ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 169 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-8

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 169 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-8

ขั้นที่สี่ ‘ธงพื้นขาว คลี่ชงโค’

แรกรู้อัศจรรย์ใจ

แรกเห็นแสนน่ารัก

ครั้งยังไม่คลี่ออก ราวโอบพิณผีผาบังครึ่งหน้า[1]

ยามคลี่ออกจนหมด ดั่งน้ำสาดกระเซ็นยามแจกันเงินแตก[2]

ไม่เพียงดวงตามองเห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่

จมูกก็ยังได้กลิ่นหอมของบุปผาโชยมา

กระทั่งที่หูยังได้ยินเสียงกลีบดอกไม้ค่อยๆ ผลิบาน

ปากได้ลิ้มรสหอมหวานของน้ำหวานจากเกสรดอกไม้

เมื่อเพลงกระบี่ชงโคดำเนินไปถึงขั้นที่สี่

สัมผัสทั้งห้าของมนุษย์จะถูกปิดกั้นไว้ทั้งหมด

ส่วนดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้า ก็ทำได้เพียงหมายปองไม่อาจคว้า

ขั้นที่ห้า ‘ลมหวนยามสายัณห์ เคลื่อนชงโค’

นิ่งงันมิสู้โลดแล่น

ความงามที่อยู่นิ่งไม่สู้ความงามที่เคลื่อนไหว

คนงามผู้หนึ่ง หากเป็นเช่นแจกันดอกไม้ตั้งนิ่ง

ไม่เอ่ยไม่ยิ้ม ไม่กินไม่ดื่ม

สามวันผ่านไป เมื่อได้ชมความสมบูรณ์แบบจนสิ้นแล้ว ก็นำมาใช้ได้เพียงรองรับเถ้าถ่านเท่านั้น

หากคนงามขมวดคิ้วบ้าง มุมปากเผยความขุ่นเคืองบ้าง

ก็เหมือนภาพคนหาปลาในภาพวาดน้ำหมึกที่จู่ๆ ก็ยกคันเบ็ดเอาปลาขึ้น

เห็นแล้วจะไม่ให้รู้สึกดีใจได้อย่างไร

ที่แท้แล้ว ดอกชงโคนี้ไม่ได้เคลื่อนไหว

รอบทิศก็หาได้มีลมโบกพัด

ยามคนทั้งสองประมือกัน

ไม่ว่าก่อนชักกระบี่ เจ้าจะลังเล พะว้าพะวังเพียงใด

ทว่ายามใดที่ชักกระบี่ออกมาแล้ว สิ่งที่เหลือจากนั้นจะมีเพียงความมุ่งมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อน

ไม่ว่ากระบี่จะเคลื่อนไหวเช่นใด จิตใจล้วนไม่อาจสั่นคลอน

ถึงยามนั้นหากกระบี่ของตนสามารถทำให้จิตใจของอีกฝ่ายสั่นคลอนได้

เรื่องที่ว่าจะสูงต่ำแพ้ชนะหรือกระทั่งเป็นตาย เมื่อนั้นจะมองออกในทันใด

………………

เมื่อออกจากเรือนพักของโอวหย่าหมิง โอวเสี่ยวเอ๋อก็อยู่ในระดับคอขวดของขั้นที่สี่แล้ว

นางขาดเพียงจุดพลิกผันเท่านั้น

เมื่อนางเพิ่งยกกระบี่ชงโคขึ้นอีกครั้ง และชี้ปลายกระบี่ไปยังคนประหลาดพันผ้านั้น

นางก็รู้ว่าจุดพลิกผันมาถึงแล้ว

เหมือนกับตอนที่นางโยนก้อนหินทุบหน้าต่างแตกเสียงดัง ‘เพล้ง’

ในชั่วเวลานั้นเอง เพลงกระบี่ชงโคของโอวเสี่ยวเอ๋อก็บรรลุถึงขั้นที่ห้า

ส่วนการ ‘เคลื่อน’ และ ‘ปิด’ ในอีกสองขั้นหลังนั้น

นางยังคงไม่กระจ่างแต่อย่างใด

เวลานี้ รัศมีสีม่วงแผ่ทั่วฟ้าแล้ว

โอวเสี่ยวเอ๋อจึงเข้าสู่ขั้นที่ห้าทีละก้าว ทีละขั้น

แต่คนประหลาดพันผ้าที่อยู่ตรงหน้ากลับเหมือนไม่แยแสใดๆ แม้แต่น้อย

ต่อให้ดอกชงโคนี้จะงดงามน่าตื่นใจเพียงใด เขาก็ไม่แยแส

ด้วยอับจนหนทาง

โอวเสี่ยวเอ๋อจึงได้แต่เริ่มใหม่อีกครั้ง

ครั้งนี้

ใจของนางกลับตื่นเต้นขึ้นมาก่อนแล้ว

เพราะนางค่อนข้างวุ่นวายใจ

หนึ่งเพราะร่างกายของนาง แน่นอนว่าร่างกายของนางไม่อาจทานรับกับการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ของเขาได้

สองเพราะความคิดอ่านของนาง นางเร่งร้อนใจอยากใช้เพลงกระบี่ที่เพิ่งบรรลุใหม่นี้ห้ำหั่นอีกฝ่ายภายใต้คมกระบี่

วุ่นวายใจและร้อนใจทั้งสองอารมณ์นี้ออกมาจากเบื้องลึกในใจและค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วร่างกาย

แผ่ไปถึงกระบี่ของนาง รวมทั้งดอกชงโคบนกระบี่ของนางด้วย

โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นว่าหางตาของคนประหลาดพันผ้ากระตุกเล็กน้อยหนหนึ่ง

แต่เขายังคงไม่ลงมือ

และไม่ได้ถอยหลังขยับตัวให้ห่างจากโอวเสี่ยวเอ๋อ

เขาเอาแต่จับจ้องกระบี่ของโอวเสี่ยวเอ๋ออยู่เงียบๆ

เพลงกระบี่ชงโคไม่มีกระบวนท่าจู่โจม

และไม่ใช่กระบวนท่าป้องกันโดยทั้งหมด

หากอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหว

เพลงกระบี่ชงโคนี้ก็เปรียบเสมือนการเล่นบทต่อสู้มีดาบมีม้าร่ายรำทวนสวยงามเหมือนละครร้องบนเวที

นอกจากผลาญพลังของตนอย่างหนักหนาสาหัสแล้ว ยังไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

แต่ในยามเผชิญหน้ากับความร้ายกาจและความเรืองรองของกระบี่ชงโค ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่ยังอยู่เฉยไม่แยแสใดๆ ได้

เห็นชัดว่าคนประหลาดพันผ้าผู้นี้เป็นเช่นนั้น

โอวเสี่ยวเอ๋อรู้สึกท้อถอยขึ้นมา

หากอีกฝ่ายยังคงแข็งขืนต่อตนอยู่เช่นนี้ต่อไป คนที่พ่ายแพ้ก็ต้องเป็นตนแน่

เพราะนางปล่อยให้พละกำลังสิ้นเปลืองไปเช่นนี้ไม่ไหว

ที่จริงแล้วนี่ก็คือกลวิธีเดียวที่จะบรรลุเพลงกระบี่ชงโค

หรือพูดได้ว่ากลวิธีบรรลุทั้งห้าขั้นที่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้

หากโอวเสี่ยวเอ๋อฝึกสองขั้นสุดท้ายสำเร็จ รวมพลังกระบี่ชงโคให้สูงที่สุด ก็ไม่ต้องเป็นฝ่ายรับอยู่เช่นนี้

…………………

ขั้นที่หก ‘ไม่ปล่อยลมประจิม เข้าสู่ชงโค’

เป็นกระบวนท่าจู่โจมเดียวของเพลงกระบี่ชงโค

ลมประจิมเป็นเพียงสัญลักษณ์

ลมประจิมโบก ดอกใบร่วง

มันมักบ่งบอกถึงการร่วงโรยและเสื่อมถอย

เพียงแต่ว่า

การโรยรานี้ไม่ใช่ชงโค แต่เป็นชีวิตของอีกฝ่าย

ดอกชงโคมีกลีบดอกซ้อนทับกันนับพันนับหมื่น

ทว่าชีวิตของอีกฝ่ายมีเพียงหนึ่งเดียว

ต่อให้ดอกชงโคโรยราไปแล้ว แต่หลายปีหลังจากนั้นก็ยังคืนชีพใหม่ได้

ทว่าชีวิตของอีกฝ่ายกลับไปลับไม่ย้อนคืน

คนยืนอยู่ตรงหน้าดอกชงโค

ลมประจิมพัดวนรอบดอกชงโค

ไม่ปล่อยให้ลมพัดเข้ามา ลมประจิมนี้ย่อมไม่อาจเข้ามาภายในดอกชงโค

ในเมื่อเข้ามาไม่ได้ จึงไม่อาจทำให้ดอกชงโคเหี่ยวเฉาลงได้

แต่ลมประจิมจะไม่มีทางกลับไปมือเปล่า

ลมประจิมเป็นนิรันดร์ ทั้งดอกชงโคก็มีชีวิตสืบต่อไปไม่รู้สิ้น

เป้าหมายของความเสื่อมถอย มีเพียงคนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าดอกไม้นี้

นี่หาใช่ความรักหวานซึ้งที่บัณฑิตเสกสรรยามเมามาย

แม้การตายภายใต้ดอกชงโคจะเป็นเรื่องที่แสนหวานซึ้งก็ตามที

แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับความหวานซึ้งนี้ช่างใหญ่หลวงเหลือกำลัง

โลหิตใดๆ ที่พรั่งพรูออกจากกาย มีแต่จะรดให้ดอกชงโคบานสะพรั่งงดงามยิ่งขึ้น

ต่อให้เป็นโอวเสี่ยวเอ๋อที่ฝึกเพลงกระบี่ชงโคสำเร็จเพียงห้าขั้นแรก

นางก็ไม่เชื่อว่าคนประหลาดพันผ้าผู้นี้จะสามารถมองทะลุความอัศจรรย์พันลึกได้ในคราวเดียว

จุดสำคัญของเพลงกระบี่ชงโค อยู่ที่คำว่า ‘ตัณหา’

ไม่ว่าจะอยู่ขั้นใดหรือไม่ว่าจะมีกี่ขั้น

ก็ล้วนทำเพื่อให้มี ‘ตัณหา’ มากขึ้นก็เท่านั้น

ในใต้หล้าไม่มีคนที่ไร้ซึ่งตัณหา

ฉะนั้นเพลงกระบี่ชงโคแห่งตระกูลโอวนี้จึงสามารถใช้ได้ทุกวิถีทาง

………………

ครั้งที่สาม

โอวเสี่ยวเอ๋อลงมือเป็นครั้งที่สามแล้ว

นางเริ่มเพลงกระบี่ชงโคตั้งแต่ขั้นที่หนึ่งไปจนถึงขั้นที่ห้าเป็นครั้งที่สามแล้ว

หนนี้นางยิ่งรู้สึกร้อนใจเข้าไปอีก

อินและหยางกลับตาลปัตรไปสิ้น

แต่ผลลัพธ์คือโอวเสี่ยวเอ๋อกลายเป็นผ้าต่วนปักลาย

และฝ่ายตรงข้ามคือเข็มปักผ้า

และเขาก็ไม่จำเป็นต้องปักยวนยางโลดแล่นอยู่ในน้ำ

บางทีเขาแค่อยากจะปักอักษรคำว่า ‘ตาย’ สักตัวเท่านั้น

รอบที่สามเพิ่งขับพลังไปได้ถึงขั้นที่สาม

โอวเสี่ยวเอ๋อก็รู้สึกได้ว่ากำลังภายในกายตนไม่พอ

นางอยากต่อสู้ให้จบลงโดยไว

จึงยอมเลือกทางเสี่ยง เปลี่ยนกระบวนท่าอย่างฉับพลัน แทงกระบี่ออกไปหนหนึ่ง

กระบี่นี้โอวเสี่ยวเอ๋อโยกย้ายพลังปราณทั่วกายแต่บนลงล่างมารวมไว้ที่ปลายกระบี่จุดเดียว

บังเกิดรัศมีสีม่วงขนาดใหญ่เท่าเม็ดถั่ว

เมื่อเทียบกับรัศมีครั้งก่อน ครั้งนี้นับว่าน้อยเต็มทน

แต่โอกาสแห่งการสังหารที่อยู่ในรัศมีสีม่วงครั้งนี้ เทียบไม่ได้กับโอกาสแห่งการสังหารในรัศมีกระบี่แผ่ทั่วฟ้าเมื่อครั้งก่อน

ดอกชงโคเบ่งบานเต็มที่

เผยให้เห็นความคมกริบที่ซ่อนเร้นอยู่ในกลีบดอกและเกสร

กระบี่ชงโคในมือของโอวเสี่ยวเอ๋อพุ่งเข้าแทงลำคอของคนประหลาดพันผ้าด้วยความรวดเร็ว

ไม่รู้เพราะเหตุใด

มือกระบี่มักหลงใหลปักใจกับลำคอคนนัก

แม้ว่าลำคอคือจุดสำคัญของคน

แต่จุดสำคัญของคนกลับไม่ได้มีเพียงลำคอแห่งเดียว

หัวใจ ไต ตับ ม้าม กระเพาะ

หากตำแหน่งเหล่านี้โดนกระบี่ ก็จะต้องดับสิ้นไปอย่างแน่นอน

แต่มือกระบี่กลับมักเลือกลำคอ

ก็เหมือนกับนามของกระบี่ชงโคที่ประสานขึ้นด้วยความอ่อนโยนและความคมกริบที่สุด

ลำคอของมนุษย์ เดิมทีก็เป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดในร่างกายคน

เมื่อใช้อาวุธที่แหลมคมที่สุดในใต้หล้า แทงเข้าไปในจุดที่อ่อนแอที่สุดในร่างกายคน

วิธีการเช่นนี้จะนำพาความภาคภูมิใจมาสู่มือกระบี่มากกว่าการจู่โจมที่จุดอื่นของร่างกาย

ฉะนั้นมือกระบี่จึงชื่นชอบใช้กระบี่แทงลำคอของฝ่ายตรงข้ามเพียงจุดเดียว

ทว่า ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง

ซึ่งก็คือ มีเพียงในยามที่แทงลำคอของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นที่กระบี่จะอยู่ในแนวราบที่สุด

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า

‘คนที่ทำร้ายคนจากข้างหลัง ไม่คู่ควรกับกระบี่’

ฉะนั้น เดิมทีแล้วกระบี่ก็เป็นอาวุธของสุภาพชนผู้องอาจ

แม้จะต้องสังหารคน ก็จะทำอย่างองอาจและตรงไปตรงมา

เมื่อย้อนกลับมามองชีวิตคน มีเพียงการแทงเข้าที่ลำคอจึงนับว่าเป็นการกระทำที่เป็นสุภาพชนที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกระบี่แทงเข้าที่ลำคอ

จะมีเลือดไหลออกมาไม่มากนัก

จวบจนดึงกระบี่ออกจากลำคอ เลือดสดจึงค่อยทะลักล้นออกมา

ทว่า โดยมากแล้วมักมาพร้อมกับเสียง ‘อ่อกๆ’ ของคนที่ถูกกระบี่แทง

เลือดสดที่ทะลักออกมาภายนอก เมื่อประสานเข้ากับสายลม

จะค่อยๆ กลายเป็นคราบเลือด

กระบี่ที่ถูกดึงออกมาจากลำคอ จะดึงเลือดออกมาเป็นสายเล็กๆ เท่านั้น

ไม่ได้ไหลทะลักท่วมท้นและทำให้สกปรกเกินไป

นี่นับเป็นการให้ความเคารพต่อตนเอง ทั้งยังเป็นการเคารพต่อศพของฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย

ใบหน้าของโอวเสี่ยวเอ๋อปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

ว่ากันตามหลักแล้ว ยามสังหารคนไม่สมควรยิ้มเด็ดขาด

ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีความเคียดแค้นกับตนมากมายเพียงใดก็ไม่สมควรยิ้ม

นั่นเพราะไม่ว่าชีวิตใดจะดับไป ล้วนสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งเครียด

ก็เหมือนกับที่แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะลังเลอีกสักเท่าใด เขาก็ยังตัดสินใจว่าจะฝังอาคันตุกะชุดแดงทั้งสอง

ทว่า รอยยิ้มของโอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้ชัดเจน

นางเพียงยกมุมปากขึ้นเบาๆ เท่านั้น

แต่ในใจนางกลับแย้มยิ้มเบิกบานยิ่งกว่าดอกชงโคบานสะพรั่งเสียอีก

เพราะปลายกระบี่ชงโคของโอวเสี่ยวเอ๋อกำลังจ่อที่ลำคอของคนประหลาดพันผ้า

แม้ว่ากระบี่ชงโคจะเข้าไปจ่อที่ลำคอ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ได้ลงมือใดๆ

แม้จะแปลกประหลาดนัก

แต่โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้มีเวลาไปสนใจสิ่งนี้

สิ่งที่นางดีใจมีเพียงสองเรื่อง

เรื่องแรกคือนางบรรลุเพลงกระบี่ชงโคขั้นที่ห้าแล้ว

จะว่าไป นี่นับเป็นผลงานของหลิวรุ่ยอิ่ง

หากไม่ใช่ว่าวาสนาประจวบเหมาะให้ได้รู้จักกันที่โรงเตี้ยมพูนโชคในเมืองติ้งซีอ๋องก็จะไม่เกิดเรื่องต่างๆ ตามมา

เมื่อไม่มีเรื่อง ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงพันธะผูกพันต่างๆ

เมื่อไม่มีพันธะผูกพัน นางก็จะไม่ไปชวนเขาไปกินข้าวด้วยกันในยามที่นางหิว

กินข้าวคล้ายเป็นเรื่องเล็ก แต่กินคนเดียวก็เงียบเหงาเกินไป

ยิ่งไปกว่านั้น กินข้าวก็เหมือนนอนหลับ ล้วนเป็นเวลาที่สบายที่สุด มีความสุขที่สุด

นี่ก็คือเรื่องที่สองที่นางดีใจ

ในที่สุดนางก็สามารถละท่าทีแข็งกร้าว ปลดเปลื้องเปลือกนอกที่ห่อหุ้มตัว และคบหาสหายผู้หนึ่งได้อย่างจริงแท้

ที่จริงแล้วเป็นสหายสองคน

เพียงเพราะเวลานี้นางอยู่บ้านของหลิวรุ่ยอิ่ง

เพียงเพราะว่าหนนี้นางชักกระบี่ออกมาเพื่อหลิวรุ่ยอิ่ง จิ่วซานปั้นจึงต้องขยับถอยไปข้างหลังก่อน

ความยินดีและความตื่นเต้นมักปกปิดไม่มิด

ด้วยเหตุนี้ นางจึงทำผิดข้อห้าม ด้วยการมีรอยยิ้มขึ้นมายามสังหารคน

ทว่า รอยยิ้มนี้สั้นยิ่งกว่าช่วงเวลาที่ดอกชงโคเบ่งบานเสียอีก

ปรากฏขึ้นหายวับไป อย่างน้อยยังมีเวลาอีกชั่วพริบตา

แต่รอยยิ้มของโอวเสี่ยวเอ๋อยังไม่ทันเลือนหายไปจากใบหน้า กลับต้องนิ่งค้างและโรยราไป….

………………………………………

[1] โอบพิณผีผาบังครึ่งหน้า หมายถึง สิ่งที่ไม่ชัดเจนหรือไม่ต้องการเปิดเผย

[2] น้ำสาดกระเซ็นยามแจกันเงินแตก หมายถึง ความพลิกผันที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน จนรับมือไม่ทัน

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท