ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 183 ดินแดนแห่งความเงียบสงัด-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 183 ดินแดนแห่งความเงียบสงัด-2

“กรมสอบสวนไม่ได้ส่งคนมา แต่ข้ามาแล้ว”

เด็กรับใช้หันกลับมาพูด

“เจ้าเป็นใคร”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ท่านน่าจะถามก่อนว่านี่เป็นทางไปที่ใด”

เด็กรับใช้ถามกลับ

ยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ

“ข้าคิดว่า นี่ต้องเป็นหนทางไปสู่ปรโลกเป็นแน่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

เมื่ออีกฝ่ายเปิดเผยตัวตน กลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

“นายกองหลิว ช่างสมกับที่เป็นบุคคลจากเมืองหลวง! ไม่เพียงแต่มีประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง แต่ยังรอบคอบอย่างมาก! ข้าน้อยนับถือ!”

เด็กรับใช้เอ่ย

พร้อมประสานมือ แล้วคำนับ

การคำนับนี้ แท้จริงแล้วแสดงถึงความเคารพอย่างยิ่ง

หลิวรุ่ยอิงเห็นว่าหัวของเขาแทบจะโดนพื้นแล้ว

เด็กรับใช้ตัวไม่สูงอยู่แล้ว

ครั้งนี้เหมือนลำตัวพับไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงฉีกอากาศดังมา

ด้วยความร้อนรนจึงชักกระบี่ออกมา

เด็กรับใช้คนนี้ฉวยโอกาสที่กำลังคำนับยิงหน้าไม้จากด้านหลัง

ลูกดอกส่องแสงสีฟ้าอมเขียว

ไม่เพียงแต่มีพลังแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ทั้งลูกดอกยังถูกอาบด้วยพิษอีกด้วย

ไม่ว่าจะในวัดวาอารามหรือยุทธภพ

การใช้พิษถือเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ

นักกระบี่ประลองกันด้วยทักษะกระบี่

นักดาบประลองกันด้วยคมดาบ

มีเพียงคนถ่อยที่มากอุบายและต่ำช้าเท่านั้นที่ใช้พิษบนอาวุธ

แม้การใช้อาวุธลับจะถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ต่ำต้อย

แต่ที่เขาอาบพิษบนอาวุธลับเช่นนี้ นับว่ากระทำผิดต่อหลักในใต้หล้าอย่างยิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งใช้กระบี่ปัดป้องลูกดอกนั้นออกไป แล้วกระโดดหลบไปทางด้านข้างหลายจั้ง

“หนทางสู่ปรโลก คำพูดเช่นนี้มันเก่าไปหน่อย หากเจ้าไม่บอกว่าเจ้าเคยใช้มาก่อน ก็คงเป็นนักเล่าเรื่องในโรงน้ำชา เกรงว่าทั้งปีต้องพูดเรื่องนี้นับร้อยนับพันครั้งเลยทีเดียว”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“ถนนสู่ปรโลกนับว่าเก่าแล้วเพราะไม่มีใครคิดจะตั้งชื่อใหม่ให้มัน นายกองหลิวมากความสามารถ ไม่อยากลองตั้งชื่อใหม่สักหน่อยหรือ เมื่อท่านตั้งชื่อเสร็จแล้ว ข้าจะได้ส่งท่านไปถึงที่หมาย!”

เด็กรับใช้หยัดหลังตรงแล้วพูด

“ไม่เอาดีกว่า อย่างแรกคือข้าน้อยเรียนมาน้อย ไม่มีความรู้ลึกซึ้งพอจะทำหน้าที่เช่นการเล่นคำได้ อีกอย่างไม่ว่าหนทางนี้จะเรียกว่าอะไร ข้าก็ไม่คิดที่จะเดินไป แต่เจ้าควรคิดดีๆ หาชื่อที่ตนเองชอบ อย่างน้อยเมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น จะได้รู้สึกว่ามันเป็นที่ของเจ้า”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

เด็กรับใช้ไม่ได้พูดอะไร

เพียงยืนมองหลิวรุ่ยอิ่งพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

เขาเอื้อมมือไปข้างหลังและหยิบอาวุธแปลกๆ ขึ้นมา

เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเด็กรับใช้คนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุธลับ

เพราะเห็นได้ชัดว่าลูกดอกที่เพิ่งยิงออกมานั้น ยิงผ่านกลไกที่เขาซ่อนไว้ด้านหลัง

แต่อาวุธที่เขาถืออยู่ในมือตอนนี้ หลิวรุ่ยอิ่งกลับมองไม่ออกถึงกลไกของมันเลย

เป็นโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง

ตรงปลายผูกด้วยวงแหวน

วงแหวนนั้นบางและเบามาก

คล้ายว่าจะสามารถลอยขึ้นไปในอากาศได้ราวกับเมฆ

แต่โซ่เหล็กนั้นหนาและแข็งแรง

ขนาดประมาณแขนของหลิวรุ่ยอิ่ง

มองเผินๆ อาจคิดว่าโซ่เหล็กนั้นคือส่วนหลักของอาวุธ วงแหวนเป็นแค่ส่วนประกอบรอง

แต่เด็กรับใช้กลับถือโซ่เหล็กไว้ในมือ ขณะที่วงแหวนอีกด้านหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ กำลังแกว่งไปมาโดยไร้การควบคุม

“หากท่านจะให้ข้าตั้งชื่อก็ไม่มีปัญหา เรียกมันว่า ‘ทางบั่นเศียร’ ก็แล้วกัน”

เวลานี้เด็กรับใช้เพิ่งจะเอ่ยปากพูดขึ้น

“บั่นเศียรหรือ สองคำนี้มันตรงไปตรงมาเกินไป ไม่ค่อยดีนัก”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ท่านว่าไหนๆ มันก็เป็นทางสู่ความตายอยู่แล้ว เหตุใดต้องวกวนนักล่ะ ใช้วิธีตายมาตั้งชื่อเสียเลย จะไม่ชัดเจนกว่าหรือ”

เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น

“หมายความว่าเจ้าจะทำให้ข้าหัวขาดหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ

“แน่นอน นี่เป็นวิธีที่รวดเร็วและสบายที่สุด”

เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น

“สำหรับคนที่ถูกตัดหัวก็อาจจะสบายจริงๆ เสียง ‘ครืด’ ครั้งเดียวทุกอย่างก็จบ แต่สำหรับเจ้า ข้าเกรงว่ามันจะไม่ง่ายเพียงนั้น”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”

เด็กรับใช้เอ่ยถาม

“หมายความว่าคอของข้าแข็ง กระดูกก็แข็ง เกรงว่าเจ้าจะไม่ระวัง แล้วทำให้ดาบหัก มือเคล็ดเสียก่อน”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยขึ้น

“คำพูดของท่านก็ดูเก่าไปหน่อย…คงเรียนมาจากนักเล่าเรื่องเหล่านั้นกระมัง”

เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น

หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากโต้ตอบ

เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว

เดิมทีเขาไม่ใช่คนที่พูดมาก

ไม่รู้เอานิสัยเสียนี้มาจากใคร

แม้ว่าอีกฝ่ายจะแสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการฆ่าตน แต่ตนก็ยังอยากพูดคุยกับเขาสักสองสามคำก่อน

ชั่วขณะหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าอาจจะเริ่มหลงตัวเองแล้ว

ไม่ว่าความมั่นใจในเรื่องหนึ่งจะมีมากเพียงใด

ตนก็ไม่ควรจะมั่นใจเกินไปเช่นนี้

แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็คิดอีกแง่หนึ่ง

นี่ไม่ใช่ความถือดี หรือหลงตัวเองโดยไม่มีเหตุผล

แต่เพราะความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไป

จากความกลัวและตึงเครียดในตอนแรก สู่ความสบายใจและไม่ยึดติดในตอนนี้

หรือพูดอีกอย่างก็คือ

หลิวรุ่ยอิ่งกลายเป็นคนที่มีอารมณ์ขันมากกว่าเดิม

พอคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที

และตอนนี้ก็อยากจะพูดต่ออีกสักหน่อย

ในเมื่อคนที่จะฆ่าเขาไม่รีบร้อน แล้วคนที่เหมือนรอความตายอย่างเขาจะรีบร้อนไปเพื่ออะไร

“คำพูดนี้ไม่ได้เรียนมาจากที่ใด ข้าเป็นคนคิดขึ้นมาเอง”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“เช่นนั้นท่านก็มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เพราะคนอื่นแม้จะอ่านหนังสือหนักหน่วงนานสิบปี ก็ไม่สามารถเข้าใจลึกซึ้งในชั่วขณะได้อย่างท่าน”

เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น

“เจ้าคงจะรู้อยู่แล้วกระมังว่าข้าคือหลิวรุ่ยอิ่ง”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“นายกองหลิว”

เด็กรับใช้พยักหน้าเล็กน้อยขณะพูด

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร แต่ข้ากลับไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร มันจะไม่ยุติธรรมไปหน่อยหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ท่านอยากรู้ว่าข้าเป็นใครหรือ”

เด็กรับใช้ถามกลับ

“คงไม่ใช่ว่าจะให้ข้าตายโดยไม่เข้าใจสิ่งใดกระมัง ก่อนจะถูกตัดหัว ข้าก็ควรเป็นผีที่รู้เรื่องราวไม่ใช่หรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“ฮ่าๆ…ข้าจะบอกท่านในยามที่ท่านตาจะปิดและหายใจเฮือกสุดท้าย! ได้ยินมาว่าช่วงเวลาตอนนั้น จะได้ยินทุกอย่างชัดเจน และจำได้แม่นที่สุด!”

เด็กรับใช้ยังไม่ได้เอ่ยคำว่า ‘แม่น’ ออกจากปาก

พลังในมือถูกส่งผ่านเข้าไปในโซ่เหล็ก

โซ่เหล็กนั้นพลันตั้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน

วงแหวนแขวนอยู่ที่ปลายด้านหน้า

เหมือนอสรพิษกำลังชูหัว

เด็กรับใช้สะบัดข้อมือเบาๆ

หัวของ ‘อสรพิษ’ พุ่งโจมตีไปยังศีรษะของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างรวดเร็ว

หลิวรุ่ยอิ่งตอบโต้ด้วยการใช้กระบี่โจมตีวงแหวน

แต่เด็กรับใช้ก็เปลี่ยนกระบวนท่าในชั่วพริบตา

วงแหวนเพียงเลื่อนออกไปเล็กน้อย ทำให้พลังจากกระบี่ของหลิวรุ่ยยอิ่งถูกสกัดออกไป

ทว่าพลังที่หลิวรุ่ยอิ่งปลดปล่อยออกมานั้นไม่ได้สลายไป

แต่ถูกกักเก็บไว้ในวงแหวน

หมุนวนไปเป็นวงกลม

“เดิมทีคิดว่าการตัดหัวของเจ้าจะราบรื่นและรวดเร็ว แต่เหตุใดมันถึงลื่นเหมือนปลาไหลเช่นนี้”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยเย้ยหยัน

“ท่านดูให้ดีนะ นี่ไม่ใช่ปลาไหล แต่เป็นอสรพิษ!”

เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น

“แรกเริ่มมันก็ดูเหมือนอสรพิษอยู่หรอก แต่ตอนนี้มันเหมือนปลาไหลมากกว่า”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“ตอนเริ่มลงมือ เรียกว่าอสรพิษชูหัว ส่วนการเปลี่ยนกระบวนท่าในตอนนี้ เรียกว่าอสรพิษออกจากโพรง!”

เด็กรับใช้เอ่ย

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าช่างน่าขัน

เขาเคยได้ยินแต่การแจ้งรายการอาหารบนโต๊ะอาหารเท่านั้น

แต่ไม่เคยเห็นใครเผยท่าทีของตนอย่างผ่าเผยขณะต่อสู้เอาเป็นเอาตายเช่นนี้

คนเช่นนี้ไม่โง่เขลาเกินไป ก็มีความภูมิใจในทักษะและฝีมือการต่อสู้ของตนเองมากพอ

“บังเอิญจริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากระบี่ของข้ามีชื่อว่าอะไร”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“กระบี่ของนายกองหลิวแน่นอนว่าไม่ใช่ของธรรมดา”

เด็กรับใช้เอ่ย

“ไม่หรอก มันธรรมดามาก เพียงแต่ชื่อของมันกับชื่อของเจ้านั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง มันชื่อ ‘กระบี่สยบอสรพิษ’!”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กรับใช้ที่เคยพูดจาไหลลื่น จู่ๆ ก็กัดฟันกรอดอย่างแค้นเคือง

ดูท่าการวิเคราะห์ของหลิวรุ่ยอิ่งจะถูกต้อง

เขามีความภูมิใจในทักษะและฝีมือการต่อสู้ของตัวเองเป็นอย่างมาก

แม้เขาจะทนที่หลิวรุ่ยอิ่งเรียกว่าปลาไหลได้

แต่เขาไม่สามารถยอมรับได้ยามอีกฝ่ายบอกว่ากระบี่ของเขาชื่อ ‘กระบี่สยบอสรพิษ’

เด็กรับใช้มืออีกข้างวางบนโซ่เหล็ก

มือทั้งสองข้างกดลงไป

วงแหวนที่ปลายสุดปลดปล่อยพลังของหลิวรุ่ยอิ่งที่ถูกกักเก็บไว้ก่อนหน้าออกมา

วงแหวนหมุนอย่างรวดเร็ว

รวมกับพลังที่ดุเดือดนั้น

หลิวรุ่ยอิ่งจำต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก จึงหลบเลี่ยงคมของศัตรูชั่วคราว

แต่เมื่อเด็กรับใช้เห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบโต้ ก็ขยับโซ่เหล็ก ทำให้วงแหวนหมุนวนกลับมาเหมือนโรคร้ายที่ไม่อาจกำจัดได้

“ตอนนี้ท่าทางเหมือนอสรพิษขึ้นมาบ้างแล้ว!”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

ตีอสรพิษต้องตีที่จุดหลังหัวเจ็ดชุ่น

หลิวรุ่ยอิ่งสังเกตความยาวของโซ่เหล็กและประเมินในใจรอบหนึ่ง

จากนั้นจึงฟันกระบี่ออกไป

กระบี่ยังไม่ถึง แต่พลังจากกระบี่ไปถึงก่อน

ตีโดนตรงจุด “เจ็ดชุ่น” ของโซ่เหล็กอย่างแม่นยำ

………………………………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท