บทที่ 194 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-5
คนลึกลับคิดว่าชิงเฉี่ยนจะรู้สึกบางอย่างเมื่อเห็นข้อความที่เขียนบนผ้าเช็ดหน้าผืนนี้
แต่คาดไม่ถึงว่าชิงเฉี่ยนกลับส่งผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้ฉางอี้ซานทันที
“ฉางไต้ซือเจ้าคะ หากคนผู้นี้เป็นฆาตกร สิ่งนี้สามารถเป็นหลักฐานได้หรือไม่”
ชิงเฉี่ยนถาม
ฉางอี้ซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
“ข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่ของสิ่งนี้ก็เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะมอบมันให้ข้า”
ฉางอี้ซานเอ่ยถาม
ตอนที่ชิงเฉี่ยนเปิดผ้าเช็ดหน้านั้น ฉางอี้ซานมองเห็นข้อความที่เขียนอยู่บนนั้นเช่นกัน
เขาไม่แน่ใจว่าคนลึกลับที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นคนเขียนหรือไม่
ทว่าฉางอี้ซานกลับเห็นอักษรสี่ตัวในนั้น
‘รักแกร่งกว่าทอง[1]’
หากเป็นผลงานของคนลึกลับจริงๆ
คงไม่มีใครคาดคิดได้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูหยาบคายจะมีความคิดที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้
เมื่อคนลึกลับเห็นผ้าเช็ดหน้าที่เขามอบให้ชิงเฉี่ยนตกอยู่ในมือของฉางอี้ซาน
พลันโกรธสุดขีด
แสงสีแดงรอบกายส่องสว่างยิ่งขึ้น
พลังปราณโลหิตที่แผ่ออกมารุนแรงกว่าที่เคย
ผู้ฝึกยุทธที่ใช้พลังปราณโลหิตในการต่อสู้นั้น มักมีนิสัยเร่าร้อนและหุนหันพลันแล่นกว่าคนอื่น
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก
ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีวิธีจัดการกับคนลึกลับผู้นี้
แต่เป็นเพราะพื้นที่ในห้องส่วนตัวนี้แคบเกินไปจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าหรือเคล็ดวิชาใดล้วนยากที่จะใช้งานได้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่สองกระบวนท่าของฉางอี้ซานก็ถูกคู่ต่อสู้รับมือได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเทียบกับความแค้นระหว่างเขากับชิงเฉี่ยน
หลิวรุ่ยอิ่งให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสหายที่นั่งอยู่มากกว่า
เขาเคลื่อนตัวเข้าหาเจ้าหมิงหมิงตามจิตใต้สำนึก
แล้วหมุนตัวยืนขวางหน้านาง
เจ้าหมิงหมิงตกตะลึง
แล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
เกาลัดคั่วน้ำตาลยกนิ้วโป้งให้คุณหนูของตนอย่างโจ่งแจ้ง
เพียงแต่หลังจากที่นางยกนิ้วโป้งแล้ว ก็ไม่อาจห้ามใจแลบลิ้นเลียที่ฝ่ามือของตัวเองได้
ภาพนี้ตกอยู่ในสายตาของทังจงซง
ทำให้เขาขมวดคิ้วแน่น
เจ้าหมิงหมิงยื่นมือออกไปตบที่แขนของเกาลัดคั่วน้ำตาลเบาๆ
ความหมายที่จะเอาใจ ไม่ต้องพูดก็รู้อยู่แล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งอยากชักกระบี่ออกมา
แต่กระบี่ของเขายาวเกินไป
หากชักกระบี่ออกมา
ไม่เพียงแต่ห้องส่วนตัวนี้จะได้รับความเสียหายเท่านั้น
แม้แต่หอจันทร์กระจ่างก็อาจได้รับผลกระทบด้วย
พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นบนชั้นห้า
ดังนั้นจึงไม่กล้าอะไรบุ่มบ่าม
เวลานี้เอง หูของฉางอี้ซานเกิดอาการสั่นเล็กน้อย
“ศิษย์หลาน ช่วยหน่อยสิ”
ฉางอี้ซานเอ่ยปากพูดขึ้น
แม้จะอยู่ในช่วงเวลาเร่งด่วนนี้
ฉางอี้ซานก็ยังคงเยือกเย็น
“ท่านอาจารย์อาต้องการสิ่งใด เชิญพูดมาเถิด”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“จับเขาไว้!”
ฉางอี้ซานชี้นิ้วไปทางคนลึกลับ
นิ้วอ่อนนุ่มเหยียดออก
พลังแรงกล้าสายหนึ่งพุ่งจากปลายนิ้ว
แสงทองสว่างไสวเหมือนดาวดวงใหญ่ตกจากท้องฟ้า
ม้วนเป็นวง
ดูเหมือนจะช้ามาก
แต่ในพริบตาก็เข้าใกล้แสงสีแดงที่ล้อมรอบคนลึกลับนั่น
‘ปัง!’
ครั้งนี้ฉางอี้ซานลงมืออย่างจริงจัง
แสงทองไปถึง
พลังปราณโลหิตถูกดูดซับ
บนไหล่ของคนลึกลับที่ถูกแตะเมื่อครู่ปรากฏรูเลือด
เสียงคำรามต่ำดังออกมาจากคอของเขา
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ลุกโชน
หลิวรุ่ยอิ่งมีลางสังหรณ์ไม่ดี
สิ่งที่ผู้ฝึกวิชายุทธ์พลังปราณโลหิตอยากเห็นมากที่สุดคือฉากที่เลือดไหลเป็นสายน้ำและศพเกลื่อนกลาด
ถ้าเลือดนั้นมาจากคนอื่นก็ยังดี
แต่ตอนนี้มันกำลังไหลออกมาจากไหล่ของตัวเขาเอง
จะไม่ทำให้เขายิ่งเกรี้ยวกราดได้อย่างไร
“ขอยืมกระบี่หน่อย!”
หลิวรุ่ยอิ่งหันไปพูดกับโอวเสี่ยวเอ๋อ
โอวเสี่ยวเอ๋อตอบสนองทันที กระชากชุดบุรุษที่สวมอยู่ออก ดึงกระบี่ชงโคสีม่วงของตระกูลโอวออกมาแล้วโยนให้หลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งรับกระบี่ชงโคมาและพิจารณาดูครู่หนึ่ง
เขารู้สึกว่ากระบี่ชงโคของตระกูลโอวนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ถือไว้ในมือแม้จะไม่รู้สึกหนักมาก
แต่กลับมีกลิ่นอายที่ประสานกันอย่างสมบูรณ์ส่งผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างกาย
ผู้ใช้กระบี่
กระบี่คือลักษณะของผู้ถือ
กระบี่คือหัวใจของผู้นั้น
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกถึงกลิ่นอายของความเป็นนักสู้และความเด็ดขาดที่ส่งผ่านกระบี่
แอบรู้สึกมีความสุขในใจอย่างอดไม่ได้
ดูเหมือนว่าโอวเสี่ยวเอ๋อเป็นคนที่ภายนอกและภายในตรงกันจริงๆ
ไม่เพียงชอบทานอาหารรสจัด ดื่มสุรารสเข้ม
แม้กระทั่งในการใช้กระบี่ยังดุดันเหมือนคมกระบี่ เมื่อเจอสิ่งที่ควรทำก็ทำโดยไม่ลังเล
ไม่มีใครเทียบเท่าได้
“เจ้าทั้งสองถอยหลังไปอีกหน่อย”
หลิวรุ่ยอิ่งก้มลงพูดกับเจ้าหมิงหมิง
เกาลัดคั่วน้ำตาลได้ยินแล้วกลับไม่พอใจ
นางกำลังจะโมโห แต่ได้ยินเสียงคุณหนูตอบกลับไปว่า
“ระวังตัวด้วยนะ!”
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินคำพูดที่ห่วงใยนี้
เขารู้สึกมั่นใจขึ้นทันที
ฤทธิ์สุราที่เคยมีหายไปจนหมด เปลี่ยนเป็นความรู้สึกห้าวหาญ
ชีวิตครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา อีกครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยเสียงกระบี่และเสียงกีบม้า
ไม่มีอะไรเกินไปกว่านี้แล้ว
แม้ว่าตอนนี้ไม่ใช่สนามรบกว้างใหญ่ไพศาล
ไม่มีทหารนับพันนับหมื่น
ไม่มีเสียงกลองรบที่ดังสนั่น
แต่การยืนอยู่ในห้องต่อสู้นี้ เผชิญหน้ากับยอดฝีมือ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ตื่นเต้นและเร้าใจยิ่งกว่าหรอกหรือ
คนลึกลับนั้นเพียงแค่หมุนไหล่เล็กน้อยก็สามารถห้ามเลือดที่ไหลออกมาได้
เขาใช้มือแตะเลือดที่ซึมผ่านสาบเสื้อ
เอาเข้าปากลองชิมดู
จากนั้นบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
หลิวรุ่ยอิ่งย่อตัวลง
เล็งกระบี่ไปที่เข่าของคนลึกลับ
เพราะฉางอี้ซานบอกแค่ว่าจับเขาไว้ ไม่ได้บอกให้ฆ่าเขา
ความหมายของการจับไว้ก็คือจำกัดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
และในร่างกายมนุษย์ จากหัวจรดเท้าไม่มีส่วนไหนที่จะจำกัดการเคลื่อนไหวได้มากกว่าเข่า
ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงเลือกเล็งกระบี่ไปที่ส่วนนี้
กระบี่ยังไม่ถึง
คนลึกลับกลับยกขาขึ้นหนึ่งข้างแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งจำต้องยกกระบี่ขึ้น หวังว่าจะไม่ทำให้การโจมตีนี้เสียเปล่า
คาดไม่ถึงว่าคนลึกลับนั้นจะเตะโต๊ะให้ล้มลง
ห้องส่วนตัวพลันเต็มไปด้วยความโกลาหลทันที
ถึงกับทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม
คนลึกลับเบนสายตาไปยังหลิวรุ่ยอิ่งในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก
จากนั้นใช้พลังอันบ้าคลั่งวิ่งทะลุผนังห้องส่วนตัว พุ่งออกจากหอจันทร์กระจ่าง
แม้แต่ราวของสะพานนกกางเขน ก็ถูกพลังปราณของเขาพัดจนหักลง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่กล้าชะล่าใจ
รีบตามออกไปราวกับปลากระโดดข้ามประตูมังกร
ข้างนอกฝนเริ่มตกอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งมองฝนที่ตกลงมา รู้สึกจนปัญญาในใจ
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้
เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงตั้งใจกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ด้วยเล่า
เพียงชั่วพริบตา หลิวรุ่ยอิ่งก็เปียกปอนเหมือนไก่ตกน้ำ
แต่รองเท้าที่เพิ่งเช็ดจนสะอาดนั้นยังไม่เปื้อนโคลน
ฝนที่ตกก่อนหน้านี้
ตกลงมาอย่างหนัก
แต่ตอนนี้กลับเบาลงมาก
ตกเบาลงเหมือนผ้าไหมพลิ้วไหว
คนลึกลับยืนอยู่กลางถนน
ไม่หนีไปไหน
สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หอจันทร์กระจ่าง
เหมือนต้องการมองชิงเฉี่ยนเป็นครั้งสุดท้าย
พลังปราณโลหิตที่ไหลเวียนในร่างกายเขาไม่ได้ถูกฝนลดทอน
กลับกลายเป็นว่าฝนที่ตกลงมาโดนเขาก็ระเหยหายไปในพริบตา
ทำให้ทั้งตัวเขาถูกห่อหุ้มด้วยสายหมอก
ลอยละล่อง มองเห็นไม่ชัดเจน
“ข้ารู้จักเจ้า!”
ข้างหูของหลิวรุ่ยอิ่งมีเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ฉางอี้ซานยืนอยู่ข้างๆ เขา แต่เสียงที่ได้ยินนั้นชัดเจนว่าไม่ใช่เสียงของเขา
มีเพียงคนลึกลับตรงหน้าเท่านั้นถึงจะทำเช่นนี้ได้
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้จะตอบอย่างไร
ยังคงยืนถือกระบี่อยู่กลางสายฝน
“เจอกันที่เมืองหลวง”
มีอีกเสียงดังขึ้นอีก
“ท่านอาจารย์อา! เขากำลังจะไปแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น
ฉางอี้ซานรีบพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
แท่นฝนหมึกแขวนอยู่ข้างกาย ตามติดไปดั่งเงา
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหอจันทร์กระจ่าง
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นชัดเจนทุกอย่าง
เพราะเขากำลังยืนอยู่ตรงมุมประตูของหอจันทร์กระจ่างที่ไม่ค่อยมีคนสังเกตเห็น จ้องมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนถนนยาวเหยียดนี้
เขาถือลูกคิดในมือ
ลูกคิดไม้ที่แสนธรรมดา
แต่ลูกคิดทุกเม็ดทำจากหยกมือพระโพธิสัตว์ชั้นยอด
น้ำฝนที่ตกลงบนเม็ดลูกคิดไม่เคยหยุดนิ่ง
อยู่บนฟ้าเป็นอย่างไร ตกลงมาก็ยังเป็นอย่างนั้น
เพียงแค่กลิ้งเล็กน้อยก็ไหลลงไป
จินเฉาโหย่วเยวี่ยดึงสายตากลับ
ก้มหัวลง
มองดูหยดฝนที่ตกลงบนเสาลูกคิดเงียบๆ
ทันใดนั้น
เขายกมือขวาขึ้น
เริ่มดีดลูกคิดอย่างรวดเร็ว
ลูกคิดแต่ละลูกที่ทำจากหยกมือพระโพธิสัตว์เกิดเสียงดังเป๊าะๆ ในมือเขา
ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคำนวณอะไร
มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้
เขากำลังคำนวณหยดน้ำฝนที่ตกลงบนลูกคิดของเขาว่ามีกี่หยด
จะคำนวณสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน
หากพูดออกไป คนอื่นคงคิดว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
ตอนนี้จึงทำได้เพียงยืนอยู่ในมุม วุ่นวายอยู่กับการเล่นลูกคิด
แต่จินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้ดี
เขาไม่เพียงคำนวณได้
แต่ยังคำนวณได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
หยดน้ำฝนหยดเดียวก็ไม่มีพลาด
การจะนับหยดฝนเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำนั้น
ไม่เพียงแค่มือต้องว่องไว
ดวงตาก็ต้องแม่นยำ
มือต้องเคลื่อนตามดวงตา
ในชั่วพริบตาที่ตาเห็น มือก็ต้องคำนวณในลูกคิดทันที
เช่นนี้จึงจะนับได้แม่นยำ
แต่จินเฉาโหย่วเยวี่ยเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่ง
เขาฝึกฝนอย่างไรจึงได้มาซึ่งความสามารถในการมองเห็นและความเร็วของมือที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้
ไม่มีใครรู้
เขาไม่เคยแสดงความสามารถนี้ต่อหน้าผู้อื่น
ในขณะที่เขากำลังคำนวณ เขาไม่เพียงคำนวณหยดน้ำฝนที่ตกลงมา
เขากำลังคำนวณกำไรขาดทุนทั้งหมดของเขาในคืนฝนตกนี้
แต่เขาคำนวณได้ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
เพราะการนับหยดฝนนั้นง่าย
สุดท้ายมันก็แค่สิ่งของไร้ชีวิต
แต่คำว่า ‘ได้เสีย’ สองคำนี้ยากที่จะแยกแยะตั้งแต่สมัยโบราณ
แม้แต่พ่อค้าที่ฉลาดเฉลียวอย่างจินเฉาโหย่วเยวี่ยก็ยากที่จะคำนวณได้ชัด
เขาถอนหายใจเบาๆ
เคลื่อนสายตามองไปที่ถนนยาวเหยียดนั้นอีกครั้ง
แท่นฝนหมึกของฉางอี้ซานถูกแยกออกเป็นสองส่วน
ปิดล้อมคนลึกลับจากทั้งสองด้านอย่างแน่นหนา
คนลึกลับเหยียดแขนทั้งสองข้างออกไป
ต้านรับแท่นฝนหมึกทั้งสองฝั่ง
ชั่วขณะ ทั้งคู่ก็ดูจะเข้าสู่สถานการณ์ที่ตึงเครียดอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์อามั่นใจหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถามขึ้น
“ไม่”
ฉางอี้ซานตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ
เห็นได้ชัดว่าฉางอี้ซานไม่ออมมือแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มั่นใจในคนลึกลับผู้นี้อีก
“พลังปราณโลหิตของคนผู้นี้แข็งแกร่งผิดปกติ…พูดอย่างไม่อายเลยว่า นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต”
ฉางอี้ซานกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเรื่องการฝึกฝนพลังปราณโลหิตของผู้ฝึกยุทธมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ดังนั้นเขาจึงไม่มีมาตรฐานในใจที่จะประเมินได้
“เจ้ารู้จักชนเผ่าป่าเถื่อนทางใต้หรือไม่”
ฉางอี้ซานถาม
“รู้เพียงเล็กน้อย”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ตบะปราณโลหิตของคนผู้นี้ ไม่ด้อยกว่าหัวหน้าชนเผ่าป่าเถื่อนเลย!”
ฉางอี้ซานกล่าว
“หรือเขาเป็นคนของชนเผ่าป่าเถื่อน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ศิลปะการต่อสู้และวิชายุทธ์นั้นใช่ แต่คนไม่เหมือน”
ฉางอี้ซานตอบ
นี่เป็นคำพูดที่ทำให้คนครุ่นคิดไม่น้อย
ศิลปะการต่อสู้และวิชายุทธ์สามารถกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะเด่นที่สุดของผู้ฝึกยุทธ
แต่ศิลปะการต่อสู้และวิชายุทธ์นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้
แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่คนของหอทรงปัญญา ทว่าก็ยังมีวิธีที่จะเรียนรู้วิชา ‘วิถีรวมเป็นหนึ่ง’ ของหอทรงปัญญา
เช่นเดียวกับ ‘กระบี่ไท่ซุ่ย’ ของกรมสอบสวนกลางที่เคยถูกเผยแพร่ไปในยุทธภพ
……………………………………………………….
[1] รักแกร่งกว่าทอง หมายถึง ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาก มักใช้ในความรักระหว่างชายหญิง