ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 174 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 174 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-1

ณ เมืองจิ่งผิง

เยี่ยเหว่ยมองดูฝุ่นที่ถูกเตะขึ้นจากเท้าม้าของฮั่ววั่งซึ่งวิ่งห่างออกไปไกลแล้วยิ้มอย่างมีความสุข

“ไปกันเถอะ ข้าไม่มองแล้ว แล้วเจ้ายังมองอะไรอยู่เล่า!”

เขาเตะห่านป่าขาเป๋ที่อยู่ข้างเท้าเบาๆ แล้วพูด

จริงๆ แล้ว ฮั่ววั่งไม่อยากจากไป

เขายังอยากพูดคุยกับเยี่ยเหว่ยต่อสักหน่อย ดื่มสุราต่ออีกสองสามจอก

แม้ว่าในช่วงไม่กี่วันนี้ พวกเขาไม่ได้พูดกันมากนัก

เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการดื่มสุรา

เยี่ยเหว่ยและฮั่ววั่งดื่มสุรากันประหลาดอย่างยิ่ง

เวลาดื่มสุราพวกเขาแทบไม่ได้พูดคุยกัน

เอาแต่ดื่มต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

แค่นั่งต่อหน้ากันก็มีความสุขมากแล้ว

แม้พวกเขาจะไม่ได้พบกันเกือบยี่สิบปี น่าจะมีหลายอย่างที่ต้องสนทนา แต่ก็ยังอยากนั่งเงียบๆ อยู่เช่นนั้น

ขอบเขตของการเป็นสหายสูงสุดไม่มีอะไรเกินเลยกว่านี้แล้ว

นั่นคือถึงแม้จะไม่มีเรื่องต้องสนทนาใดๆ ก็ไม่รู้สึกเก้อเขินหรือทำตัวไม่ถูก

เมื่อเทียบกับการที่หลิวรุ่ยอิ่งพยายามหาหัวข้อมาพูดคุยเพื่อทำลายบรรยากาศแล้ว เห็นได้ชัดว่าดูเป็นธรรมชาติกว่ามาก

แม้ว่าเยี่ยเหว่ยพูดว่าจะไปแล้ว

แต่เขาก็ยังมองตามหลังฮั่ววั่งที่กำลังออกจากเมืองจิ่งผิง จนกระทั่งก้าวเข้าดินแดนของอาณาจักรติ้งซีอ๋องแล้วจึงหันกลับมา

“ข้าทำให้เจ้าเสียเวลาหรือไม่”

จู่ๆ เยี่ยเหว่ยก็เอ่ยขึ้น

ห่านป่าขาเป๋ข้างเท้าเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย

การอยู่ร่วมกันมานาน แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงก็สามารถเข้าใจกันได้ด้วยใจ

เยี่ยเหว่ยไม่ได้สนใจมัน

เขาเพียงใช้ปลายเท้าจิ้มที่ก้นห่านป่าขาเป๋ เพื่อบอกให้มันออกไป

ครั้งนี้ห่านป่าขาเป๋ไร้ซึ่งความไม่พอใจ แม้กระทั่งปีกยังไม่กระดิกเลยสักนิด เพียงเดินออกไปเงียบๆ ไปยังห้องครัวด้านหลังของร้านอาหาร

“ไม่เสียเวลา สิ่งที่อยากทำก็จะทำได้ในที่สุด ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็ไม่ต่างกัน”

เสียงหนึ่งดังขึ้น

เงาสีแดงปรากฏต่อหน้าเยี่ยเหว่ย

“คิดไม่ถึงว่าสุดยอดนักพรตอินหยาง ‘ไท่ไป๋’ ในอดีต จะสามารถทนความโดดเดี่ยวได้เพียงนี้”

คนผู้นี้เอ่ยขึ้น

เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว ด้านนอกสวมชุดคลุมสีแดงสด

เขาก็เป็นหนึ่งในอาคันตุกะชุดแดงเช่นกัน

เพียงแต่เขาแตกต่างจากอาคันตุกะชุดแดงคนก่อนหน้านี้

อาคันตุกะชุดแดงที่ถูกคนเฝ้าสังหารบนแดนสุขสัญจรนั้น เหมือนจะเป็นเสื้อตัวนอกมากกว่า

สามารถคลุมมิดทั้งตัว

แต่ชุดคลุมสีแดงบนตัวเขาเป็นเพียงเสื้อคลุมไหล่

เสื้อคลุมไหล่สามารถคลุมได้เพียงแค่ด้านหลัง ไม่สามารถคลุมด้านหน้าได้

“ข้ามองทะลุความจริงของโลกมนุษย์มานานแล้ว ยังจะพยายามเพื่อความสำเร็จและชื่อเสียงไปทำไมกัน”

เยี่ยเหว่ยเอ่ยขึ้น

“แล้วเจ้าล่ะ เหตุใดถึงต้องมายุ่งกับเรื่องทางโลกด้วยเล่า”

เยี่ยเหว่ยถามต่อ

“เจ้าบอกว่าเจ้ามองทะลุโลกมนุษย์แล้ว หรือว่าเจ้าไม่มีสิ่งผูกมัดอย่างนั้นหรือ”

คนผู้นี้ถามขึ้น

“ข้าไม่มีสิ่งผูกมัด”

เยี่ยเหว่ยตอบ

“มีสิ! เจ้ากับฮั่ววั่งดื่มสุราด้วยกัน ฮั่ววั่งก็คือสิ่งผูกมัดของเจ้า แม้เจ้าจะดื่มสุราคนเดียว สุรานี้ก็ยังเป็นสิ่งผูกมัดของเจ้า”

คนผู้นี้เอ่ย

“จากที่เจ้าพูดมา ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีสิ่งผูกมัด”

เยี่ยเหว่ยเอ่ยขึ้น

“ไม่ผิด ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะมีสิ่งผูกมัด”

คนผู้นี้พยักหน้า

“คนที่ตายจากมีถมเถ นับประสาอะไรกับเจ้า……”

เยี่ยเหว่ยพูดได้ครึ่งทางก็หยุดพูดกะทันหัน

เพราะอีกฝ่ายยืนอยู่ต่อหน้าตนแล้ว พูดอะไรไปก็ไร้ความหมาย

“เจ้าจะสังหารฮั่ววั่งที่เมืองจิ่งผิง?”

เยี่ยเหว่ยเอ่ยถาม

คนผู้นี้ส่ายหัว

“เช่นนั้นเจ้าจะสังหารข้าที่เมืองจิ่งผิง?”

เยี่ยเหว่ยถามอีกครั้ง

คนผู้นี้ก็ยังส่ายหัว

“ข้ามาที่นี่เพื่อขอบางอย่างจากเจ้า”

คนผู้นี้เอ่ย

“ยังมีสิ่งใดที่คนอย่างเถี่ยกวนอินหาไม่ได้ นอกเสียจากบัลลังก์ของอาณาจักรห้าอ๋องเท่านั้นแหละ”

เยี่ยเหว่ยหัวเราะเอ่ย

ถึงแม้เขาจะเคยเป็นหนึ่งในห้าสุดยอดนักพรตอินหยาง แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงชายชราที่เปิดร้านอาหารในเมืองจิ่งผิง ดื่มสุราฆ่าเวลายามเบื่อหน่าย

“ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอมรดกของสุดยอดนักพรตอินหยาง ‘ไท่ไป๋’”

เถี่ยกวนอินกล่าว

เขาคือประมุขพรรคอาภรณ์แดงฉานที่เหล่าอาคันตุกะชุดแดงสังกัดอยู่

มีเพียงชุดคลุมสีแดงใหญ่ที่เขาสวมใส่เท่านั้นที่เป็นชุดคลุมสีแดงแท้จริง

ส่วนอาคันตุกะชุดแดงคนอื่นๆ เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น

“มรดกได้ถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่นแล้ว ตอนนี้ข้าไม่เหลืออะไรเลย”

เยี่ยเหว่ยกางมือออกและพูดขึ้น

“การสืบทอดที่เขียนลงบนกระดาษสามารถมอบให้ได้ แต่การสืบทอดที่อยู่ในหัวนั้น เกรงว่าจะติดตัวไปตลอดชีวิต”

เถี่ยกวนอินกล่าว

“แล้วมรดกที่อยู่ในหัวข้า ข้าจะมอบให้เจ้าอย่างไรดีล่ะ”

เยี่ยเหว่ยถามกลับ

“มรดกที่เขียนบนกระดาษก็เขียนตามสิ่งที่อยู่ในหัวของเจ้า ในเมื่อเจ้ามีอยู่ในหัวแล้ว เจ้าก็สามารถเขียนออกมาอีกฉบับได้เช่นกัน”

เถี่ยกวนอินกล่าว

“จริงของเจ้า น่าเสียดาย…”

เยี่ยเหว่ยเอ่ย

“น่าเสียดายอะไร”

เถี่ยกวนอินคิดว่าเขาโน้มน้าวเยี่ยเหว่ยได้แล้ว จึงถามด้วยความเร่งรีบ

“น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลา”

เยี่ยเหว่ยเอ่ย

พูดจบก็ลากขาซ้ายที่เดินเหินไม่ค่อยสะดวกก้าวไปข้างหน้า

เดินออกไปได้เพียงครึ่งก้าว

เขาเห็นแสงสีทองสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากชุดดำในชุดคลุมแดงของเถี่ยกวนอิน

เถี่ยกวนอินชักกระบี่แล้ว

กระบี่ที่เขาใช้เหมือนกระบี่ที่อาคันตุกะชุดแดงใช้

ล้วนเป็นกระบี่ทอง

แต่กระบี่ทองของเขาเจิดจ้ากว่ากระบี่ทองที่อาคันตุกะชุดแดงใช้

แม้แสงสีทองจากกระบี่ทองจะสว่างจ้ายิ่งกว่า

แต่ชุดคลุมแดงของเขากลับไม่มีกลิ่นคาวเลือดเลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้าม กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกชวนชมโชยมา

เยี่ยเหว่ยเห็นเขาชักกระบี่ออกมา ก็ก้มศีรษะถอนหายใจอย่างหนัก

เขาผิวปากหนึ่งครั้งไปทางร้านอาหารของตัวเอง

สิ้นเสียงหวีด ก็เห็นห่านป่าขาเป๋กำลังคาบมีดตัดฟืนสนิมเขรอะจากหลังร้านอาหารบินเข้ามา

ที่แท้มันบินได้

คนในเมืองจิ่งผิงต่างคิดว่าห่านป่าตัวนี้ไม่เพียงแต่ขาเป๋ บางทีอาจจะปีกหักด้วย

เพราะไม่เคยมีใครเห็นมันบินจริงๆ สักครั้ง

มากสุดก็แค่กระพือปีกไม่กี่ครั้ง กระโดดขึ้นลงเท่านั้น

บินได้สูงที่สุดก็น่าจะขึ้นไปบนโต๊ะอาหารหรือเตาปรุงอาหาร

บางทีอาจเป็นเพราะอยู่กับคนมานาน

นิสัยนี้จึงเหมือนกับมนุษย์

แต่เรื่องเร่งด่วนและสำคัญ ห่านป่าขาเป๋ก็พอรู้ความ

เพราะเยี่ยเหว่ยไม่ได้ใช้เสียงหวีดเรียกมันบ่อยนัก

เริ่มแรก เยี่ยเหว่ยพบมันในพงหญ้า

ตอนนั้นปีกของมันบาดเจ็บสาหัส

ห่านป่ามักจะอยู่รวมกันเป็นฝูง

ร่วมกันกินอยู่หลับนอน และร่วมกันขึ้นเหนือล่องใต้

เมื่อปีกได้รับบาดเจ็บ มันก็ตามไม่ทันความเร็วของฝูงใหญ่

จึงต้องอยู่ตัวเดียวอย่างโดดเดี่ยวในพงหญ้า

ตอนที่เยี่ยเหว่ยพบมัน มันเพิ่งผ่านการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายมาทั้งคืน

เพราะแมวป่าในพงหญ้าจ้องมองห่านป่าที่บาดเจ็บและพลัดหลงจากฝูงมานานแล้ว

ทุกอย่างก็เพื่อความอยู่รอด ใครจะปล่อยให้เหยื่ออันโอชะหลุดมือไปได้

ปกติแมวป่าทำได้เพียงเงยหน้ามองฝูงห่านเท่านั้น

ในใจจินตนาการว่าห่านป่าที่โบยบินทุกวันนั้น กล้ามเนื้อของพวกมันจะเลิศรสเพียงใด

บัดนี้ อาหารเลิศรสนั้นอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อม

จะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร

ห่านป่าที่บินไม่ได้ น่าสงสารยิ่งกว่าหนูเสียอีก

เพราะอย่างน้อยๆ หนูยังมีรูเพื่อเข้าไปหลบภัยได้

แต่ห่านป่ากลับไม่สามารถบินเหาะอยู่บนท้องฟ้าได้อีกต่อไป

แต่ยังนับว่ามันโชคดี

เสียไปแค่ฝ่าเท้าหนึ่งข้างเท่านั้น

ยังคงรักษาชีวิตไว้ได้

แต่ก็แค่คืนเดียวเท่านั้น

หากไม่ได้พบกับเยี่ยเหว่ย มันคงอยู่ไม่รอดคืนนี้แน่นอน

ตอนที่เยี่ยเหว่ยพบมัน ห่านป่าก็แทบจะหมดลมหายใจแล้ว

เยี่ยเหว่ยผิวปากใส่มันหนึ่งครั้ง

เขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นห่านป่าตัวหนึ่งนอนอยู่โดดเดี่ยวในพงหญ้า

มันยัดขาที่บาดเจ็บของตัวเองไว้ใต้ขนปีก

ปีกที่บาดเจ็บห้อยต่องแต่งลงมาปิดทับด้านข้าง

เยี่ยเหว่ยจึงมองเห็นแค่รอยเลือดบนพื้นหญ้าข้างห่านป่าเท่านั้น

เยี่ยเหว่ยยื่นมือไปอุ้มมันขึ้นมา

ห่านป่าพยายามดิ้นรน หมายจะรีดแรงอีกครั้ง เพื่อใช้ปากที่ไม่ได้แหลมคมของมันจิกมือเขา

ทว่ามันกลับไม่มีแม้แรงแม้แต่น้อย

“ขาหัก? น่าสงสารยิ่งนัก……”

เยี่ยเหว่ยมองขาที่หักและห้อยลงมาของห่านป่าแล้วพูดกับตัวเอง

ไม่รู้เป็นเพราะนึกถึงขาของตัวเองหรือไม่

ท้ายที่สุดเยี่ยเหว่ยก็นำห่านป่าตัวนี้กลับบ้านด้วย

หนึ่งคนหนึ่งห่านใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในเมืองจิ่งผิง

ในใจของมัน เสียงผิวปากของเยี่ยเหว่ยมักจะเร่งด่วนเสมอ

คนอื่นอาจจะผิวปากเพราะอารมณ์ดี

แต่เยี่ยเหว่ยกลับไม่ใช่

เขาจะผิวปากเฉพาะยามรู้สึกเร่งรีบมากๆ เท่านั้น

เยี่ยเหว่ยอธิบายเรื่องนี้ว่าเป็นเพราะปากไม่ไว ไหวพริบชักช้า

พอรู้สึกรีบเร่งก็คิดไม่ออกว่าควรพูดอะไร ดังนั้นจึงแค่ผิวปากหนึ่งครั้งเท่านั้น

…………………….

ห่านป่าขาเป๋โยนมีดตัดฟืนลงตรงหน้าเยี่ยเหว่ย

เยี่ยเหว่ยคว้าจับไว้กลางอากาศ

เป่าลมเบาๆ ใส่มีดตัดฟืน

เป่าฝุ่นที่อยู่บนมีดออกไป แต่เป่าสนิมที่ติดอยู่บนมีดไม่หลุด

“นี่มีดของเจ้าหรือ”

เถี่ยกวนอินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

“เจ้าน่าจะถามออกมาตรงๆ เลยว่า นี่ยังเรียกว่ามีดได้อยู่หรือ”

เยี่ยเหว่ยกล่าว

ปากของเขาไว

ไหวพริบก็ดีเช่นกัน

ในสถานการณ์เช่นนี้ยังสามารถพูดติดตลกได้ คนที่ล้อเลียนตัวเองจะเป็นคนปากไม่ไวและคิดช้าได้อย่างไรกัน

บางทีเขาอาจรู้สึกว่าภาษามันซับซ้อนเกินไป บางครั้งเสียงหวีดอาจจะสื่อความในใจได้แม่นยำกว่า

“นี่เจ้ายังเรียกว่ามีดได้อยู่หรือ”

เถี่ยกวนอินรีบเปลี่ยนประเด็น ถามใหม่อีกครั้ง

เยี่ยเหว่ยยิ้มกว้าง

เขาคิดไม่ถึงว่าเถี่ยกวนอินที่มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า จะเป็นคนที่มีอารมณ์ขันเช่นนี้

เพราะผู้คนส่วนใหญ่ต่างมีชื่อเสียงมาจากความโหดเหี้ยม ไม่ใช่เพราะความเข้าใจในอารมณ์ขัน

ฮั่ววั่งก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าเช่นกัน

แต่เขาไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์ขัน

โดยเฉพาะอารมณ์ขันของเยี่ยเหว่ย

เยี่ยเหว่ยรู้สึกว่าช่วงหลายปีที่เขาเป็นหนึ่งในห้าสุดยอดนักพรตอินหยาง ‘ไท่ไป๋’ เขามองเห็นความจริงหนึ่งของโลกมนุษย์

นั่นคือ คนที่มีอารมณ์ขันสามารถมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ทว่าคนที่มีชื่อเสียงก็ใช่ว่าจะมีอารมณ์ขัน

คนที่มีอารมณ์ขันเมื่อมีชื่อเสียงในใต้หล้าแล้ว ชื่อเสียงจะยิ่งใหญ่กว่าคนที่ไม่มีอารมณ์ขัน และยาวนานกว่าคนที่ไม่มีอารมณ์ขัน

เมื่อมองจากหลักการนี้ เถี่ยกวนอินก็เป็นเช่นนั้น

“ตอนนี้ข้ามีเพียงมีดเล่มนี้เท่านั้น”

เยี่ยเหว่ยเอ่ย

“แล้วมีดที่เจ้าใช้แต่ก่อนล่ะ”

เถี่ยกวนอินเอ่ยถาม

“มีดที่ใช้ก่อนหน้านี้มันยาวเกินไป ตัดฟืนหั่นผักไม่ค่อยสะดวก เจ้าก็คงไม่ใช้จอบหรือพลั่วทำอาหารใช่หรือไม่”

เยี่ยเหว่ยพูดขึ้น

“อาหารที่ทำด้วยจอบหรือพลั่วต้องมีรสชาติไม่ธรรมดาเป็นแน่”

เถี่ยกวนอินเอ่ย

เยี่ยเหว่ยยิ้มกว้างกว่าเดิม

เขารู้สึกว่าเถี่ยกวนอินนี้มีอารมณ์ขันไม่เหมือนใคร

และยังเข้าขากับตนมาก

น่าเสียดาย ตอนนี้เขาต้องการสิ่งที่ตนไม่สามารถให้ได้

ไม่เช่นนั้นเยี่ยเหว่ยก็อยากจะศึกษาวิธีการทำอาหารด้วยจอบและพลั่วร่วมกับเขาจริงๆ

“เจ้าเคยกินหรือ”

เยี่ยเหว่ยเอ่ยถาม

“ข้าไม่เคย”

เถี่ยกวนอินตอบ

“หากเจ้าไม่ชี้กระบี่มาทางข้า ข้าก็อยากจะลองทำให้เจ้ากินสักครั้ง”

เยี่ยเหว่ยเอ่ย

เขาคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น

ไม่ได้ปกปิดอะไร

เพราะดวงตาของเขาได้เห็นความจริงมากมาย มือทั้งสองข้างก็แปดเปื้อนมาไม่น้อย

…………………………………………….. …………………………………….

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท