ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 165 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-4

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 165 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-4

“จดหมายที่ข้าเขียน เขียนเสร็จแล้วก็เอายัดลงไป”

คนผู้นั้นกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจ

เมื่อเขียนจดหมายเสร็จก็ควรส่งออกไปจึงจะถูก

แต่เขากลับเอาจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วทั้งหมดซ่อนไว้ใต้เตียง

หรือว่าจะเขียนจดหมายถึงตนเอง

หากต้องการบันทึกเรื่องราวต่างๆ เขียนบันทึกประจำวันก็สิ้นเรื่อง เหตุใดต้องลำบากเขียนจดหมาย

การเขียนจดหมายนั้นเดิมทีก็เป็นเรื่องยุ่งยากที่เต็มไปด้วยพิธีรีตอง

ในบันทึกประจำวัน เจ้าสามารถทำตามใจได้เต็มที่

เมื่อเขียนจดหมายก็ยากที่จะเลี่ยงการเลือกใช้คำและจัดประโยค

แต่เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งคิดดูอีกครั้งก็รู้ว่าคนผู้นี้กำลังหลอกตนอยู่

“เป็นจดหมายที่ท่านเขียนหรือ ในบ้านของท่านนี้ แม้แต่ชุดพู่กันกับหมึกก็ยังไม่มี หรือว่าที่ท่านเขียนนั่นคือจดหมายเลือด”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“เลือดมีค่ามากมายตั้งเท่าใด แต่ไรมาข้าล้วนให้ผู้อื่นหลั่งเลือด! ที่ข้าเขียนนั่นคือจดหมายสุราต่างหาก”

คนผู้นั้นกล่าว

“จดหมายสุรา?”

หลิวรุ่ยอิ่งถือเอาว่าจดหมายสุรา ก็คือถ้อยคำจากความเมามายเท่านั้น

คิดว่ามันก็คือรอยขีดๆ เขียนๆ ที่เกิดจากความพอใจชั่วครั้งชั่วคราวหลังเขาดื่มมามาก

“ถูกต้อง เอามือแตะสุราแล้วเขียน พอเขียนเสร็จก็เอาใส่ไว้ในซองจดหมายและยัดลงไป นี่ไม่ใช่จดหมายสุราหรอกหรือ”

คนผู้นั้นกล่าว

พูดจบแล้วยังยิ้มหยันเล็กน้อย

คล้ายรู้สึกว่าคำถามนี้ของหลิวรุ่ยอิ่งโง่เง่าเหลือเกิน

จดหมายเลือดใช้เลือดเขียน จดหมายสุราก็ไม่ใช่ว่าใช้สุราเขียนหรอกหรือ

แต่เลือดกับสุรามีคุณสมบัติต่างกัน

สุราเข้าทางปากเมื่อดื่มเข้าไปแล้ว ก็จะผสมเข้าไปในเลือด

ด้วยเหตุนี้ สุราจึงสามารถผสานเข้ากับเลือดได้

แต่นอกจากวิชาด้านมืดของพวกพรรคมารแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้ใดดื่มเลือด

ยิ่งไปกว่านั้น ยามเลือดผสมกับสุราก็เพียงแพร่กระจายลงด้านล่างเท่านั้น

ดูคล้ายรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ความจริงแล้วยังคงเป็นของคนละอย่าง

ประเด็นสำคัญคือ เมื่อเลือดแห้งจะทิ้งคราบเลือดเอาไว้ จึงสามารถนำมาเขียนหนังสือแทนหมึกได้

แต่เมื่อสุราแห้งแล้วจะเหลือไว้เพียงรอยสุราเปียก จากนั้นทำให้กระดาษยับย่น แต่กลับไม่ทิ้งสิ่งใดเอาไว้เลย เหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

ใช้สุราเขียนหนังสือก็เท่ากับเขียนโดยเปล่าประโยชน์

ทว่าทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็คิดขึ้นได้ว่าเซียวจิ่นข่านสหายของตนก็มีนิสัยใช้นิ้วมือแต้มสุราและขีดๆ เขียนๆ บนโต๊ะเช่นกัน

เมื่อมีสิ่งอยู่ในใจจะไม่พูดออกมาก็ไม่ได้ แต่กลับไม่อาจพูดให้ใครฟังได้ จึงทำได้เพียงใช้สุราเขียนบนโต๊ะเพื่อระบายความรู้สึก

สุดท้ายไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ ฉะนั้นถ้อยคำเหล่านี้จึงเท่ากับไม่ได้พูดออกมา

มีเพียงลมที่พัดให้แห้งเท่านั้นที่รู้ว่าที่แท้แล้วเขาเขียนสิ่งใด

ทว่าแม้ลมสามารถพัดทุกสรรพสิ่ง แต่มันกลับพูดจาไม่ได้

ไม่ว่าผู้ใดล้วนสัมผัสได้ถึงลมที่พัดเข้าหา แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจมองเห็น ได้ยิน และได้กลิ่นสักตัวอักษรจากสายลม

ในเวลานี้เอง มีเสียงการเคลื่อนไหวกรอบๆ แกรบๆ ดังมาจากข้างนอกบ้าน

หลิวรุ่ยอิ่งนึกว่าเป็นทังจงซงและจิ่วซานปั้นไปแลกสุรากลับมาแล้ว

พลันโล่งใจในทันใด

ด้วยรู้สึกว่าในที่สุดช่วงเวลาแสนทรมานนี้ก็ผ่านไปเสียที

“ข้างในมีคนอยู่หรือไม่”

เสียงสดใสไพเราะหนึ่งถามขึ้น

เสียงนั้นแม้ยังไม่ถึงขั้นคร่ำครวญคนึงหา แต่ก็ทำให้เขาคอยคิดถึงอยู่ทุกเมื่อ

เมื่อนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงรู้ว่าร่างสองร่างที่เขาเห็นในแดนสุขสัญจรเมื่อครู่นี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่มีตัวตนอยู่จริงๆ

ว่ากันตามตรง หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าอาคันตุกะชุดแดงสองคนนี้ตายไปแล้ว

ยามภาพของร่างทั้งสองฉายเข้ามาในม่านตา หลิวรุ่ยอิ่งต้องชักกระบี่ออกมาแล้วเป็นแน่

แต่เวลานี้เขากลับไปเปิดประตูอย่างอดรนทนไม่ไหว

เขากับเจ้าหมิงหมิงสบตากัน

พริบตานั้น เจ้าหมิงหมิงราวกับเป็นหญิงสาวที่ร่ายระบำและร้องเพลงอยู่ ณ ขอบฟ้าผู้นั้น ส่วนหลิวรุ่ยอิ่งก็คือชายหนุ่มช่างพูดและชายหนุ่มพูดน้อยสองคนนั้น

“เป็นท่านเอง!”

เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยปากก่อน

“ใช่ ข้าเอง”

หลิวรุ่ยอิ่งลูบท้ายทอยด้วยท่าทีวางตัวไม่ถูก

เขามองเจ้าหมิงหมิงกำลังยิ้มหวานมองตน พลางพยักหน้าน้อยๆ นับเป็นการทักทาย

เมื่อคิดถึงท่าทางสนิทสนมที่เจ้าหมิงหมิงมีต่อตนครั้งถูกวิชาควบคุมจิตของอาคันตุกะชุดแดงที่ลานตะวันตกในเรือนของช่างใส่กรอบ หลิวรุ่ยอิ่งก็อดเคอะเขินขึ้นมาไม่ได้

ดูเหมือนไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มที่ใดก็เป็นเช่นเดียวกัน

ยามต้องเผชิญหน้ากับคน เรื่องราวหรือสิ่งของที่สำคัญกับตน ล้วนกล้าเพียงมองอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

“จะไม่ให้พวกเราเข้าไปหรือ?!”

เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยพลางจะดันตัวเข้ามาภายในประตู

แต่สมาธิของหลิวรุ่ยอิ่งในเวลานี้ล้วนอยู่ที่เจ้าหมิงหมิงจึงไม่ได้สนใจนางแต่อย่างใด

เกาลัดคั่วน้ำตาลจึงเอียงตัวเข้าไปในช่องข้างลำตัวของหลิวรุ่ยอิ่ง

เมื่อร่างกายของทั้งสองคนสัมผัสกัน สติของหลิวรุ่ยอิ่งจึงเพิ่งกลับมาและขยับตัวออกจากประตู

เมื่อเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งขยับตัวออกไปแล้ว เจ้าหมิงหมิงจึงเดินตามไปด้วย

แต่สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้สังเกตเห็นก็คือ

ศพของอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองก็นอนแผ่อยู่นอกประตู แต่เจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลกลับไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย

ราวกับพบเห็นจนเจนตาแล้ว

“นี่มันกลิ่นอะไรกัน! เหม็นจริงๆ…คุณหนูอย่าเข้ามาเจ้าค่ะ!”

เกาลัดคั่วน้ำตาลเอามือปิดจมูกพลางเอ่ย

แต่ฝ่ามือก็ไม่อาจปิดกั้นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวภายในห้องได้

เกาลัดคั่วน้ำตาลจึงแบ่งลูกเกาลัดออกเป็นสองส่วนแล้วยัดใส่รูจมูก

คราวนี้ สิ่งที่นางได้กลิ่นก็มีเพียงกล่อนหอมหวานของเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้ว

“สวรรค์…สตรี!”

คนเฝ้าที่ยังนอนอยู่บนเตียง เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือเกาลัดคั่วน้ำตาลและเจ้าหมิงหมิงก็พลิกตัวจากบนเตียงลงมาข้างล่างและมุดเขาไปใต้เตียงทันที

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าน่าขันนัก

เมื่อครู่ ยังพูดเต็มปากเต็มคำอยู่ว่าตนไม่เคยมุดเข้าไปใต้เตียง และยังบอกอีกว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครที่จะมุดลงใต้เตียงด้วย

เพิ่งผ่านมาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา เขาก็ผิดคำเสียแล้ว

ไม่มีคนบังคับ ไม่มีคนเร่ง ตนเองกลับมุดลงไปเอง

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

ประตูบ้านกำลังเปิดอยู่

แสงตะวันหลายเส้นทาบลงมาครึ่งตัวและครึ่งใบหน้าของเจ้าหมิงหมิง

หลิวรุ่ยอิ่งมองจนเคลิบเคลิ้ม

“หัวเมืองรัฐติงช่างเล็กเหลือเกิน ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ เดิมทีข้าอยากเขียนจดหมายหาท่าน แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านไปที่ใด ต่อมาข้ากับเกาลัดคั่วน้ำตาลจึงไปรอที่เมืองติ้งซีอ๋องพักหนึ่ง ทว่าแม้จะเป็นเมืองอ๋อง แต่ก็ไม่แตกต่างจากหัวเมืองรัฐติงมากนัก”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

“อืม…เมืองติ้งซีอ๋องก็แค่ใหญ่กว่าเล็กน้อย หากเอ่ยถึงความแตกต่างก็คือหัวเมืองรัฐติงมีร้านน้ำชาเพียงหนึ่งร้าน ส่วนเมืองติ้งซีอ๋องจะมีสิบร้าน”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ใช่ แต่คนเราดื่มชาเพียงครั้งละหนึ่งถ้วยไม่ใช่หรือ ฉะนั้นต่อให้ร้านน้ำชามีมากกว่านี้ สำหรับข้าแล้วก็ไม่น่าสนใจอยู่ดี”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าสิ่งใดถึงน่าสนใจหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยรอยยิ้ม

“ท่าน!”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งตกตะลึงก่อน จากนั้นอยากจะชักกระบี่ออกมา

เขาคิดว่าตนต้องวิชาควบคุมจิตของอาคันตุกะชุดแดงนั่นเข้าให้อีกแล้ว ไม่แน่ว่าคนทั้งคู่ตรงหน้านี้อาจจะยังคงเป็นอาคันตุกะชุดแดง

“แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านไปที่ใด จึงทำได้เพียงสอบถามมาได้ว่ามีที่หนึ่งน่าสนใจ พวกเขาบอกข้าว่าหอทรงปัญญาต่างกับที่แห่งอื่น ข้าจึงอยากมาชมสักหน่อย นึกไม่ถึงว่ากลับได้พบท่าน”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเจ้าหมิงหมิงกล่าวเช่นนี้ มือที่กุมกระบี่แน่นก็คลายลงหลายส่วน

“จะว่าไปก็ใช่ คนที่น่าสนใจก็ควรไปที่ที่น่าสนใจ”

เจ้าหมิงหมิงแย้มยิ้มพลางกล่าวต่อ

“หอทรงปัญญามีเกาลัดคั่วน้ำตาลอร่อยๆ หรือไม่”

“เรื่องนี้…ข้าไม่รู้ชัดจริงๆ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่สอบถามให้รู้ชัดก่อนล่ะ”

เกาลัดคั่วน้ำตาลคาดคั้นไม่ปล่อย

“ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะมานี่”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างจนใจ

“คืนนี้ไปดื่มสุราด้วยกันหรือไม่”

เจ้าหมิงหมิงถาม

หลิวรุ่ยอิ่งย่อมต้องอยากร่วมดื่มสุรากับเจ้าหมิงหมิง

แต่ก่อนหน้านี้เขารับปากฉางอี้ซานแล้วว่าจะไปพบเขาที่หอจันทร์กระจ่าง

ยิ่งไปกว่านั้น หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าการพาเจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลไปสถานที่เช่นหอจันทร์กระจ่างด้วยนั้นค่อนข้างไม่เหมาะสม

หากบอกว่าเป็นโอวเสี่ยวเอ๋อก็ยังพอว่า

เพราะนางมีท่าทีห้าวหาญมากกว่าบุรุษเสียอีก

เมื่อไปแล้ว นอกจากไม่วางตัวลำบาก กลับกันทุกคนยิ่งจะตื่นตัว

ทว่าในใจของหลิวรุ่ยอิ่ง เจ้าหมิงหมิงคือดอกบัว

ดอกบัวถือกำเนิดจากโคลนตมแต่ไม่แปดเปื้อน ชะล้างด้วยน้ำใสจนบริสุทธิ์

แล้วจะไปสถานที่เริงรมย์พรรค์นั้นได้อย่างไร

ทว่าความรู้สึกมักเอาชนะหลักเหตุผล

แทนที่จะเป็นกังวลกับเรื่องขัดเขินที่ยังไม่เกิดขึ้น สู้ไขว่คว้าโอกาสได้อยู่ใกล้กับเจ้าหมิงหมิงให้มากดีกว่า

“คืนนี้ข้านัดกับสหายสองสามคนเอาไว้ หากพวกเจ้าไม่รังเกียจก็ไปด้วยกันเถอะ”

หลิวรุ่ยอิ่งถามหยั่งเชิง

“ได้อย่างไรกัน คุณหนูของข้าอยากดื่มสุรากับท่าน ท่านไม่อาจปลีกเวลามาเพียงลำพังหรือ”

เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับกล่าวอย่างไม่พอใจยิ่ง

“ไม่เป็นไร ขอเพียงท่านสะดวก พวกเราไปด้วยกันเป็นพอแล้ว”

เจ้าหมิงหมิงกล่าวอย่างอ่อนโยน

แสงตะวันหลังบ่ายมักเคลื่อนคล้อยไปรวดเร็วนัก

เพียงชั่วเวลาพูดจาไม่กี่ประโยค แสงตะวันก็เคลื่อนออกจากตัวของเจ้าหมิงหมิงมาปกคลุมหลิวรุ่ยอิ่งครึ่งตัวแทน

หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเจ้าหมิงหมิงกล่าวเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ และพยักหน้ารับเต็มแรง

เจ้าหมิงหมิงยังคงท่าทีละมุนอ่อนหวานเช่นเดิม

เพียงนางคิดขึ้นมาในใจว่า มารดาของนางเคยบอกว่ายามมองบุรุษไม่อาจมองเพียงรูปร่างหน้าตาภายนอก

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือจิตใจและปลายนิ้ว

ยามหลิวรุ่ยอิ่งพบหน้าตน มักยิ้มและเอียงอาย

มีเพียงเมื่อดื่มสุราไปเล็กน้อย จึงสามารถกลับมาองอาจเช่นเดิม

บอกชัดว่าจิตใจของเขาดีงามยิ่งนัก

ยามหลิวรุ่ยอิ่งพบหน้าตน มักคอยระวังไปทุกสิ่ง

แม้จะดื่มจนเมาหนัก ปลายนิ้วก็ยังไม่เคยแตะต้องนาง

บอกชัดว่าปลายนิ้วของเขา มีเกียรติยิ่งนัก

ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษที่ดีงามทั้งมีอุปนิสัยเช่นนี้ก็หายากและน่าสนใจยิ่งนัก

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท