้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้!”

โจวอวิ๋นอวิ่นเอ่ยพลางเข้าไปดึงมือของทังจงซง

แต่ทังจงซงกลับนิ่งเหม่ออยู่กับที่

เขาไปไม่ได้ ทั้งกลับไม่ได้

แม้ความปรารถนาในใจนี้จะรุนแรงเพียงใด แต่เขาก็จากไปไม่ได้

แม้เขาจะรู้จักถนนทุกชุ่น ทุกธารน้ำ ทุกสะพานในหัวเมืองรัฐติงเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังจากไปไม่ได้

นับแต่เข้ามาในวังติ้งซีอ๋อง เขาหลับฝันมากขึ้นทุกวัน

ก่อนหน้านี้ เขาแทบไม่เคยฝันเลย

หรือต่อให้ฝัน เขาก็จะจำไม่ได้

แต่ยามนี้ ฝันในทุกค่ำคืนเหมือนประสบมาด้วยตนเอง เหมือนจริงเช่นนั้น กระทั่งแม้ตื่นจากฝันแล้ว กลับยังรู้สึกอ่อนล้าอยู่

เรื่องที่เขาฝันถึงมากที่สุดยังคงเป็นวันที่เขาจากหัวเมืองรัฐติงเพื่อเดินทางมายังวังติ้งซีอ๋อง

บิดาไม่พูดจา มารดาหลั่งน้ำตา

มีเพียงเผียวเจิ้งหงที่เก็บห่อผ้าอยู่เงียบๆ จนเสร็จ ก่อนกุมบังเหียนรถม้าแน่น จากนั้นก็บอกเขาอย่างราบเรียบประโยคหนึ่งว่า “คุณชาย ถึงเวลาออกเดินทางแล้วขอรับ”

เดิมทีทังจงซงอยากยิ้มให้บิดามารดา เพราะนั่นต่างหากถึงเป็นวิถีปฏิบัติของเขา

ไม่เพียงแค่ยิ้ม ตอนยิ้มนั้นยังอยากโบกมือ ยักๆ ไหล่ และค่อนแคะไปคำหนึ่งว่ามารดาร่ำไห้ช่างไม่เอาไหนจริง

แต่เขาล้วนทำไม่ได้

สุดท้ายทำได้เพียงขึ้นรถม้าไปด้วยสีหน้าราบเรียบ ตบไหล่เผียวเจิ้งหงอยู่บนรถม้า

“นอกธารน้ำเมฆา ข้างถนนสายยาว หนทางข้างหน้าล้วนภยันตราย ไร้ลมไร้ฝนไร้ทำนองลำนำ ไร้วาจาไว้อาลัย แดนมนุษย์เคี่ยวกร่ำ เชิดหน้ามองฟ้า วาดหวังได้เป็นแปดอมตะไหสุรา[3] สุราหมักหนึ่งไหทุกข์มีและดับไป น้ำตาแห่งการพบและจากแห้งเหือด ห่างพันลี้ คนึงทุกข์ร่ำไห้ เงาแส้ตัดขาดนภาประจิมทิศ จากไปครั้งยังหนุ่มวันใดจะกลับมา ขอเพียงดื่มสามร้อยจอก…”

โจวอวิ๋นอวิ่นเห็นว่าทังจงซงยังคงไม่ไป จึงร้องออกมาเป็นทำนองเพลงนี้เบาๆ

นี่เป็นเพลงที่โจวอวิ๋นอวิ่นร้องอยู่บ่อยครั้งตอนกล่อมทังจงซงเข้านอนตอนเขายังเล็ก

ว่ากันว่าเป็นเพลงที่มารดาของเขาเขียนขึ้นเอง

ทุกคราวก่อนทังหมิงจะออกเดินทาง โจวอวิ๋นอวิ่นจะลงครัวทำอาหารด้วยตนเอง แค่ต้มโจ๊กเปล่าถ้วยหนึ่ง ทำอาหารทานเล่นสามจาน และจัดวางสุราหมักสองไห

ไหหนึ่งเอาไวดื่มคล้องแขนกับทังหมิง

อีกไหหนึ่งไว้รอยามเขาเสร็จภารกิจ นางก็จะถือสุรานี้ออกไปต้อนรับเขาที่นอกหัวเมืองรัฐติง

เมื่อได้ยินเพลงนี้ก็มักทำให้คิดถึงเรื่องต่างๆ ในอดีต ทังจงซงถึงกับควบคุมตนเองไม่ได้ ต้องคุกเข่าลงกับพื้นปิดหน้าร่ำไห้

“พวกท่านกลับไปเถิด! ข้าไม่ไป! ข้าไปไม่ได้! รีบกลับไป…ไสหัวไป!”

ทังจงซงเริ่มจากพึมพำเบาๆ จากนั้นก็แผดเสียงตะโกน

…………………………………..

[1] วางแผนอยู่แต่ในค่าย กำหนดชัยชนะห่างออกไปพันลี้ เป็นสำนวน หมายถึงผู้มีความสามารถ ไม่ต้องลงมือเอง เพียงวางแผนให้รัดกุมก็สร้างความสำเร็จได้

[2] วัฏจักรแห่งธัญพืช หมายถึงกินเข้าไปย่อยและขับถ่ายออกมา

[3] แปดอมตะไหสุรา คือ ยอดนักดื่มสมัยถังทั้งแปด โดยหนึ่งในนั้นคือ หลี่ไป๋ กวีเอกคนหนึ่งของจีน

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท