บทที่ 177 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-4
“จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ต้องการไล่นักรบผู้กล้าคนนั้นหรือทำลายเสื้อคลุมนั่น เขาเพียงปกป้องความบริสุทธิ์ของค่ำคืน”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“ค่ำคืนมันบริสุทธิ์อย่างไรกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหยุดยั้งได้นั้นล้วนบริสุทธิ์ทั้งสิ้น เมื่อไม่สามารถหยุดยั้งได้ ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นและหายไปตามธรรมชาติ ชีวิตคนเราอาจมีแสงสว่างที่ทำให้หลงผิด แต่ยามค่ำคืนนั้นไม่ควรมีแสงใดๆ นอกจากดวงจันทร์และดาวดวงอื่น หากเจ้ารู้สึกว่าค่ำคืนนี้สว่างไสวเกินไปก็จงหยิบกระบี่ขึ้นมา ขับไล่นักรบผู้กล้าที่สวมเสื้อคลุมและทำลายความเจิดจ้าบนเสื้อคลุมนั้นให้หมดไป”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“หากบีบบังคับไม่ให้ไปและกำจัดไม่ได้เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เช่นนั้นก็ไม่ควรกลัวจนไม่กล้าชักกระบี่ออกมา ต่อให้ล้มเหลวก็ยังมีคนอื่นที่จะเก็บกระบี่ของเจ้าขึ้นมา และสานต่อสิ่งที่เจ้ายังทำไม่เสร็จ”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“หากคนคนหนึ่งทำสิ่งนี้เพียงลำพังในยามค่ำคืนคืนอยู่ตลอด จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“การมีชีวิตอยู่นั้นเป็นสิ่งที่โดดเดี่ยวอยู่แล้ว แต่หากเจ้าต้องการให้ความโดดเดี่ยวนี้แตกต่างจากคนอื่น เจ้าก็ควรค้นหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งทำ บางสิ่งอาจทำให้ความโดดเดี่ยวนั้นแตกต่างออกไป แต่บางสิ่งอาจทำให้ความโดดเดี่ยวนั้นมีความหมายลึกซึ้งขึ้น จะเลือกเช่นใด เจ้าต้องถามหัวใจของเจ้าเอง”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
จากนั้นเขาไล่หลิวรุ่ยอิ่งออกไปทันที
เพราะเขาต้องเริ่มทำงานแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งตั้งใจมาขี่ม้าเล่นอย่างลับๆ
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สัมผัสแม้แต่บังเหียนม้า
ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งเริ่มเข้าใจคำพูดของชายชราเลี้ยงม้าขึ้นบ้างแล้ว
และเขายังพบว่าในความมืดของค่ำคืนไม่เพียงมีนักรบผู้กล้าที่สวมเสื้อคลุมระยิบระยับเท่านั้น แต่ยังมีฝนที่กำลังจะตกอย่างกะทันหัน รวมทั้งหิมะที่ตกหนักอีกด้วย
ฝนที่ตกกะทันหันและหิมะที่ตกหนักจะบดบังแสงจันทร์และดวงดาว
แต่เขาไม่สามารถถอยกลับได้แม้แต่ก้าวเดียว
หิมะที่ตกหนักและฝนที่ตกกะทันหันในความมืดมิดยามค่ำคืนนั้นล้วนเป็นสีดำ
หนักหน่วงกว่าที่เห็นในตอนกลางวันมากนัก
แต่พวกมันก็บดบังความระยิบระยับบนเสื้อคลุมไม่ได้
กลับทำให้ความระยิบระยับนั้นยิ่งเจิดจรัสและสะดุดตามากขึ้น
หลิวรุ่ยอิงรู้สึกว่าตนเองคือผู้ที่ใช้กระบี่ขับไล่นักรบผู้กล้า และเป็นผู้ทำลายความเจิดจรัส
ค่ำคืนมาเยือน
กระบี่อยู่ในมือแล้ว
จะสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่มีใครรู้ได้
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่า ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ค่ำคืนก็จะผ่านพ้นไป
สิ่งที่เขาต้องทำ ก็เพียงแค่ทำอย่างที่ชายชราเลี้ยงม้าบอกไว้
ปกป้องความบริสุทธิ์ของค่ำคืนเท่านั้น
……………………
สถานที่เก็บบันทึกไม่ไกลจากที่พักของตี๋เหว่ยไท่
เพียงถูกคั่นกลางด้วยเนินเขาเล็กๆ
“ขอถามสักครู่ ที่นี่คือที่เก็บบันทึกของหอทรงปัญญาใช่หรือไม่
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเก้าอี้นอนอยู่หน้าประตู
มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้นอนนั้น
ชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือ
แต่เขาอ่านหนังสือเร็วมาก
หากจะบอกว่าอ่านอยู่ ไม่สู้บอกว่าเขาเพียงกำลังพลิกหนังสือ
หน้าแล้วหน้าเล่า พลิกไปมาโดยไม่หยุดพัก แค่พลิกไปเรื่อยๆ เช่นนี้
ในระหว่างที่พูดเพียงประโยคเดียวนั้น เขาพลิกหนังสือไปแล้วเกือบครึ่งเล่ม
หลิวรุ่ยอิงเห็นว่าที่ข้างเท้าของเขายังมีหนังสือกองพะเนินวางอยู่อีก
เห็นได้ชัดว่าหนังสือทั้งหมดที่วางอยู่นั้นมีไว้สำหรับเปิดอ่านเช่นเดียวกัน
“ใช่”
ชายหนุ่มตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
เขาเปิดหนังสือเล่มนั้นจนจบเล่มแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเขาวางหนังสือที่เปิดเสร็จแล้วไว้ข้างเท้าขวา
จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือเล่มใหม่จากกองหนังสือข้างเท้าซ้ายขึ้นมาเปิดต่อ
“เจ้าอ่านหนังสือเช่นนี้จะจำได้หรือ”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“ข้าไม่ได้อ่านหนังสือ ข้าแค่เปิดหนังสือเฉยๆ”
ชายหนุ่มตอบ
“ถ้าไม่อ่าน แล้วเหตุใดต้องเปิดด้วยเล่า”
ทังจงซงถามต่อ
เขารู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
ดูเหมือนว่าในหอทรงปัญญาไม่ได้มีแต่คนจอมปลอมที่พูดจาด้วยคำสวยหรูเท่านั้น
ชายหนุ่มตรงหน้าน่าสนใจมาก
กล่าวถึงความน่าสนใจ
หลิวรุ่ยอิ่งนึกถึงเจ้าหมิงหมิงที่เคยบอกว่าตนเป็นคนที่น่าสนใจ
ไม่รู้ว่าหากนางพบชายหนุ่มผู้นี้จะรู้สึกอย่างไร
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับยิ่งไม่อยากให้เจ้าหมิงหมิงพบเจอเขา
เพราะหากเจ้าหมิงหมิงคิดว่าคนผู้นี้น่าสนใจกว่าตนจะทำอย่างไร
ทุกคนต่างต้องการความรักที่ไม่เหมือนใคร
เมื่อเจ้าหมิงหมิงคิดว่าตนน่าสนใจ หลิวรุ่ยอิ่งจึงอยากให้นางคิดว่าคนที่น่าสนใจสำหรับนางมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
“เพราะข้าต้องการหาอะไรให้ตัวเองทำ”
ชายหนุ่มกล่าว
“เจ้าดูแลบันทึกอยู่ไม่ใช่หรือ นั่นก็คือการทำงานแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น
“บันทึกมันเป็นของตาย ไม่ได้วิ่งไปวิ่งมา อีกอย่างบันทึกพวกนี้ก็ใช่ว่าข้าจะเปิดดูได้ตามใจชอบ”
ชายหนุ่มกล่าว
“เจ้าสามารถวิ่งไปวิ่งมาได้ แล้วทำไมต้องนั่งเปิดหนังสืออยู่ที่นี่”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดต่อ
“วิ่งไปวิ่งมามันเหนื่อยเกินไป นั่งอยู่ที่นี่รับลม อาบแดด เปิดหนังสือสบายกว่ามาก”
ชายหนุ่มกล่าว
“นี่เจ้ากำลังหลอกตัวเองอยู่นะ!”
ทังจงซงเบะปากพูด
“ถ้าตัวเองไม่หลอกตัวเองบ้าง ชีวิตจะมีรสชาติอะไรเล่า”
ชายหนุ่มกล่าว
“ข้าอ่านบันทึกที่นี่ทั้งหมดแล้ว ทั้งยังจำได้แทบทั้งหมด เนื้อหาในบันทึกเป็นความจริงมากพอแล้วกระมัง แต่ความจริงนั้นน่ากลัวมาก ข้าไม่อยากใช้ชีวิตบนความจริงนั้น ดังนั้นข้าจึงแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือ ทั้งหลอกตัวเองได้ และยังทำให้ความเบื่อหน่ายนี้มีความหมายขึ้นมาบ้าง”
ชายหนุ่มกล่าว
“บันทึกของที่นี่เจ้าดูหมดทุกเล่มแล้วหรือ ทั้งยังจำได้ทั้งหมดเลยหรือ”
หลิวยรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็จะช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาได้มากทีเดียว
เพราะหอทรงปัญญาแห่งนี้ก่อตั้งมานานหลายปีแล้ว แน่นอนว่าบันทึกต้องซับซ้อนและมากมายมหาศาลราวกับหมอกควัน
หากต้องค้นหาทีละนิด ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาถึงเมื่อไร
ถามชายหนุ่มผู้นี้ไปตรงๆ คงจะง่ายขึ้นเยอะ
“โดยรวมแล้วจำได้ทั้งหมด ยกเว้นบันทึกของตัวข้าเอง”
ชายหนุ่มกล่าว
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ดูบันทึกของตัวเองเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้ารู้สึกว่าพวกเขาเขียนได้ไม่ดี ฉะนั้นข้าเลยดึงมันออกมาเผาทิ้ง รอจนกระทั่งก่อนตาย ข้าจะเขียนขึ้นมาใหม่หนึ่งฉบับที่ทำให้ข้าพอใจแล้วใส่มันกลับเข้าไป”
ชายหนุ่มกล่าว
“เจ้าคิดจะนั่งเฝ้าบักทึกอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตเลยหรือ”
ทังจงซงเอ่ยถาม
เขารู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ดูไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานเท่าไร
ไม่เพียงไม่มีความทะเยอทะยาน ยังดูเหมือนจะแก่เกินวัยอีกด้วย
“ในโลกนี้มีอะไรสนุกไปกว่าการเฝ้าดูกองความจริง ในขณะที่ตัวเองใช้ชีวิตอย่างไม่จริงใจอีกหรือ ถ้ามีก็คงเป็นการย้ายไปที่อื่นเพื่อเฝ้าบันทึกต่อเท่านั้น”
ชายหนุ่มปิดหนังสือลงแล้วเอ่ยขึ้น
“เอาละ พวกท่านเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบป้ายคำสั่งที่ตี๋เหว่ยไท่ให้มาแล้วยื่นให้ชายหนุ่ม
“พูดตามตรงนะ ข้าไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน…และไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไรได้ แต่หากท่านบอกว่าใช่มันก็ใช่ ประตูไม่ได้ลงกลอน เดินเข้าไปได้เลย”
ชายหนุ่มกล่าว
“เจ้าทำเช่นนี้ มันจะดูไม่รับผิดชอบเกินไปหน่อยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเหลือเชื่อกับการกระทำของชายหนุ่ม
“มันก็แค่บันทึกเท่านั้นแหละ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อให้ท่านรู้ทั้งหมดแล้วอย่างไรต่อเล่า มีแต่ทำให้ท่านถอนหายใจ รู้สึกเจ็บปวดว่าโชคชะตาเล่นตลก เป็นเพียงการไร้ทางเลือกของโลกมนุษย์เท่านั้น ไม่มีอะไรที่ต้องระมัดระวัง”
ชายหนุ่มส่ายหัวพูด
“เจ้าบอกว่าเจ้าอ่านบันทึกทั้งหมดและจำได้คร่าวๆ ข้าอยากจะถามเจ้าตรงๆ”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น
“ถามข้าเรื่องอะไร”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ถามเกี่ยวกับคนคนหนึ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ใคร”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม
เขาเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นใคร
ตราบใดที่มีคนมาขอร้องตน ก็มักจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
เพราะส่วนหนึ่งในธรรมชาติของมนุษย์คือชอบที่จะเป็นครูสอนคนอื่น
“เจ้ารู้จักเบญจลักขีหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าข้ารู้จักเบญจลักขี ท่านถามถึงบางคนในนั้นหรือทั้งหมดเลย”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ข้าอยากถามเกี่ยวกับพี่ชายคนโตของเบญจลักขีที่ตายไป”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ไม่รู้จัก”
ชายหนุ่มตอบทันที
จากนั้นก็หมดความกระตือรือร้นลงอีกครั้ง และเริ่มหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดดูอีกรอบ
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเขาไม่เต็มใจที่จะพูด
เขาถอนหายใจแล้วก้าวเท้าจะเดินเข้าไปในห้องเพื่อค้นหาด้วยตัวเอง
“ในห้องก็ไม่มีหรอก”
ชายหนุ่มกล่าว
“เพราะเหตุใดกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“บันทึกของที่นี่เป็นบันทึกของบุคคลและเหตุการณ์ในหอทรงปัญญา เบญจลักขีเป็นคนของหอทรงปัญญาก็ย่อมมีเอกสารของพวกเขา แต่พี่ชายคนโตของพวกเขาเสียชีวิตก่อนที่เบญจลักขีจะเข้าร่วมหอทรงปัญญา หรือก่อนที่เบญจลักขีจะถูกก่อตั้งขึ้น ไม่ได้เข้าร่วมหอทรงปัญญาก็ไม่นับว่าเป็นคนของหอทรงปัญญา ย่อมไม่มีบันทึกของเขาเป็นธรรมดา”
ชายหนุ่มกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้ว ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ดูเหมือนว่าความคิดของเขา ไม่มีทางพิสูจน์ได้แล้ว
……………………………………………………………