ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 195 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-6

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 195 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-6

“แท่นฝนหมึกของข้ามีพลังจำกัด แม้จะเสริมพลังปราณแล้วก็ตาม เกรงว่าอาจจะอยู่ได้เพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น”

ฉางอี้ซานพูดขึ้น

หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า

แต่ในใจเขาไม่คิดเช่นนั้น

แน่นอนว่าแท่นฝนหมึกนี้เป็นอาวุธของฉางอี้ซาน

หลิวรุ่ยอิ่งไม่เชื่อว่าอาวุธของฉางอี้ซานผู้เป็นหนึ่งในบัณฑิตจันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ดจะเปราะบางเช่นนี้

แต่ในเมื่อฉางอี้ซานพูดเช่นนี้

หลิวรุ่ยอิ่งทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ

ทุกอย่างสามารถเข้าใจได้เพียงว่าฉางอี้ซานมีแผนการของเขาเอง

จริงดังคาด

ยังไม่ถึงเวลาหนึ่งถ้วยชา

คนลึกลับก็หลุดพ้นจากพันธนาการของแท่นฝนหมึกฉางอี้ซานได้

เห็นเพียงเขากระโดดขึ้นลง

จากนั้นหมุนตัวอย่างสง่า

หันหน้ามาทางฉางอี้ซานแล้วเอ่ยปาก

แม้คนลึกลับนั้นจะไม่มีลิ้น ไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้อย่างชัดเจน

แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังสามารถจับความได้จากการเคลื่อนไหวของริมฝีปากและฟันของเขา สิ่งที่เขาพูดคือ ‘ออมมือแล้ว’

หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจทันที

ฉางอี้ซานแค่ไม่อยากให้หอจันทร์กระจ่างเสียหน้า จึงเลือกที่จะลงมือ

แต่ก็ไม่ได้ใช้ความพยายามเต็มที่

แค่ทำท่าทางพอเป็นพิธีเท่านั้น

เพียงแต่สิ่งที่ทั้งคู่ไม่รู้คือ

ทุกอย่างล้วนถูกจินเฉาโหย่วเยวี่ยจับตามองอยู่

เขายังไม่จากไปไหน

ยังคงยืนอยู่ข้างมุมประตูนั้น

เวลานี้เขากลับกัดฟันกรอด

คิดในใจว่าพวกบัณฑิตมักได้ประโยชน์ไปไม่น้อย ตนคบค้าสมาคมกับพวกเขา สามารถรับผิดชอบคำว่า ‘สัจจะ’ สองคำนี้ได้อย่างแน่นอน

ตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่เคยรบกวนพวกเขาด้วยเรื่องใดๆ

จนบัดนี้ กลับกลายเป็นว่าฉางอี้ซานก็ยังทำเฉยเมยกับตน

กลัวว่าเขาจะดูไม่ออกหรือ

จินเฉาโหย่วเยวี่ยกำหมัดแน่น

พยายามข่มความโกรธและความจำใจที่เกิดขึ้นในใจ

แต่อารมณ์เหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้มันสงบลงได้ก็ยากเย็นนัก

ไม่ต่างจากหลักการของโรคภัยที่เข้ามา

โรคภัยมาเยือนดั่งภูเขาทลาย

และจากไปเหมือนดึงด้ายออกมา

จินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นด้วยตาตัวเองว่าคนผู้นี้ทำลายหอจันทร์กระจ่างจากบนลงล่าง จะให้เขาอดทนได้อย่างไร

ในขณะที่ความคิดกำลังพลุ่งพล่าน

ก็กลับมาดีดลูกคิดอีกครั้ง

เขาดันหัวแม่มือ

กดด้วยนิ้วชี้

ลูกคิดหยกมือพระโพธิสัตว์สองเม็ดชนกัน

เกิดเสียงกระจ่าง

แต่ในคืนที่ฝนตกนี้ กลับไม่เด่นชัดเท่าไรนัก

ฝนที่ตกหนักกั้นเสียงกระจ่างนั้นไว้

จนทำให้หลิวรุ่ยอิ่งและฉางอี้ซานไม่ได้ยิน

แต่พอลูกคิดสองเม็ดนั้นสัมผัสกัน

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นคนลึกลับที่เดินจากไปไกลหยุดชะงักกะทันหัน

แล้วก็เอนตัวไปทางซ้าย

แล้วล้มพับลงกับพื้น

“ท่านอาจารย์อา…นี่มัน?”

หลิวรุ่ยอิ่งเปิดปากถาม

เขาเข้าใจถึงหลักการในเรื่องนี้แล้ว

หากจักรพรรดิไม่รีบ เหตุใดข้าหลวงต้องรีบด้วยเล่า

ตราบใดที่ฉางอี้ซานยังคงยืนหยัดและรักษาท่าทีของตัวเองได้

หลิวรุ่ยอิ่งก็จะอยู่ข้างๆ คอยหนุนอย่างเต็มที่

ฉางอี้ซานเหลือบสายตามองไปทางด้านหลังเล็กน้อยแล้วพูดว่า

“ไปดูสิ”

หลิวรุ่ยอิ่งรับรู้ถึงความลังเลในใจของเขา

แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้ทุกคนตกใจไม่น้อย

ใครกันที่สามารถวางแผนลับๆ ได้โดยไม่ให้ทั้งคู่สังเกตเห็น

นี่ทำให้ฉางอี้ซานต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก

เพราะเดิมทีเขามีแผนให้คู่ต่อสู้หนีไป

แต่ตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินหน้าทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน

แต่ฉางอี้ซานเดินไปช้ามาก

หรือพูดได้ว่าเดินไปอย่างมั่นคง

เขาก้าวออกไปทีละก้าวด้วยความนุ่มนวลและแม่นยำอย่างยิ่ง

ยกขาขึ้นเล็กน้อย ปลายเท้าสัมผัสพื้นก่อน

ตามด้วยฝ่าเท้าก้าวไปข้างหน้า

และปลายเท้าใช้แรงยกขึ้น

คนปกติเดินไม่ได้ใส่ใจถึงรายละเอียดเช่นนี้

การเดินเช่นนี้ เหมือนกับก้าวย่างของนักแสดงบนเวทีมาก

“โจมตีจากด้านหลัง…”

ฉางอี้ซานเดินไปเดินมา แล้วหยุดฝีเท้ากะทันหัน

เพราะเขาได้ยินเสียงหนึ่งมาจากด้านหลัง

เขารู้

แหล่งที่มาของเสียงนั้นคือคนลึกลับที่คุกเข่าอยู่บนพื้น

“ไม่ใช่ข้า”

ฉางอี้ซานพูด

“ข้ารู้ว่าไม่ใช่เจ้า”

เสียงของคนลึกลับดังขึ้นอีกครั้ง

“แต่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือไม่ เรื่องนี้ข้าจะถือว่าเป็นเจ้า”

คนลึกลับส่งเสียงกล่าวต่อ

“ไม่เป็นไร”

ฉางอี้ซานตอบ

คนลึกลับใช้มือพยุงตัวเองขึ้นยืนช้าๆ

หลังจากฝนชะล้างเลือดบนพื้นจนสะอาด ฝนก็ค่อยๆ หยุดลง

‘ฝนตกต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้หรือมีช่วงที่หยุดตกกลางคัน?’

หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ

หากฝนคืนนี้ไม่หยุด

แสดงว่าเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นคืนนี้ยังไม่จบสิ้นใช่หรือไม่

ทว่าบัดนี้ ในที่สุดฝนก็หยุดแล้ว

นี่ก็แสดงว่าทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้วใช่หรือไม่

แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับหวังว่าฝนจะตกเพิ่มอีกสักหน่อย

จนล้างความชั่วช้าในโลกนี้ให้สะอาดขึ้นอีกสักหน่อย

เขายืนอยู่ห่างจากฉางอี้ซานเพียงไม่กี่ก้าว

ไม่ได้ก้าวขึ้นไปอีก

ถึงแม้เขาจะสงสัยว่าทั้งสองคนกำลังสนทนาอะไรกัน

แต่การให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นก็เหมือนกับให้ความสะดวกแก่ตัวเอง

หากเข้าไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เกรงว่าจะทำให้ทุกคนไม่สะดวกใจ

หันหน้าไปดู

กลับเป็นจินเฉาโหย่วเยวี่ยที่ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด

ในมือซ้ายของเขาถือลูกคิดหยก

มือขวาเล่นลูกคิดสลับไปมา

ใบหน้ายิ้มแย้ม

ก้าวย่างเบาและรวดเร็ว

ให้ความรู้สึกเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ

เมื่อจินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นหลิวรุ่ยอิ่งก็คำนับให้ทันที

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้คุกเข่าอยู่ หลิวรุ่ยอิ่งเกือบจะคิดว่าเขาคุกเข่าให้ตนเลยทีเดียว

“ขอบคุณท่านวีรบุรุษ! หากไม่ใช่ท่านที่ออกมาช่วยด้วยความยุติธรรม ไม่รู้วันนี้จะมีจุดจบอย่างไร!”

จินเฉาโหย่วเยวี่ยพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

พร้อมกุมมือของหลิวรุ่ยอิ่งไว้แน่น

เมื่อเงยหน้าขึ้น

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าเขามีน้ำตาคลอเบ้า

ใบหน้ายังมีร่องรอยของน้ำอยู่บ้าง

ทำให้ไม่แน่ใจว่าเป็นน้ำฝนหรือรอยน้ำตา

“ไม่เป็นไร!”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เขาไม่รู้จักจินเฉาโหย่วเยวี่ย

แต่เขาสามารถบอกได้จากน้ำเสียงและการแต่งกายของเขาว่า คนผู้นี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับหอจันทร์กระจ่างแน่นอน และอาจจะเป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง

“ข้าน้อยผู้ดูแลหอจันทร์กระจ่าง จินเฉาโหย่วเยวี่ย!”

หลังจากกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง จินเฉาโหย่วเยวี่ยใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ขอบตาเบาๆ แล้วพูด

“เลื่อมใสมานาน!”

หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือตอบ พร้อมกล่าวทักทายตามมารยาท

ในความเป็นจริง เขาเคยได้ยินชื่อจินเฉาโหย่วเยวี่ยเสียที่ไหน

หากเขาเคยได้ยิน

เขาคงจำไม่ลืมอย่างแน่นอน

เพราะชื่อที่แปลกประหลาดเช่นนี้

เกรงว่าคงไม่มีใครลืมได้ลง

“ขอถามท่านประมุขหอจิน คนผู้นี้กับแม่นางชิงเฉี่ยนมีความสัมพันธ์อย่างไรกันหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“มิกล้า…นอกจากท่านประมุขหอตี๋แห่งหอทรงปัญญาแล้ว ไม่มีใครกล้าเรียกตนว่าประมุขหอหรอก ท่านเรียกข้าว่าผู้ดูแลหอ ก็ถือว่าให้เกียรติข้ามากแล้ว!”

จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวด้วยความถ่อมตนอย่างมาก

“ที่ท่านพูดมาข้าเองก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน…แต่เท่าที่ข้าทราบ ที่นี่ชิงเฉี่ยนเพียงรับใช้แขกดื่มเหล้าเท่านั้น ไม่มีการติดต่อส่วนตัวใดๆ แม้แต่ก้าวออกจากหอจันทร์กระจ่างนี้ก็ไม่เคย ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่านางไปยุ่งเกี่ยวกับศัตรูเช่นนี้จากที่ใด กลับทำให้หอจันทร์กระจ่างเข้าไปเกี่ยวพันด้วย…”

พูดจบ จินเฉาโหย่วเยวี่ยก็ถอนหายใจอย่างหนัก

แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับพบว่ามีสองคำที่น่าสงสัยอย่างมากจากคำพูดของเขา

นั่นคือ ‘ศัตรู’

ทำไมจินเฉาโหย่วเยวี่ยถึงกล้ายืนยันว่าคนผู้นี้มาเพื่อแก้แค้น

อีกอย่างเมื่อดูจากท่าทางของคนลึกลับในห้องส่วนตัวแล้ว แทบไม่เหมือนว่ามีเรื่องขุ่นเคืองกับชิงเฉี่ยนเลย

ตรงกันข้าม ดูเหมือนจะมีความรู้สึก

แต่ความรู้สึกนั้นเป็นแบบไหน และลึกซึ้งเพียงใด คงมีแต่พวกเขาเองที่รู้

“ฉางไต้ซือ คืนนี้ขอบคุณมาก!”

จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยกับฉางอี้ซาน

ไม่เห็นร่องรอยคนลึกลับนั้นอีกเลย

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าท้ายที่สุดสองคนนั้นตกลงกันอย่างไร

แต่สิ่งที่เขาคิดได้แน่ชัดคือ ฉางอี้ซานไม่ต้องการสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงเพราะหอจันทร์กระจ่าง

หอจันทร์กระจ่างไม่ใช่หอทรงปัญญา

ถึงแม้ฉางอี้ซานจะชอบสภาพแวดล้อมและบรรดาหญิงสาวที่หอจันทร์กระจ่าง

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันแทนที่กันได้

หากไม่มีหอจันทร์กระจ่าง ก็อาจจะมีหอสุริยาหรือหอหิรัญดารา

ตัวเขาเองก็เพียงแค่ดื่มสุราทานอาหารของจินเฉาโหย่วเยวี่ยเท่านั้น

ยังห่างไกลเกินไปที่จะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อเขา

“เหตุการณ์คืนนี้เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดและไร้การคุ้มกัน แต่ขอให้วีรบุรุษทุกท่านอยู่ต่อก่อน ค่ำคืนยังยาวไกล พวกเรามาสนุกกันต่อ! ไม่ต้องจ่าย!”

จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวพร้อมประสานมือคาราวะไปทุกทิศ

จากนั้นสั่งให้เด็กรับใช้ในหอจันทร์กระจ่างรีบเก็บกวาดและจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นฉางอี้ซานเดินมือไพล่หลังกลับเข้าไปในหอจันทร์กระจ่าง

จึงตามเขากลับไปด้วย

รอเพียงหอจันทร์กระจ่างเติมสุราและจุดโคมเพื่อเริ่มงานเลี้ยงใหม่

…………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท