บทที่ 161 ต้นหลิวขนัดบุปผายากสะพรั่ง -2
มีกระบี่ทองอยู่ในมือจะถูกคนทุบจนกะโหลกแตกอย่างง่ายดายได้อย่างไร
ต้องรู้เสียก่อนว่านอกจากฟันแล้ว กระดูกส่วนกะโหลกเป็นหนึ่งในกระดูกที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายคน
เพราะสมองมีความสำคัญเพียงใด
ดังนั้นกระดูกที่ปกป้องสมอง ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าที่อื่นๆ มาก
ยังมีอีกข้อสงสัยหนึ่ง นั่นคือกระบี่ทองของอาคันตุกะชุดแดงสองคนนี้ไม่อยู่กับตัว
หรือจะถูกคนที่สังหารพวกเขาเอาไป?
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้
ทว่าเขาคิดว่ากระบี่ทองอาจใช้แสดงฐานะของอาคันตุกะชุดแดงได้ดีกว่าชุดคลุมสีแดง
เพราะเมื่อชุดคลุมสีแดงเสียหายหรือสกปรกก็ยังเปลี่ยนใหม่ได้ทุกเมื่อ
แต่กระบี่ทองเกรงว่าจะติดตัวทั้งคู่มาหลายปีแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งพยายามสืบค้นในความคิด
ต้องการหาเบาะแสที่เกี่ยวกับ ‘พรรคอาภรณ์แดงฉาน’ จากความทรงจำของตน
เขาคิดว่าการเอาอาวุธไปก็เพื่อนำไปเป็นหลักฐาน
มีเพียงพรรคคู่อริหรือมือสังหารล่ารางวัลที่ต้องนำกลับไปรายงานผลจึงจำเป็นต้องมีหลักฐาน
หากพวกเขาทั้งสองล่วงเกินผู้ทรงศักดิ์ทั่วไป เมื่อสังหารแล้วก็จบ เหตุใดต้องเปลืองแรงนำกระบี่ทองไปด้วย
หยกบนภูเขาของผู้อื่นหรือจะเทียบทองแดงในมือตน
หมายความว่าต่อให้กระบี่ทองนั้นจะดีเพียงใด หากใช้ไม่ถูกมือก็เป็นดั่งเศษเหล็กเท่านั้น
“ผู้ใด!”
หลิวรุ่ยอิ่งหันตัวขวับ จับจ้องไปยังมุมบ้านและชักกระบี่ออกมาพร้อมกัน
เขาเห็นชายผู้หนึ่ง ร่างกายเปลือยเปล่า แม้แต่กางเกงชั้นในก็ยังไม่ได้สวม ยืนเปลือยบั้นท้ายอยู่ที่นั่น
ในมือยังถือกระบี่ทองของอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองเอาไว้ด้วย
“เจ้า เหตุใดจึงไม่สวมเสื้อผ้า”
จิ่วซานปั้นถาม
“บ้านหลังนี้ก็คือเสื้อผ้าของข้า พวกเจ้าทะเล่อทะล่าเข้ามาในเสื้อผ้าของข้าทำไม”
ชายผู้นั้นกล่าว
ฟังจากน้ำเสียง เขาไม่ได้แก่ชรา ยังอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับผู้คนเช่นลู่หมิงหมิงและฉางอี้ซาน
แต่คนผู้นี้ผมเผ้ารุงรัง ทั้งหนวดเคราและผมล้วนพันกันไปหมด ไม่รู้ว่าไม่ได้อาบน้ำสระผมมานานเท่าใดแล้ว
ทั้งใบหน้าและร่างกายล้วนห่อหุ้มด้วยดินโคลนหนาๆ ชั้นหนึ่ง ทำให้มองลักษณะที่แท้จริงไม่ชัดเจน
“พวกเราไม่ได้ตั้งใจบุกรุกเข้ามาใน….เสื้อผ้าของเจ้า แต่เพราะฐานะของทั้งสองนี่อ่อนไหวนัก พวกเราจึงต้องเข้ามาตรวจสอบ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
พร้อมกับหยิบป้ายคำสั่งที่ตี๋เหว่ยไท่มอบให้ตนออกมาจากอกเสื้อ
เขาคิดว่าในเมื่อในบ้านนี้มีคน ก็อาจเป็นคนของหอทรงปัญญา
เมื่อเห็นป้ายคำสั่งของตี๋เหว่ยไท่จะรู้ได้ว่าพวกของตนเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู
แต่เมื่อชายร่างเปลือยผู้นั้นเห็นป้ายคำสั่ง กลับส่งเสียงคล้ายพึมพำจากในลำคอ
หลิวรุ่ยอิ่งนึกว่าเขากำลังพูดจึงเงี่ยหูตั้งใจฟัง
แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นเพียงเสมหะที่ชายผู้นั้นพ่นออกมาจากลำคอเท่านั้น
“ตี๋เหว่ยไท่เป็นอะไรไป ถึงได้มอบป้ายคำสั่งของหอทรงปัญญาไว้ในมือคนหนุ่มสาวเช่นพวกเจ้า…ข้าว่าวันพรุ่งหอทรงปัญญาต้องจบสิ้นแล้วเป็นแน่”
ชายร่างเปลือยถือกระบี่ทองกลับไปนอนบนเตียงของตน
เขาไม่ได้เอนตัวนอนราบทั้งหมด แต่เอาศีรษะพิงผนังพลางเล่นกระบี่ทองที่วางอยู่บนอก
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเพิ่งเห็นว่าในบ้านผุพังหลังนี้มีเตียงอยู่หลังหนึ่ง
เตียงนี้มีขนาดใหญ่มาก
ใหญ่จนกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของบ้านหลังนี้ทีเดียว
แต่ที่เขาไม่เห็นก็เพราะเตียงนี้มีสีดำมืดอย่างยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะชายร่างเปลือยนอนลงไป ถ้าจะเข้าใจผิดว่าเตียงนี้เป็นกองถ่านหินก็คงไม่มีใครโต้แย้งแม้แต่น้อย
“พวกเราไม่ใช่คนของหอทรงปัญญา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาเห็นว่ายามคนผู้นี้เห็นป้ายคำสั่ง นอกจากไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยังเรียกขานชื่อของตี๋เหว่ยไท่โดยตรง น้ำเสียงไม่เกรงกลัวอย่างยิ่ง
คิดว่าอย่างไรก็ควรขีดเส้นกั้นให้ชัดเจนจะดีกว่า หากเกิดความเข้าใจผิดขึ้นมาอีกเดี๋ยวจะอธิบายได้ไม่ชัดเจน
“ไม่ใช่คนของหอทรงปัญญา แล้วมีป้ายคำสั่งของหอทรงปัญญาได้อย่างไร?!”
คนผู้นี้ได้ยินก็พลันลุกพรวดพราดขึ้นมาจากบนเตียงแล้วกล่าว
“ช่างเถิด แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้า…นี่มันกังวลเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข้าโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ ต่อให้มอบป้ายคำสั่งของหอทรงปัญญาให้หอทรงภูมิแล้วจะทำอะไรได้ ทำอย่างกับว่าพวกเขาจะสามารถผ่านแดนสุขสัญจรนี่ไปได้”
จากนั้นคนผู้นี้ก็พึมพำกับตนเองอีกครั้ง
พูดพลางเดินกลับไปนอนบนเตียงในท่าเดิม และเล่นกระบี่ทองสองเล่มนั้นอีกครั้ง
“ขอบังอาจถามว่าท่านคือผู้ใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“อยู่ที่นี่ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก เป็นคนเป็น! เป็นบุรุษน่ะสิ! ไม่เห็นแท่งทองของข้าหรอกรึ?!”
คนผู้นั้นกล่าวโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
ถ้อยคำที่กล่าวออกมาราวกับกินรังแตนมา ทำคนฟังรู้สึกระคายหูยิ่งนัก
“ท่านเป็นคนของหอทรงปัญญาหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“แล้วที่นี่คือที่ใด”
คนผู้นั้นกล่าว
“แดนสุขสัญจร”
หลิวรุ่ยอิ่งบอก
“แล้วแดนสุขสัญจรอยู่ที่ใด”
คนผู้นั้นถามอีก
“หอทรงปัญญา”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“รู้แล้วเจ้ายังถามอีก?! คนหนุ่มสมัยนี้เหตุใดจึงได้โง่ดักดานนัก…”
คนผู้นั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหมดคำพูด…
บางคนทำให้เขาโมโห บางคนทำให้เขาเบิกบานใจ และมีบางคนทำให้เขาคำนึงถึง
แต่คนที่ทำให้เขาหมดคำพูดกลับเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา
“เอ๋?! มีสุรา?!”
ในเวลานั้นเอง จิ่วซานปั้นดื่มสุราไปหนึ่งอึก
คนผู้นั้นหันหน้ามาทันใด กล่าวพลางจับจ้องคนทั้งสาม
ดวงตาของเขาจ้องไปยังขวดน้ำเต้าใส่สุราในมือของจิ่วซานปั้น
“เจ้าหนุ่ม ข้าจะเอากระบี่ทองเล่มนี้แลกสุราของเจ้ามาดื่มได้หรือไม่”
คนผู้นั้นกล่าว
แม้ว่าทั้งสายตาและท่าทางยังคงหยาบช้าเป็นที่สุด แต่นี่เป็นการขอร้องคน ท่าทางอวดดีจึงลดลงไม่น้อย
“ท่านก็ชอบดื่มสุราเช่นกันรึ สหายสุราในใต้หล้าล้วนคือพี่น้อง ให้ท่านดื่มเป็นพอแล้ว ต้องแลกอะไรอีกเล่า”
จิ่วซานปั้นเอ่ยพลางโยนขวดน้ำเต้าใส่สุราให้
หลิวรุ่ยอิ่งอยากห้ามปราม แต่กลับไม่ทันเสียแล้ว
คนผู้นั้นรับขวดน้ำเต้าใส่สุรามาและดื่มหมดในคราวเดียวโดยไม่มีสุราร่วงลงพื้นสักหยดเดียว
“สุราดีๆ ขวดน้ำเต้าใส่สุรานี้ก็น่ารักจริงๆ!”
คนผู้นั้นกล่าว
“สุราให้ท่านดื่มได้ แต่ขวดน้ำเต้า ท่านต้องคืนให้ข้า!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เมื่อครู่เพิ่งรู้สึกว่าเจ้าน่าสนใจดี เหตุใดพริบตาเดียวจึงขี้เหนียวเช่นนี้ เจ้าบอกว่าสหายสุราในใต้หล้าล้วนคือพี่น้องไม่ใช่หรือ พี่น้องเห็นขวดน้ำเต้าใส่สุราของเจ้างดงาม แล้วจะเป็นอะไรไปเล่า”
แม้คนผู้นั้นจะเอ่ยปากเช่นนี้ แต่ก็ยังทำท่าทีรังเกียจก่อนโยนขวดน้ำเต้าใส่สุรากลับไปให้
“ไม่ได้ดื่มสุรามานานแล้ว…”
คนผู้นั้นพึมพำประโยคหนึ่ง
“ในเมื่อชอบดื่มสุรา เหตุใดไม่ดื่มเล่า”
จิ่วซานปั้นถาม
“ไม่มีเงินดื่ม”
คนผู้นั้นกล่าว
“เหตุใดท่านถึงไม่มีเงิน”
จิ่วซานปั้นถามอีก
“เพราะข้าอยู่แต่ในบ้านนี้ ไม่เคยออกไปหาเงิน ไม่เหมือนกับพวกเจ้าที่อยู่ข้างนอก จึงสามารถหาเงินดื่มสุราได้ทุกเมื่อ”
คนผู้นั้นกล่าว
ในน้ำเสียงยังมีความอิจฉาปะปนมาด้วย
“ข้าก็ไม่ได้หาเงินเช่นกัน”
จิ่วซานปั้นผายสองมือออกพลางกล่าว
“เช่นนั้นเจ้าเอาเงินจากที่ใดมาดื่มสุรา คงไม่ใช่ขโมยมาหรอกกระมัง?!”
คนผู้นั้นกล่าว
สีหน้าที่มีความเบิกบานขึ้นมาเล็กน้อยเพราะได้ดื่มสุราเมื่อครู่นี้ กลับหนักอึ้งลงในพริบตา
“เพราะข้ามีสหาย สหายของข้าเลี้ยงสุราข้า”
จิ่วซานปั้นชี้ไปยังหลิวรุ่ยอิ่งและทังจงซงที่อยู่ข้างๆ
“สหาย…สหายดีนี่ เจ้ามีมิตรสหายที่ดี ไม่เหมือนสหายของข้าที่เอาแต่โมโหข้า”
คนผู้นั้นกล่าว
แต่เขาก็กลับหัวเราะขึ้นมาในทันใด
“แต่ตอนนี้ข้ามีเงินแล้ว เอาไปแลกสุราดื่มได้!”
คนผู้นั้นกล่าวพร้อมยกกระบี่ทองสองเล่มในมือขึ้น
จากนั้นก็นำกระบี่หนึ่งในนั้นมาถือไว้ในมือ แล้วเริ่มหักกระบี่จากปลายกระบี่ทีละชุ่น
หลิวรุ่ยอิ่งมองอย่างตกตะลึง
ต้องมีกำลังนิ้วที่แข็งแกร่งเพียงใดถึงสามารถทำเช่นนี้ได้
ยามกระบี่ทองสองเล่มของอาคันตุกะชุดแดงอยู่ในมือเขา ราวกับเป็นท่อนไม้ผุๆ ท่อนหนึ่ง
“แก๊ก…แก๊ก…แก็ก…”
เพียงครู่เดียว คนผู้นั้นก็หักกระบี่ทองไปกว่าครึ่งเล่มแล้ว
ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็คิดถึงบางสิ่งขึ้นมาจึงเอ่ยปากถาม
“อาคันตุกะชุดแดงสองคนนี้ ท่านเป็นคนสังหารหรือ”
เมื่อได้เห็นวิธีหักกกระบี่ทองของคนผู้นี้ ก็ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งคิดเชื่อมโยงไปถึงรอยยุบบนกะโหลกของอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองนาย
“ใช่ ทำไมหรือ พวกเจ้ารู้จักรึ”
คนผู้นั้นถาม
เวลานี้เขาหักกระบี่ทองทั้งเล่มเป็นท่อนเล็กๆ ยาวท่อนละสองชุ่น เรียกได้ว่าสามารถใช้เป็นเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างมีหน้ามีตาแล้วจริงๆ
“ไม่รู้จัก เช่นเดียวกับท่าน พวกเรามีความแค้นต่อพวกเขาทั้งสอง”
ทังจงซงกล่าว
ถ้อยคำนี้กลับกล่าวได้อย่างมีศิลปะยิ่ง
ไม่เพียงตัดขาดความสัมพันธ์ แต่ยังเป็นวิธีทางอ้อมที่ให้พวกตนทั้งสามและชายร่างเปลือยเข้ามาอยู่ในแนวรบเดียวกันอีกด้วย
ต่อให้เขาไม่ได้มีความแค้นกับอาคันตุกะชุดแดงทั้งสอง แต่ในเมื่อเขาสังหารคนทั้งสอง อย่างน้อยก็ต้องมีเรื่องหมางใจกันบางประการจึงจะถูก
“มันสองคนทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ในแดนสุขสัญจร ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนใด ในฐานะที่ข้าเป็นคนเฝ้าแดนสุขสัญจร จะให้พวกมันทำสำเร็จง่ายๆ ได้อย่างไร”
คนผู้นั้นกล่าว
“แต่เจ้าโง่สองคนนี้ก็ไม่ได้ความ…มีกระบี่ดีๆ เช่นนี้อยู่ในมือ ข้าที่ร่างกายกำยำยืนอยู่ตรงหน้า แต่กลับเอาแต่กวัดแกว่งส่งเดชอยู่กลางอากาศ ข้าอยากให้พวกมันทั้งสองคนสงบลงก่อนค่อยถามให้ชัดเจน ปรากฏว่าแค่แตะที่หัวของพวกมันทั้งคู่เบาๆ ก็ตายเสียแล้ว…ไม่สนุก ไม่สนุกเอาเสียเลย…”
คนผู้นั้นกล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเพิ่งได้รู้ว่าที่แท้คนผู้นั้นคือคนเฝ้าแดนสุขสัญจร
แต่ถ้อยคำนี้ก็ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งจนปัญญาไม่เบา
แม้เขาจะกล่าวออกมาอย่างดูมีคุณธรรม คล้ายว่าเมื่อมีตนเองคอยดูแลอยู่ แดนสุขสัญจรแห่งนี้ก็เข้าทำนองหนึ่งคนเฝ้า ใครก็เข้าไม่ได้เช่นนั้น
เรื่องนี้พิสูจน์ชัดว่าอาคันตุกะชุดแดงสองคนนั้นลอบเข้ามายังหอทรงปัญญาผ่านทางแดนสุขสัญจรมานานแล้ว
หลังจากเดินลัดเลาะไปรอบหนึ่ง สังหารไปอย่างน้อยสามคน จากนั้นในขณะที่เตรียมจะจากไปคนเฝ้าเช่นเจ้าจึงได้มาพบ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าขันที่สุดในใต้หล้าหรอกหรือ
ทว่า ในแดนสุขสัญจรมีคนเฝ้าอยู่ด้วย เรื่องนี้กลับไม่อยู่ในความคาดคิดของหลิวรุ่ยอิ่ง
ดูเหมือนว่าคนผู้นี้คอยเฝ้าอยู่ตลอด หรืออาจจะไม่เคยออกไปเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ระดับการฝึกยุทธ์ของคนผู้นี้ก็ลึกล้ำเกินหยั่ง ลำพังแค่เรื่องสังหารอาคันตุกะชุดแดงและใช้สองนิ้วหักกระบี่ทองนี้ก็สามารถมองออกได้แล้ว
ไม่แน่ว่าเขาอาจรู้เห็นบางสิ่งเกี่ยวกับการตายของเหลี่ยงเฟินในคืนนั้น
จิตใจของหลิวรุ่ยอิ่งอดตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
………………………………………