ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 164 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-3

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 164 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-3

“ผู้อาวุโส พวกเรายืนรออยู่ที่นี่ได้หรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เขาไม่อยากกลับไปอยู่ภายในบ้านที่ทั้งมืดทั้งผุพังทั้งสกปรกนั่นอีกแล้วจริงๆ

“อยู่ที่นี่? ข้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าจะได้อย่างไรกัน?!”

คนผู้นั้นกล่าว

จากนั้นก็ออกแรงใช้พลังส่งไปยังมือแล้วดึงตัวหลิวรุ่ยอิ่งเดินกลับไปยังบ้านพังๆ

ภายใต้เรี่ยวแรงดึงทึ้งนี้ ตั้งแต่หัวจรดเท้าไปจนทั่วร่างของหลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่อาจปะทุพลังออกมาได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงปล่อยให้คนผู้นี้ลากตนเองเข้าไปในบ้านพังๆ หลังนั้นราวกับหนีบกระดาษไว้แผ่นหนึ่ง

“ลากเจ้าโง่เง่าสองคนนี้ไปฝังข้างหลังเสีย”

คนผู้นั้นพูดกับหลิวรุ่ยอิ่ง

พอเข้าบ้านมาเขาก็กลับไปนอนบนเตียงอีกครั้ง

ราวกับว่าในใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาได้

“ได้”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบรับไปคำหนึ่งโดยไม่ทันคิด

แต่พอคิดดูอีกครั้ง แล้วมันกงการอะไรที่ตนต้องฟังคำสั่งเขา

แต่เขาก็รู้ว่าคนผู้นี้รับมือลำบากนัก ด้วยเหตุนี้จึงปิดปาก เพียงคิดจะหาที่เงียบๆ นั่งรอจนกว่าทังจงซงและจิ่วซานปั้นไปแลกสุรากลับมา

ทว่าเมื่อหลิวรุ่ยอิ่งหันมองไปรอบๆ นอกจากเตียงใหญ่หนึ่งหลังนี้ ภายในบ้านกลับไม่มีที่อื่นที่สามารถนั่งลงได้เลย

แม้แต่โต๊ะสักตัวก็ยังไม่มี

ดูเหมือนคนผู้นี้จะล้วนกินดื่มและขับถ่ายอยู่บนเตียงใหญ่นี้เสร็จสรรพ

“เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีก”

คนผู้นั้นเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งยังคงใจลอยอยู่ จึงอดเอ่ยปากเร่งไม่ได้

“ข้าไม่อยากไป เรื่องนี้ควรเป็นธุระของท่านต่างหาก”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เจ้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสไม่ใช่รึ คุณธรรมดีงามที่ว่าเคารพคนชราและมีน้ำใจต่อผู้อ่อนแอเอาไปโยนทิ้งที่ไหนหมดแล้ว เหลือทนจริงๆ…”

คนผู้นั้นกล่าวอย่างไม่พอใจ

หลิวรุ่ยอิ่งโมโหจนหัวเราะออกมา

เคารพคนชราและมีน้ำใจต่อผู้อ่อนแอนั้นไม่ผิดแน่นอน

แต่ก็ต้องดูด้วยว่าคนชราผู้นั้นคู่ควรให้เคารพหรือไม่ ผู้อ่อนแอคู่ควรให้มีน้ำใจด้วยหรือไม่

ผู้ใหญ่รังแกเด็กเช่นคนผู้นี้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง ย่อมไม่คู่ควรต่อการเคารพแต่อย่างใด

เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งก็รังเกียจพวกที่เห็นๆ อยู่ว่าไร้คุณธรรม ไม่อยู่ในกฎระเบียบ ไม่มีความสามารถเหนือผู้อื่น เอาแต่ยกยอตัวเอง วางท่าสั่งนู่นนี่และตำหนิติเตียนไปเสียทุกเรื่อง

ต่อให้เขาเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากแล้วจะอย่างไร

ที่จริงแล้วความลำบากยากเข็ญก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น

ในเมื่อสามารถเติบโตได้อย่างราบรื่น มั่นคงและธรรมดาสามัญ เหตุใดไม่ลงมือทำเพื่อให้มีความสุขเล่า

แดนมนุษย์พริ้งเพริด ภูผาท้องสมุทรงดงาม เดิมทีความกระตือรือร้นและความเย็นชาก็เกี่ยวพันกัน

ก็เหมือนกับทุกๆ ปี ล้วนมีเวลาครึ่งหนึ่งที่กลางวันสดใส และอีกครึ่งหนึ่งเป็นคืนฝนเหน็บหนาว

ทุกสิ่งล้วนเคยมีความสมบูรณ์แบบชั่วขณะ และความบกพร่องที่เนิ่นนาน

ทว่าเมื่อเจ้าอ้างเอาความบกพร่องที่แสนนานนี้มาเป็นคุณสมบัติให้ตนเองสามารถพร่ำสอนผู้อื่นได้ เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งหวาดกลัวที่จะคบหากับผู้คนอย่างใกล้ชิดเกินไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าใจเขาไม่เฝ้าหวังความสัมพันธ์ที่อบอุ่น

แม้การลงมือทำแค่ส่งๆ จะทำให้ผู้คนผิดหวัง แต่ก็ดีกับทั้งสองฝ่ายมากกว่า

ก็เหมือนคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แม้มีกิริยาท่าทีแปลกประหลาด

แต่หลิวรุ่ยอิ่งสามารถมองออกจากแววตาเขาเมื่อครู่นี้ว่า เรื่องราวที่เคยผ่านมาของเขาจะต้องเคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

ความเย็นชาเย่อหยิ่งในยามนี้บางทีอาจเคยเป็นโลหิตเดือดพล่านและน้ำแข็งเย็นเฉียบ[1]ก็เป็นได้

ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่จะทุ่มเทสุดกำลังในช่วงเวลาที่ตนมีทุกสิ่ง ดังนั้น ยามมองย้อนกลับไปจึงมีเพียงความเสียใจและความผิดหวัง

เมื่อคิดถึงตรงนี้หลิวรุ่ยอิ่งจึงถอนหายใจเบาๆ

พอใจอ่อน ก็อยากช่วยเขาจัดการศพของอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองนี้

“เจ้าหนุ่ม เจ้าไม่ใช่คนของหอทรงปัญญารึ”

คนผู้นั้นเอ่ยปากถาม

เมื่อเขาเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะช่วยเขาทำงานจริงๆ ก็กลับรู้สึกกระดากใจขึ้นมา

“ข้าไม่ใช่”

หลิวรุ่ยอิ่งนำศพทั้งสองวางราบลงอย่างรวดเร็ว ก่อนใช้ชุดคลุมสีแดงบนตัวพวกเขาห่อเอาไว้

ฝีมือคล่องแคล่วว่องไว

“คงจะจริงดังว่า…พวกบัณฑิตนั่นไม่ได้สุขุมและกล้าหาญเช่นเจ้า”

คนผู้นั้นกล่าว

“ความสุขุมเผยออกมาเพราะตกใจ ความกล้าเผยออกมาเพราะพุ่งเข้าชน แต่ก่อนข้าก็ไม่มี เมื่อพบเห็นมากเข้า ทำมากเข้า ย่อมมีมาเอง”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวไปลอยๆ

แต่มือยังคงไม่หยุดพัก เตรียมจะลากศพของอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองไปฝัง

ไม่ว่าทำเรื่องดีเลวอย่างใดมา

คนก็ตายไปแล้ว

ทุกสิ่งล้วนหายวับไปดังภาพลวงตา

แม้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเคารพสองคนนี้แต่อย่างใด

แต่ขุดดินฝังศพ เขาก็สามารถทำได้

เมื่อลงสู่ผืนดินจะได้สงบ อย่างไรก็ไม่อาจให้คนทั้งสองนี้ตายตาไม่หลับ

หากจะโทษ ก็โทษได้เพียงชาตินี้เดินผิดทาง เข้าสู่หนทางที่ผิด

หากจะปรารถนา ก็ปรารถนาว่าให้ชาติหน้าเดินถูกทาง เข้าสู่หนทางที่ถูกต้อง

“ดูเหมือนเจ้าคงเคยตกใจมามาก และพุ่งชนมาไกลมากกระมัง”

คนผู้นั้นกล่าว

เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากตอบ

เพราะเขากำลังใช้มือข้างหนึ่งลากศพหนึ่งเตรียมออกจากประตูไป

แต่เมื่อได้ยินคนผู้นั้นถาม แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะราบเรียบเป็นปกติ แต่ยามหลิวรุ่ยอิ่งได้ฟังกลับรู้สึกว่ามันแฝงแววเย้ยหยันแสนใหญ่หลวง

“สิ่งที่ข้าต้องตกใจในชั่วชีวิตนี้ยังไม่มากมายเท่าที่ต้องตกใจภายในบ้านหลังนี้ ตกใจอย่างสาหัส โดยเฉพาะสภาพการตายของคนทั้งสองนี้ เรียกว่าทำข้าตกใจแทบตายทีเดียว!”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าแต่อย่างใด

เห็นชัดว่าคนผู้นั้นไม่ได้หลงกลที่ใช้กันในโลกหล้า

ต่อให้หลิวรุ่ยอิ่งใช้ถ้อยคำดีๆ จนหมด ประจบประแจงสุดกำลังก็ไร้ประโยชน์

“บ้านหลังนี้มีสิ่งใดต้องกลัว ก็แค่มืดไปหน่อย สกปรกไปหน่อย และรกไปหน่อย หรือว่าเจ้ากลัวความมืด กลัวความสกปรก กลัวความรก”

คนผู้นั้นถาม

หลิวรุ่ยอิ่งฟังถึงตรงนี้ก็ไม่มีแก่ใจจะจัดการศพของอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองนี้อีกแล้ว

เขาเปิดประตูโยนทั้งสองไปนอกประตู และเตรียมจะเจรจาด้วยเหตุผลกับตาเฒ่านี่ให้ดีๆ

“ข้าไม่กลัวสกปรก คนที่ต้องล้มลุกคลุกคลานเช่นพวกเราไม่ได้สูงส่งอะไร ทั้งไม่กลัวความรก พูดตามตรงบ้านของข้าเองก็ไม่ได้เป็นระเบียบกว่าท่านสักเท่าใด แต่ข้ากลัวความมืดจริงดังว่า ข้าไม่เชื่อว่าท่านไม่กลัว”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เขาเอาสองมือกอดอก

ในยามที่คนเราไม่ขาดความมั่นใจ มือไม้มักทำกริยาเหล่านี้

ยามดื่มสุราสามารถถือจอกสุราเล่นในมือ

ยามนั่งอยู่กับโต๊ะสามารถถูมืออยู่ใต้โต๊ะ

แต่หากยืนอยู่เช่นนี้ ไม่ว่าวางมือทั้งสองไว้ที่ใดก็ล้วนไม่สบอารมณ์ รู้สึกว่าเกินความจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าพูดถูก ข้าก็กลัวความมืด…”

คนผู้นั้นกล่าว

เป็นครั้งแรกที่ในน้ำเสียงเจือแววอ้างว้าง กระทั่งเมื่อพูดจบ ยังถอนหายใจเบาๆ อีกด้วย

แม้เสียงถอนหายใจนั้นจะบางเบายิ่งกว่าบางเบา แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังได้ยิน

ไม่ใช่เพราะประสาทหูเขาดีขึ้น และไม่ใช่เพราะภายในบ้านนี้เงียบสงัดเกินไป

แต่เพราะความมืดมิดรกรุงรังภายในบ้านนี้ ทำให้นอกจากคนผู้นั้นแล้ว ก็ไม่มีที่ใดที่สามารถรวมความสนใจของหลิวรุ่ยอิ่งไว้ได้อีก

เมื่อรวบรวมสมาธิได้ ความสามารถในการได้ยินก็ย่อมดีขึ้นตามไปด้วย

“แต่ที่ข้าออกไปเอาตัวเจ้ากลับมาเมื่อครู่นี้ นับเป็นครั้งแรกในตลอดหลายปีที่ข้าได้เห็นแสงสว่าง คนเราถ้าอยู่ภายในความมืดตลอดมาก็จะไม่กลัวความมืดแล้ว”

คนผู้นั้นกล่าว

“นี่มันหลักการอะไรกัน…ก็เพราะข้าพบเห็นความมืดจึงได้กลัวความมืด”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ

“เดิมทีเจ้าทะนงตนอยู่ภายใต้แสงสว่าง ย่อมต้องกลัวความมืดเป็นธรรมดา เจ้ารู้สึกว่าในความมืดมักมีบางสิ่งที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ซ่อนตนเองเข้าไปในความมืด เมื่อเจ้ามองไม่เห็นมัน มันก็จะมองไม่เห็นเจ้าเช่นกัน”

คนผู้นั้นกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินทุกคำในคำพูดประโยคนี้

แต่เมื่อนำมารวมกันแล้ว ความรู้สึกที่เขาได้รับมามีเพียงคำนี้เท่านั้น

วาจาเลอะเลือนทั้งเพ

แล้วผู้ใดบ้างสามารถทะนงตนยามไม่อยู่ในแสงสว่าง

ต่อให้แสงตะวันนอกบ้านกลายเป็นห่าฝนกระบี่ ก็ยังมีคนยอมไขว่คว้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ยอมเสี่ยงอันตรายจากการถูกแล่เนื้อเถือหนัง เพื่อออกจากประตูไปโอบกอดแสงตะวัน

หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าต่อให้แสงสว่างนี้เป็นห่าฝนกระบี่

แต่ในมือเขาก็กำลังกุมกระบี่ยาวเอาไว้

ใช่ว่ากระบี่ของตนจะทานรับคมของห่าฝนกระบี่เหล่านั้นไม่ได้

แต่หากทานรับไม่ไหวจริงๆ ก็ปล่อยให้ทานรับไม่ไหว

แม้ต้องตาย เขาก็จะยอมตายอยู่ภายใต้แสงตะวันที่กลายเป็นห่าฝนกระบี่ จะไม่ยอมใช้ชีวิตไปวันๆ ภายในบ้านผุพังแสนมืดมิดเช่นนี้

ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งสังเกตเห็นว่าตรงกลางเตียงที่คนผู้นั้นนอนมีจุดที่นูนขึ้นจุดหนึ่ง

คล้ายว่าใต้เตียงมีของมากมายยัดไว้จนเต็ม จึงดันให้มันนูนขึ้นมา

“เตียงของท่านพิเศษไม่น้อยเลยนี่”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

เขาไม่กล้าพูดตรงเกินไป ทำได้เพียงอ้อมค้อมเช่นนี้

หวังใช้ประเด็นนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่เรื่องของเตียง และให้คนผู้นั้นพูดออกมาเอง

“ก็แค่ใหญ่ไปสักหน่อย สกปรกไปนิด มีอะไรพิเศษกัน”

คนผู้นั้นกล่าว

เขาเหล่ตามองหลิวรุ่ยอิ่ง

แต่ใบหน้ากลับเปี่ยมด้วยสีหน้าหยอกเย้า

“ที่ท่านว่าคือบนเตียง แต่ที่ข้าหมายถึงคือใต้เตียง”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ใต้เตียงนับเป็นเตียงหรือไม่ เจ้าเคยเห็นคนคลานเข้าไปนอนใต้เตียงเวลาจะนอนด้วยหรือ”

คนผู้นั้นกล่าว

เขาเก็บสายตาลง แววหยอกเย้าบนใบหน้าก็หายไปพร้อมกัน

“ใต้หล้ากว้างใหญ่โตเพียงนี้ แต่ก็ยังมีคนที่เอาแต่นอนอยู่บนเตียงไม่ยอมลุกเช่นท่าน ฉะนั้นย่อมต้องมีคนที่เอาแต่นอนอยู่ใต้เตียงทุกค่ำคืนเช่นกัน”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ใต้เตียงข้า คนมุดเข้าไปไม่ได้”

คนผู้นั้นกล่าว

“เตียงที่ใหญ่โตเพียงนี้ ใต้เตียงจะต้องมีช่องว่างมากกว่าปกติ เหตุใดคนจึงมุดเข้าไปไม่ได้”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นเริ่มสนทนาไปตามคำพูดของตน เขาก็อดรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งไม่ได้

“เพราะใต้เตียงข้ามีของมากมายเกินไป”

คนผู้นั้นกล่าว

“ของอะไรหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

เขาคิดว่าแม้แต่เสื้อผ้าคนผู้นี้ก็ยังไม่สวมใส่ แล้วยังจะมีสิ่งใดยัดไว้ใต้เตียงจนเต็มเช่นนี้

“จดหมาย”

คนผู้นั้นกล่าว

“จดหมาย?”

หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากเชื่อ

เขาเขียนจดหมายเป็นด้วยหรือ

แม้ดูจากตบะยุทธ์ของคนผู้นั้นแล้ว เขาไม่ใช่คนไม่รู้หนังสืออย่างแน่นอน

แต่หากบอกว่าเขาเขียนจดหมายเป็น หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

ทว่า หากเป็นผู้อื่นเขียนให้เขาเล่า

ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เพียงแต่ในบ้านนี้แม้แต่ที่ให้เขียนหนังสือก็ยังไม่มี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพู่กันและหมึกเลย

คนเราเขียนจดหมายก็เพื่อให้อีกฝ่ายตอบจดหมาย

ถ้าเอาแต่เขียน ไม่ได้รับจดหมายตอบ ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ต้องถอดใจทั้งสิ้น

แต่หากของที่อยู่ใต้เตียงของคนผู้นี้ล้วนเป็นจดหมาย ย่อมไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองฉบับ ไม่แน่ว่าอาจมีนับร้อยนับพันฉบับ

หลิวรุ่ยอิ่งไม่เชื่อว่าผู้ใดจะมีความเด็ดเดี่ยวเพียงนี้ เขียนจดหมายตั้งมากมาย แต่กลับไม่ได้เฝ้ารอการตอบกลับแม้แต่น้อย

………………………………………

[1] โลหิตเดือดพล่านและน้ำแข็งเย็นเฉียบ หมายถึง มีประสบการณ์ ผ่านร้อน ผ่านหนาวมามาก

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน