บทที่ 198 ผู้ใดจะร่ำสุราระบำกับข้า-1
ในที่สุดชั้นห้าของหอจันทร์กระจ่างก็เงียบสงบลง
ท้องฟ้านอกหน้าต่างมีแสงสลัวบางๆ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยยังคงนั่งอยู่ริมโต๊ะ
เล่นจอกสุราเปล่าในมือ
เขารินสุราลงจอก แล้วสาดลงใต้โต๊ะทันที
สุราไหลซึมผ่านช่องว่างระหว่างผงไข่มุกผสมเข้ากับคราบเลือดชั้นล่าง
คราบเลือดที่เดิมทีเกือบจะแห้ง เมื่อผสมกับสุราจอกนี้ก็เริ่มไหลออกมาเล็กน้อย
จินเฉาโหย่วเยวี่ยวางจอกสุราเปล่าไว้ใต้จมูกพลางดมกลิ่นอย่างระวัง
ราวกับสูดดมกลิ่นหอมสุรานี้แล้วจะทำให้เขาเมามาย
ใช้เวลาสูดดมประมาณหนึ่งถ้วยชา
กลิ่นสุราสลายไปมากแล้ว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยวางจอกสุราอย่างไม่ใส่ใจ
เขาเหลือบมองนอกหน้าต่าง
ฟ้าสางขึ้นอีกหลายส่วน
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่ชอบกลางวันสักนิด
หากกล่าวว่าเขาไม่ชอบสิ่งใดที่ส่องสว่าง
นอกจากจันทร์กระจ่างแล้ว แม้แต่แสงไฟก็ไม่โปรดปราน
ตามหลักแล้ว เวลานี้เขาควรสั่งคนให้มาทำความสะอาดโต๊ะ
จากนั้นลุกขึ้นเดินไปปิดหน้าต่างด้านหน้าให้สนิท
หน้าต่างชั้นห้าของหอจันทร์กระจ่างสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ
ภายในหน้าต่างยังมีม่านทึบแสงหนาหนึ่งชั้น
เพียงรูดลง ทั้งห้องจะมืดสนิทไร้แสงตะวัน เอื้อมมือไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
แต่จินเฉาโหย่วเยวี่ยกลับไม่ได้ทำเช่นนี้
เขาเรียกคนรับใช้มาจริงๆ ทว่าไม่ใช่เก็บกวาดโต๊ะ แต่ให้พวกเขายกอาหารขึ้นอีกโต๊ะ
แม้ว่าเหล่าคนรับใช้จะงุนงงและไม่เข้าใจ แต่ก็ยังตอบรับและทำตามอยู่ดี
มีผู้ใดจะจัดโต๊ะในยามรุ่งอรุณด้วยหรือ
โต๊ะงานเลี้ยงเพิ่งจบไปไม่นานแล้วยังมีผู้ใดสั่งอีกครั้งกันเล่า
มีเพียงจินเฉาโหย่วเยวี่ย และมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้
หลังจากสั่งกำชับ เขาก็ไม่ได้ปิดหน้าต่างหรือรูดม่านลง
เอาแต่จ้องมองผงไข่มุกที่กระจายอยู่บนพื้นนิ่งๆ
เขากอบขึ้นมากำมือหนึ่ง โรยบนลูกคิดของตน
ผงไข่มุกร่วงลงบนลูกคิดที่ทำมาจากหยกจนดังซ่าๆ
ช่างดูคล้ายหยาดฝนตกลงบนลูกคิดก่อนหน้านี้ยิ่งนัก
แต่เสียงไม่คล้ายคลึงแม้แต่น้อย
เพราะหยาดฝนบอบบาง ผงไข่มุกแข็งแกร่ง
สิ่งที่บอบบาง ไม่ว่าจะแกะแคะเช่นไรก็ยังบอบบาง
ต่อให้ควบแน่นน้ำจนกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่นานนักก็จะละลาย
แต่ไข่มุกต่อให้บดเป็นผงก็ยังแข็งแกร่ง
มนุษย์ก็เช่นกัน
ซ่อนตัวจนเคยชินแล้ว ย่อมอ่อนข้อตามความสบายใจเช่นนี้
ไม่คิดอีกต่อไปว่าวันหนึ่งจะเผชิญความทุกข์เหล่านั้นอย่างกล้าหาญ
คิดเพียงผ่านไปหนึ่งวัน นับเป็นหนึ่งวัน
ซ่อนตัวหนึ่งวัน นับเป็นหนึ่งวัน
ฉะนั้นไข่มุกจึงกลายเป็นหยาดฝนได้
เพียงแต่เกรงว่าหยาดฝนจะกลายเป็นไข่มุกได้ยากยิ่ง
หลังจากจินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นโต๊ะถูกจัดอีกครั้งก็พยักหน้า
เขากล่าวกับคนรับใช้ว่าวันนี้หอจันทร์กระจ่างไม่เปิดทำการ พร้อมให้พวกเขาหยุดงานด้วย
เขาหยิบกล่องไม้เล็กๆ ออกมาจากตู้
มันเป็นกล่องไม้เล็กๆ ก่อนหน้านี้ที่บรรจุตั๋วเงินไว้ และยื่นมันให้กับคนรับใช้พร้อมกล่าวว่าเป็นเงินสำหรับวันหยุด
เหล่าคนรับใช้ร้องตะโกนดังลั่น กระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นท่าทางมีความสุขของพวกเขา ตนก็หัวเราะตามไปด้วย
ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าการมีเงินเป็นเรื่องดีเสียจริง
แม้ไม่อาจทำให้ตนมีความสุข แต่ก็สามารถใช้เงินทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้
หากคนรอบข้างสามารถมีความสุขได้ทุกวันละก็ เช่นนั้นตนจะถูกรายล้อมไปด้วยความสุขเช่นกันไม่ใช่หรือ
แต่เขาคิดหลักการนี้ได้สายเกินไป
เงินสามารถซื้อไข่มุกได้ แต่เงินไม่อาจซื้อหยาดฝนได้
ฟ้ายามฝนตก ผู้ใดก็หลบไม่พ้น
ไม่มีร่มก็ทำได้เพียงหาที่หลบใต้ชายคาเรือน
หากผู้คนยืนอยู่ใต้ชายคาเรือนจนเต็มแล้ว เช่นนั้นทำได้เพียงเปียกปอนอยู่กลางถนน
ครั้นจินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นเหล่าคนรับใช้วิ่งหายวับไปแล้ว จึงกลับไปนั่งลงที่เดิม
เขายกตะเกียบคีบอาหาร
ทุกสิ่งที่กินล้วนเป็นผักผลไม้ ไม่ได้แตะอาหารคาวแม้แต่น้อย
ในจอกสุรารินสุราไว้เต็มจอก ทว่าไม่ได้ดื่มสักอึก
กินอาหารเพียงไม่กี่คำ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยวางจอกสุราไว้ปลายจมูกแล้วแกว่งเบาๆ
ดมกลิ่นสุราหอมพลางกินอาหาร ดูเหมือนจะเพลิดเพลินอย่างยิ่ง
เพียงแต่กลิ่นสุรานี้ ดมกลิ่นหลายครั้งก็จะจางไป
เขาเทมันทิ้งแล้วรินเพิ่มอีกจอก
ไม่รู้ว่าจงใจหรือเพียงบังเอิญ
ทุกจอกสุราที่จินเฉาโหย่วเยวี่ยเททิ้งล้วนตรงตำแหน่งเดียวกัน
ต่างสาดลงไปบนคราบเลือดวงกว้าง
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใด
แม้แต่ผงไข่มุกที่อยู่ด้านบนก็ยังเป็นสีแดงเล็กน้อย
คล้ายกับสีแดงฝาดบนใบหน้าสตรี
แดงเปล่งปลั่งราวกับดอกไม้วัยแรกแย้มเบ่งบาน
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกินกุยช่ายไปทั้งจาน
ในเวลานี้รู้สึกคลื่นเหียนเล็กน้อย…
เขาไม่ใช่คนที่โปรดปรานกุยช่าย
เพียงแต่กุยช่ายจานนี้วางไว้ในตำแหน่งที่เขาเอื้อมไปคีบถึงพอดี
ฉะนั้นตะเกียบจึงคีบกุยช่ายกินทุกครั้ง
จะเห็นได้ว่าจิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หากคนผู้หนึ่งสามารถเหม่อลอยได้แม้กระทั่งตอนกินอาหาร ก็สามารถเดาได้ว่าเขามีเรื่องสำคัญเพียงใดสะสมอยู่ในใจ
เพราะการกินเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกจริงๆ
กินให้ดี กล่าววาจาให้ดี
ทำสองสิ่งนี้ได้แล้ว รับประกันว่าใช้ชีวิตได้ไม่แย่นัก
กินไม่อิ่ม ย่อมไม่มีแรงกล่าววาจา
วาจาที่กล่าวมา ย่อมมีคำพูดดีๆ เพียงไม่กี่ประโยค
มนุษย์จะบ่นน้อยลงก็ต่อเมื่อมีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอเท่านั้น
หากกินอิ่มเพียงครึ่งท้อง เช่นนั้นอีกครึ่งท้องจะไม่เต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นหรอกหรือ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมักจะรู้สึกเสมอว่าคำว่า ‘ไม่พอใจเต็มท้อง’ จะใช้กับผู้ที่ไม่มีอาหารกินหรือผู้ที่กินไม่อิ่มเหล่านั้น
แม้จะดูแคลนเล็กน้อย แต่เขาก็คิดเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเขามีสิทธิ์กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วย
เพราะเมื่อเขาเป็นเด็กและวัยหนุ่ม ทั้งสองช่วงเวลาสำคัญนี้กลับไม่เคยกินอิ่มสักมื้อเดียว
เขาในตอนนั้นโกรธแค้นยิ่งนัก
อารมณ์เสียมากและกล่าววาจาหยาบคายอย่างยิ่ง ตอนนี้ครั้นคิดย้อนกลับไปก็อดตัวสั่นไม่ได้
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่เข้าใจเหตุใดตนในช่วงเยาว์วัยจึงมีคำพูดแสดงความโกรธแค้นมากมายเพียงนี้
ไปเรียนรู้มาจากแห่งหนใดกัน ไม่มีผู้ใดเคยสั่งสอนตนเสียหน่อย
หากมีคนสั่งสอนตนละก็ เขาก็ไม่ขาดอาหารหรือกินไม่อิ่ม
ในตอนนั้นไม่มีเวลาครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ด้วยซ้ำ เพราะทุกวันเอาแต่กังวลเรื่องมื้อต่อไป
ตอนนี้สามารถกินอิ่มท้องแล้ว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองย้อนกลับและคิดดูแล้ว รู้สึกว่าตนเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแต่เขาที่เรียนรู้ด้วยตนเองเท่านั้น เกรงว่าผู้ที่เคยหิวโซทุกคนล้วนเรียนรู้ด้วยตนเองเช่นนี้
ก่นด่าเทพเจ้า
หลังประตูจวนขุนนางสุราเนื้อเหลือจนกองเน่า ข้างถนนกลับเต็มไปด้วยกองกระดูกขาว
ตำหนิฟ้าดิน
ไร้ฝนแล้งลม กล้าข้าวเหลืองล้มตาย
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองดูจานกุยช่ายที่ตนกินจนเกลี้ยงพลันรู้สึกเย็นเยียบเล็กน้อย
ในอดีตได้กินหมั่นโถวเพียงครึ่งก็มีความสุขไปหลายวัน
ตอนนี้กลับไม่ได้กินมานานมากแล้ว แม้กระทั่งข้าวชามเล็กก็ตาม
เนื่องจากกินผักมากไป ท้องจึงเต็มไปด้วยน้ำมันและน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องกินมื้อหลักจืดชืดมากมายเพื่อบรรเทาความหิว
แต่เมื่อครู่นี้จินเฉาโหย่วเยวี่ยตักข้าวใส่ชามให้ตนเอง
ราดน้ำบางส่วนที่เหลืออยู่ใต้จานกุยช่ายลงในข้าว ใช้ช้อนคนให้เข้ากัน ตักเต็มช้อนแล้วส่งเข้าปาก
ความนุ่มของข้าวและกลิ่นหอมของน้ำกุยช่ายผัดที่ผสมผสานกันจนเกิดความอร่อยที่แสนวิเศษ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยยกก้นชามกินข้าวจนหมดเกลี้ยง
มองดูเม็ดข้าวไม่กี่เม็ดติดอยู่บนชาม เขาเอาหน้าแนบปากชามแลบลิ้นเลียกินโดยไม่รู้ตัว
ฟ้านอกหน้าต่างสว่างจ้า แต่โดยรอบยังคงเงียบกริบ
ผู้คนที่อยู่ใกล้หอจันทร์กระจ่างล้วนนอนดึกและตื่นสาย
ที่นี่เงียบเหงาผิดปกติตลอดทั้งวัน
มีเพียงช่วงค่ำ ยามที่โคมงดงามถูกจุดขึ้นจึงจะคึกคักมีชีวิตชีวา
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง
เพียงเหลือบมองสีหน้าเขาก็ดูเคร่งขรึมอย่างอดไม่ได้
แม้เขาจะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเร็วเพียงนี้
แม้เขาจะกำชับคนรับใช้ให้เตรียมงานเลี้ยงไว้แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ใช้วันนี้
นี่เป็นว่าวที่แสนจะธรรมดายิ่ง
ธรรมดาเสียจนไม่ต่างจากว่าวกระดาษสาที่เด็กๆ เล่นยามเดือนสอง
ทว่าแม้จะเป็นสิ่งของธรรมดา เมื่อปรากฏในสถานที่ที่ไม่ธรรมดาและเวลาที่ไม่ธรรมดา มันจะกลายเป็นสิ่งที่ซับซ้อนขึ้นมา
ในหอทรงปัญญามีคนไม่มากนักที่เล่นว่าวเป็น
ผู้ที่ชื่นชอบการเล่นว่าว ยามที่ออกไปเที่ยวเล่นล้วนเลือกนำว่าวกระดาษติดตัวไปด้วย ชายวิ่งหญิงไล่ตามเล่นกันสนุกสนานนัก
รอบๆ หอจันทร์กระจ่างในยามนี้ไม่ควรจะมีคนด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็นแขกเจ้าสำราญหรือสตรีนางโลม สามีภรรยาชั่วข้ามคืนในยามนี้ก็ยังไม่เสร็จสิ้น
คงไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะออกจากดินแดนแสนละมุน นุ่มนวลและหอมหวานนี้
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงออกมาเล่นว่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นว่าวตัวนี้ ขณะเดียวกันก็เหยียดนิ้วก้อยออกไปแคะหู
แม้ว่าหูของเขาจะดียิ่ง ห่างไกลกว่าสิบจั้งยังได้ยินเสียงกระดาษร่วงสู่พื้น
แต่เขาก็ยังอยากจะทำความสะอาดมันเสียหน่อย
แม้จะไม่มีประโยชน์ก็ตาม อย่างน้อยก็ช่วยปลอบใจเขาได้บ้าง
หลังจากแคะหูสองข้างเสร็จแล้วก็ดีดนิ้ว
เสียงหวีดหวิวดังเข้ามาในหูเป็นระยะๆ
ตามองว่าวข้างหน้า
เสียงหวีดหวิวดังเข้าหู
ยังมีรุ่งอรุณที่แปลกยิ่งกว่านี้อีกหรือไม่
นับตั้งแต่สร้างหอจันทร์กระจ่างมาจนถึงตอนนี้นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นยามรุ่งอรุณเช่นนี้
จินเฉาโหย่วเยวี่ยแย้มยิ้ม
โยนจอกสุราในมือออกไปนอกหน้าต่าง
พลันหลับตาพริ้ม
รอเสียงมันร่วงหล่นสู่พื้นแตกอย่างเงียบๆ
ทว่ารออยู่นานทีเดียว ก็ยังไม่ได้ยิน
………………………………………………..