บทที่ 197 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-8
แต่สิ่งที่ถูกนำมาจำนำนั้นล้วนเป็นหญิงสาวเช่นชิงเฉี่ยน
ในขณะที่ดื่มสุราและนอนหลับ พวกนางจะถูกซื้อกลับคืนมาชั่วคราว
เมื่อสุราหมด ค่ำคืนผ่านไป
พวกนางก็จะถูกนำกลับไปจำนำอีกครั้ง
ชิงเฉี่ยนไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่าอับอาย
แม้ว่าหลายครั้ง จะไม่ใช่นางที่ตัดสินใจว่าจะถูกใครซื้อกลับคืน และจะต้องถูกจำนำกลับไปเมื่อไร
แต่อย่างน้อยนางก็ไม่เคยทำร้ายใคร
ยอมจำนนเป็นสิ่งของถูกจำนำ แต่นางก็ไม่ยอมสูญเสียศักดิ์ศรีและจิตสำนึกสุดท้ายของนาง
นั่นคือกฎที่ชิงเฉี่ยนยึดมั่นในใจมากที่สุด
“อันที่จริงไม่ได้เศร้าสลดอย่างที่คุณหนูว่าหรอกเจ้าค่ะ เวลาและคนมักจะไม่ตรงกันอยู่แล้ว หากทั้งคู่ตรงกัน บางทีเราอาจจะนั่งดื่มสุราและพูดคุยกันในรูปแบบอื่น”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
“เวลาและคนตรงกันนั้นยากมาก”
หลิวรุ่ยอิ่งกินอาหารไม่กี่คำ พอกลืนลูกชิ้นในปากลงไปก็รีบพูดต่อ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่ได้รู้ลึกซึ้งมากนัก
แต่เคยมีคนที่มีความรู้สึกลึกซึ้งบอกเขาถึงเรื่องที่คล้ายคลึงกัน
………………….
เมื่อครั้งหลิวรุ่ยอิ่งเริ่มฝึกอบรมในกรมสอบสวน ท่าทางของเขาก็แสดงออกถึงความคล่องแคล่วมาก
เขาเคยพูดเล่นกับชายชราเลี้ยงม้าว่า เขาจะไปเป็นขโมย คงจะร่ำรวยเป็นอย่างมาก
แต่ชายชราเลี้ยงม้ากล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า
“ในโลกนี้มีหลายคนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาถนัด ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะสิ่งที่พวกเขาถนัดนั้นไม่ใช่เรื่องดี แล้วอีกครึ่งหนึ่งเจ้ารู้หรือไม่เป็นเพราะอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็คิดไม่ออก
อีกทั้งคำพูดของชายชราเลี้ยงม้ามักจะเป็นการถามเองตอบเอง
คำถามของเขาเหมือนแค่หยุดพักความคิดของตัวเอง
ไม่ได้ตั้งใจจะรอคำตอบจากหลิวรุ่ยอิ่งจริงๆ
“ครึ่งที่เหลือไม่ได้ทำ เพราะขี้เกียจ”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“ขี้เกียจหรือ ข้าไม่เชื่อว่าถ้าเก่งในเรื่องที่ดี ทำแล้วสามารถทำให้ร่ำรวยหรือเลื่อนตำแหน่งได้ จะยังมีคนคร้านที่จะทำ”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดด้วยท่าทีไม่เชื่อ
หลายครั้งเขามักจะแสดงท่าทีเช่นนี้กับชายชราเลี้ยงม้า
แรกๆ ก็เพียงเพราะวัยหนุ่มสาวที่ดื้อรั้น
จึงมักวิพากษ์วิจารณ์คำพูดเหล่านี้เสมอ
แต่หลังๆ
เขาก็พบว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลดี
เพียงแค่เขาตอบโต้ วิจารณ์ ไม่ยอมรับ
ชายชราเลี้ยงม้าก็จะอธิบายเพิ่มเติมให้ละเอียดยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าชายชราเลี้ยงม้าก็รู้ถึงความคิดของหลิวรุ่ยอิ่งดี
ทั้งคู่เข้าใจกันและกันโดยไม่ต้องเอ่ยออกมา
“เพราะว่าถนัดจึงคร้านที่จะทำ”
เขาเอื้อมมือไปแตะที่เอวของตัวเองตามจิตใต้สำนึก
พบว่ากระบอกสูบยาเส้นของเขาหายไป
ทำให้เขาสูญเสียความสนใจไปบ้าง
“เพราะคนที่ถนัดมีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่าคนอื่นมาก จึงคิดว่าทำตอนไหนก็ได้ คิดไปคิดมาก็ช้ากว่าคนอื่นมาก พอล่าช้าไปก็จะรู้สึกอิจฉาและไม่พอใจ แต่ยังคิดว่าตัวเองทำได้ เพียงแค่ทำก็จะสามารถแซงหน้าไปได้ พอคิดเช่นนั้นก็ค่อยๆ ผัดไปวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งความสามารถที่สูงส่งและความถนัดก็ไม่สามารถตามทันได้ จึงยอมแพ้ไปอย่างสิ้นเชิง”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“นั่นหมายความว่า ถ้ามีดอกไม้ที่สามารถเด็ดได้ก็ควรจะเด็ดตอนนี้เลย ไม่ควรรอจนไม่มีดอกไม้แล้วค่อยหยิบกิ่งไม้ที่ว่างเปล่าใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขายังคงแสดงความรู้อันกว้างขวางต่อหน้าชายชราเลี้ยงม้า
เพราะเขามักจะรู้สึกว่าชายชราเลี้ยงม้าไม่ค่อยมีวัฒนธรรม
ดังนั้นทุกครั้งหลังจากที่ชายชราเลี้ยงม้าอธิบายเรื่องที่เป็นความจริงและลึกซึ้งอย่างยิ่ง หลิวรุ่ยอิ่งมักจะแสดงความรู้ที่ซับซ้อนของเขา
หลายครั้งที่เขาอ้างอิงเรื่องราวหรือบทกวีที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์แต่เขาก็ไม่สนใจ
หลังจากที่เขาพูดคำที่ซับซ้อนออกมา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าชายชราเลี้ยงม้ามาก
“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไปขโมยของนะ!”
ชายชราเลี้ยงม้าที่หากระบอกสูบยาเส้นไม่เจอ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
ลุกขึ้นคิดจะเดินหนีไป
“แต่ที่ท่านพูดมานั้นหมายความว่า สิ่งที่เราถนัดควรทำไว้โดยเร็ว ทำโดยเร็วที่สุด”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม
“แม้แต่สหายที่ดีที่สุดก็สามารถเข้าใจผิดกันได้ ดังนั้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มักจะมีหลายด้าน ถ้าคิดไปทางไม่ดีย่อมกลายเป็นขโมย แต่หากคิดไปทางที่ดีล่ะ”
ชายชราเลี้ยงม้าพูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมา
“ไม่ทำในสิ่งที่เราถนัด นั่นก็เหมือนกับการทารุณตัวเอง!”
คำพูดนั้นดังก้องมาจากไกลๆ
…………………
หลิวรุ่ยอิ่งที่คิดหาด้านดีของการเป็นขโมยมาหลายปีก็ยังไม่เจอ
แต่คำพูดของชิงเฉี่ยนที่เพิ่งพูดไปนั้น ทำให้เขาเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว
“จะถูกทั้งหมดได้อย่างไร ตอนที่ข้าอยากดื่มสุรา ข้าก็จะไปดื่ม ไม่ว่าเวลาใดสหายซานปั้นก็ล้วนอยากดื่มสุรา ดังนั้นเขาจึงดื่มตลอดเวลา นี่ไม่ใช่ถูกทั้งเวลาและคนหรอกหรือ”
ทังจงซงตบไหล่ของจิ่วซานปั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางพูดขึ้น
รอบนี้จิ่วซานปั้นไม่ดื่มสุรา
กำลังกินขาแกะที่เผ็ดร้อนอย่างเอร็ดอร่อยจนปากเลอะน้ำมัน
“ข้าค้นพบแล้วว่าอาหารเช่นนี้ช่วยให้ดื่มสุราได้ดีขึ้น!”
จิ่วซานปั้นพูดเสียงคลุมเครือขณะที่เคี้ยวเนื้อในปาก
“ถ้าช่วยให้ดื่มสุราได้ ก็กินและดื่มให้มากๆ!”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวกับจิ่วซานปั้น
เขาไม่เคยเห็นคนกินข้าวเช่นนี้มานานแล้ว
เหมือนกับเขาตอนเด็กๆ อย่างยิ่ง
ช่วงนั้นจะได้กินเนื้อเป็นเรื่องยาก
มักจะฝันอยากกินขาแกะ
แต่เมื่อได้มาจริงๆ กลับมองไปทางโน้นทางนี้ ไม่กล้ากิน
และเมื่อได้กัดคำแรกก็รู้สึกเหมือนกับจิ่วซานปั้นในตอนนี้
อยากจะเคี้ยวกระดูกนั้นให้ละเอียดแล้วกลืนมันลงไป
แต่ต่างกันที่จิ่วซานปั้นเพียงแค่กินอย่างตะกละตะกลาม
ในขณะที่จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอาหินมาทุบขาแกะจนกระดูกแตกแล้วเคี้ยวมันอย่างแรง
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอียงศีรษะเล็กน้อย
ไม่รู้ทำไม
ยิ่งผ่านประสบการณ์มากเท่าไร กลับทำให้เขาน้ำตาไหลมากขึ้น
เมื่อก่อนตอนที่ยังหากินพเนจรไปทั่ว ใจคิดว่าแม้หัวขาดก็แค่แผลใหญ่เท่าชาม
ไม่เคยกลัวอะไรเลย
แต่ตอนนี้
เมื่อประสบความสำเร็จและได้รับชื่อเสียงแล้ว
กลับเป็นคนที่นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้ง่ายมาก
เมื่อก่อนเขาชอบฟังละครมาก
ไม่ใช่เพราะชื่นชอบคำร้อง
แต่เพียงรู้สึกว่าพวกนักแสดงที่ทาหน้าด้วยสีสันสดใส กระโดดโลดเต้นไปมาบนเวทีนั้นน่าสนุกนัก
ทว่าเขาไม่ได้ฟังละครมาหลายปีแล้ว
ในหอจันทร์กระจ่างก็เคยมีเวทีละครเล็กๆ
ทว่าหลังจากที่ถูกทิ้งร้างไปนาน ก็ถูกคนถอดถอนออกไป
แม้ว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยที่อยู่ชั้นห้าจะไม่ได้ยินเสียงร้องเพลงของนักแสดงชั้นล่าง
แต่เพียงคิดถึงคนที่กำลังแสดงเรื่องราวในยุทธภพบนพื้นที่เล็กๆ เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวของความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของเกียรติยศได้
ก็ทำให้ใจเขารู้สึกไม่ดีแล้ว
“ครั้งที่แล้วที่ท่านร้องเพลงให้ข้าฟัง มันยังไม่จบเลยนะ!”
เจ้าหมิงหมิงพูดกับหลิวรุ่ยอิ่ง
“คุณชายร้องเพลงได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
ชิงเฉี่ยนถามด้วยความประหลาดใจ
“เอ่อ…พอรู้บ้างเล็กน้อย แต่แค่ร้องเล่นๆ ไม่ดีพอที่จะขึ้นเวที…”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพร้อมโบกมืออย่างเขินอาย
“คุณชายร้องเพลงอะไรหรือเจ้าคะ”
ชิงเฉี่ยนถามต่อ
“สุราบงกช”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ท่อนไหนหรือเจ้าคะ”
ชิงเฉี่ยนสนใจเรื่องนี้อย่างยิ่ง
“ท่อนที่เกี่ยวกับเศรษฐีเจียง”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ที่จริงแล้วสุราบงกชยังมีเรื่องนอกอีกท่อนด้วยเจ้าค่ะ”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
“เรื่องนอกหรือ หมายถึงอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ
“ที่พวกเราได้ยินมาก็คือเนื้อเรื่องหลักของละคร นับเป็นเรื่องใน ส่วนเรื่องนอกคือเรื่องราวเสริมที่อิงจากตัวละครหรือท่อนร้องในละครเจ้าค่ะ”
ชิงเฉี่ยนอธิบาย
“เรื่องนอกท่อนนี้เรียกว่าอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“หลายแผ่นดิน แม้สิ้นใจก็มิลืมเจ้าค่ะ”
ชิงเฉี่ยนตอบ
“หลายแผ่นดิน แม้สิ้นใจก็มิลืม? ชื่อดี! แม่นางร้องให้ฟังได้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เพียงแค่ท่อนเดียว ท่านก็จะรู้ได้ทันทีว่าเรื่องนอกมีเสน่ห์อย่างไร”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
แล้วนางก็กระแอมเบาๆ
“ในฝันอธิราชกำลังเพลิดเพลิน
กลับไม่คิดว่า
ศัตรูซุ่มโจมตีสารทิศ
ยากขจัดความโศกานอกกระโจม
มองขึ้นไปเห็นเพียงแสงจันทร์กระจ่าง
ทิวทัศน์สารทฤดู ห่านหงส์คร่ำครวญ
ร่วมทางมาแรมปี วันนี้จะทนร่ำลาได้อย่างไร
ที่แห่งนี้เป็นปราการธรรมชาติ
ศัตรูน่าเกรงขามคงยากข้ามผ่านกระมัง
หากได้พักรบสามวัน
หนทางอาจพลิกผัน
อธิราชอำนาจท่วมท้น มีชัยเหนือทุกผู้
เหตุใดวันนี้ถึงลังเลมิกล้าลงมือ
อาจเพราะเผชิญศึกรบเหนื่อยล้าทุกวัน
ถึงกระนั้น เสือขาว[1]ยังคงส่องสว่าง
ไม่ควรศึกษาแผ่นหยกสิบสามแถว[2]อีกต่อไป
……”
ชิงเฉี่ยนร้องมาถึงท่อนนี้ กลับถูกจินเฉาโหย่วเยวี่ยโบกมือห้ามอย่างต่อเนื่อง
หลิวรุ่ยอิ่งเงยหน้าขึ้นมอง
และพบว่าตาของเขาแดงก่ำ
ราวกับน้ำตากำลังจะไหลออกมา
“ต่อจากนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว”
ชิงเฉี่ยนหยุดร้องเพลงและกล่าว
“สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งรีบถามด้วยความกระวนกระวาย
เจ้าหมิงหมิงก็ขมวดคิ้ว อยากรู้ผลลัพธ์เช่นกัน
“ก็ไม่มีอะไรมากเจ้าค่ะ แค่เรื่องของสนมตัวจริงที่หลงติดตามอธิราชจอมปลอม”
ชิงเฉี่ยนยกชามสุราหยกของหลิวรุ่ยอิ่งขึ้นมาจิบเบาๆ และกล่าว
……………………………………………………………….
[1] เสือขาว หนึ่งในสี่สัตว์เทพของจีน เป็นตัวแทนของหมู่ดาวทางทิศตะวันตก และเป็นจุดเริ่มต้นของการพยากรณ์ โหราศาสตร์ และดาราศาสตร์ รวมถึงฤดูกาลและสีสันทั้งสี่ เสือขาวถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งศึกสงครามและการล่า
[2] แผ่นหยกสิบสามแถว ผลงานของหวังเซี่ยนจือ นักกวีที่ขึ้นชื่อด้านการเขียนอักษร