บทที่ 200 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-1
เนื่องจากเกาลัดคั่วน้ำตาลร้อนใจและมีนิสัยรีบร้อน จึงเดินนำหน้าทั้งสองคนไปไกลลิบ
หลิวรุ่ยอิ่งและเจ้าหมิงหมิงเดินตามหลังไปอย่างเชื่องช้า
ทุกครั้งเกาลัดคั่วน้ำตาลรีบวิ่งแล้วหยุดชะงักก็จะหันกลับมามองคนทั้งสอง
ฉากนี้ทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งอดหัวเราะไม่ได้
“มีอะไรหรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอียงศีรษะพลางเอ่ยถาม
“เปล่า เพียงแค่รู้สึกว่านางนิสัยใจคอเช่นนี้กลับดียิ่งนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ดียิ่งที่ท่านกล่าวถึง ไม่ได้ว่านางโง่เขลาหรอกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ไม่ๆ…ไม่ใช่โง่เขลา เพียงแต่รู้สึกว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลช่างไร้เดียงสาก็เท่านั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งรีบโบกมือพัลวันพลางอธิบายอย่างรีบร้อน
แท้จริงแล้วสิ่งที่ใจเขาคิดก็คือโง่เขลา
ในโลกนี้ แม้ว่าการคำนวณที่ซับซ้อนอาจไม่ได้นำไปสู่ความฉลาดเสมอไป ทว่าไร้เดียงสาย่อมต้องโง่เขลาแน่นอน
“นางไม่ได้ไร้เดียงสา เพียงแต่ไม่ห่วงเรื่องเหล่านี้มากนัก”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เช่นนั้นนางห่วงสิ่งใดเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ท่านก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ นางห่วงถุงเงินนั่นอย่างไรเล่า”
“เทียบกับถุงเงินแล้ว เกรงว่าจะห่วงใยคุณหนูเช่นท่านยิ่งกว่ากระมัง!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
คิดไม่ถึงว่า ครั้นเจ้าหมิงหมิงฟังจบกลับส่ายศีรษะ
“ห่วงใยคำนี้ข้าไม่รู้ว่าความหมายแท้จริงของมันคือสิ่งใด หากคำนึงอีกฝ่ายตลอดเวลา เราสองก็คงไม่ต่างกันเท่าใด แต่หากกล่าวว่าผู้ใดห่วงยิ่งกว่า ทุ่มเทยิ่งกว่า คิดรอบคอบยิ่งกว่า เช่นนั้นข้าก็ย่อมห่วงใยยิ่งกว่านางมาก”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งตะลึงกับคำกล่าวเหล่านี้เล็กน้อย
เขาไม่เคยคิดถึงความหมายของคำว่า ‘ห่วงใย’ มาก่อน
มักจะได้ยินผู้อื่นกล่าวว่า ‘ข้าห่วงใยเจ้า’ เปรียบเสมือนยาดีที่บอกว่าทุกสิ่งเป็นไปด้วยดี ราบรื่นดั่งใจหวัง
แม้ต้องทนทุกข์คับข้องใจมากมาย แต่ถูกคำพูดแสนอบอุ่นนี้ขจัดออกไปได้ในพริบตา
แต่สิ่งที่เจ้าหมิงหมิงกล่าวเมื่อครู่ คำว่า ‘ห่วงใย’ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ธรรมดา
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยสัมผัสถึงความห่วงใยจากผู้ใดเลย
เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำเช่นไรจึงจะนับว่าเป็นการห่วงใยผู้อื่น
ทว่าเมื่อคืนที่คนลึกลับนั่นก่อความวุ่นวายใหญ่โตถึงห้องส่วนตัว เขายืนขึ้นขวางด้านหน้าเจ้าหมิงหมิง นี่ก็คือการห่วงใย
จิ่วซานปั้นเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อบาดเจ็บ ตระหนกลนลานจนใช้ปากปิดบาดแผลของนางให้ นี่ก็คือการห่วงใย
ครั้นคิดถึงสิ่งนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกสุขใจขึ้นมาเล็กน้อย
ห่วงใยหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวาจาไพเราะมากน้อยเพียงใด
ต่อให้กล่าวถึงดวงดาราและดวงจันทร์ทั้งหมดบนฟากฟ้า มนุษย์ก็ยังต้องกินครบสามมื้อต่อวัน
แทนที่จะกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกห้าหรือสิบปีต่อจากนี้ สู้ละทิ้งสิ่งที่เรียกว่า ‘มองการณ์ไกล’ ไว้ชั่วคราว
ใส่ใจสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันใกล้ตัว
มื้อต่อไปจะกินสิ่งใด
พรุ่งนี้ตื่นแต่ย่ำรุ่งหรือนอนยาวจรดเที่ยงได้
เรื่องเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไร้ท่วงทำนองให้กล่าวถึง แต่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญเหล่านี้กลับสะสมเข้ามาในชีวิตทีละนิดทีละน้อย
ชีวิตของทุกคนมารวมกันเพื่อสร้างโลกที่มีอยู่จวบจนปัจจุบันนี้
หลิวรุ่ยอิ่งก็มีเป้าหมายและอุดมคติยาวไกลเช่นกัน
แต่เขาก็ยังไม่ใช่คนที่มักใหญ่ใฝ่สูงคนหนึ่งจริงๆ
ทว่าหากกล่าวว่าเขาเอาใจใส่อย่างรอบคอบเพียงใด เกรงว่าคงจะยาก
ผู้คนส่วนใหญ่ก็เช่นเดียวกับเขา แขวนอยู่ระหว่างสูงไม่ถึงต่ำไม่ยอม[1]
ในด้านความรู้สึกของตนนั้นจะสูญเสียไปในท้ายที่สุด กลายเป็นคนไร้ระเบียบในหลายร้อยล้านคน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ต้องการเช่นนั้น
เขาต้องอยู่เหนือทุกสิ่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะมองหาทิศทางนั้นได้ที่ใด
“ท่านอ่านตำรามามากกระมัง!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตนครุ่นคิดปัญหานี้จนปล่อยเจ้าหมิงหมิงเก้ออยู่นานทีเดียว
ทำได้เพียงตอบรับคำฉับพลันเช่นนี้ ไม่อยากให้บรรยากาศน่าเบื่อจนเกินไป
“อ่านตำราหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ต้องทำหรอกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งลูบศีรษะด้วยความเก้อกระดากเล็กน้อย
เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องทำ แต่เขากลับทำไม่ได้สักนิด
“เดินทางครบหมื่นลี้ยังเร็วไปนัก เรามาดูเส้นทางข้างหน้ากันดีกว่า”
เจ้าหมิงหมิงชี้ใต้เท้าแล้วเอ่ย
“เส้นทางข้างหน้า? ทางข้างหน้าเป็นอย่างไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจความหมายนี้
เขามองใต้ฝ่าเท้า พลางเงยหน้ามองด้านหน้า
เห็นเกาลัดคั่วน้ำตาลยังคงเดินไปกระโดดโหยงเหยงไปอยู่ด้านหน้า
เพียงแต่ฉากนี้ช่างดูคุ้นเคย ราวกับว่าเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
“เมื่อคืนใช้เวลาจากโรงเตี๊ยมไปยังหอจันทร์กระจ่างนานเท่าใด ท่านจำได้หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายศีรษะ
เขาจำไม่ได้แล้วจริงๆ
แต่เดิมเขาก็เป็นคนจำเส้นทางไม่ค่อยได้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อคืนยังดื่มสุราไปไม่น้อยอีกต่างหาก
เมื่อคนได้ดื่มสุรา ดูเหมือนเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป
สิ่งที่รู้สึกว่ารวดเร็ว แท้จริงกลับใช้เวลานานนัก
สิ่งที่รู้สึกว่าเนิ่นนาน มักจะผ่านไปชั่วพริบตา
ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่อาจตอบได้
“เฮ้อ…มิน่าล่ะ ท่านจึงไม่รู้ตัว”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางถอนหายใจ
การถอนหายใจนี้ ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่สบายใจแปลกๆ
ไม่มีผู้ใดชอบที่ตนเองถูกตัดสิน
โดยเฉพาะถูกตัดสินจากคนที่ตนห่วงใย
ทว่าความไม่สบายใจนี้ ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งพิจารณาตนเองอย่างจริงจังยิ่งขึ้น
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการพบหน้ากันครั้งที่สามก็ตาม
ไม่อาจกล่าวว่าชอบ ยิ่งไม่อาจกล่าวว่ารัก แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเขาห่วงใยเจ้าหมิงหมิงเล็กน้อย
“ใช้เวลาเดินทางจากโรงเตี๊ยมไปยังหอจันทร์กระจ่างเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น แต่ตอนนี้ใช้เวลาเดินไปกว่าหนึ่งก้านธูปแล้วก็ยังไม่ถึงหอจันทร์กระจ่างเสียที”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
นางรู้สึกว่าวันนี้หลิวรุ่ยอิ่งผิดแปลกไปเล็กน้อย
เดี๋ยวตะลึงงัน เดี๋ยวหัวเราะ
คิดว่าเมื่อคืนคงไม่ได้นอนทั้งคืน ฤทธิ์สุรายังกำจัดออกไปไม่หมด
ร่างกายมนุษย์ไม่อาจเทียบกับตนได้ดังคาด
เจ้าหมิงหมิงอดรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องเล็กน้อยไม่ได้
แต่อารมณ์นี้แผ่ไปถึงใบหน้า เพียงแค่อมยิ้มเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น!”
ถูกเจ้าหมิงหมิงเตือนสติ ความคิดหลิวรุ่ยอิ่งก็ยังคลุมเครืออยู่บ้าง
เขาจำได้ว่าจากหอจันทร์กระจ่าง เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไปก็จะถึงโรงเตี๊ยม
เช่นนั้นเมื่อออกจากโรงเตี๊ยม หากไม่เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปจะกลับไปหอจันทร์กระจ่างได้หรือ
ช่วงระหว่างนั้นไม่มีทางแยก ไม่มีทางพลาดทางแยกแน่
นั่นก็อธิบายได้ว่าเกรงว่าพวกเขาทั้งสามจะติดอยู่ท่ามกลางค่ายกลบางอย่างเสียแล้ว
เฉกเช่นนักท่องราตรีที่เผชิญกับผีอำในป่าเขา
ทั้งๆ ที่เร่งเดินทางไม่หยุดหย่อน แต่มักจะเดินวนรอบๆ เป็นวงกลม
แต่ตอนนี้ท้องนภาแจ่มใส แล้วค่ายกลจะมาจากที่ใดกันเล่า
ค่ายกลทางตรง
เดิมก็ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง
มีเพียงการจัดขบวนทหารสู้รบระหว่างสองทัพเท่านั้น ทั้งยังฝืนขึ้นสังเวียนอีกต่างหาก
ค่ายกลกับดักที่เหลือ เขาวงกตเอย หรือแม้แต่ชื่ออันน่าสะพรึงของค่ายกลสังหารเป็นเพียงสวะไร้ความสามารถหมกมุ่นอยู่กับการเล่นกลไร้สาระเท่านั้น
กลลวงเล็กน้อย
ไม่ควรค่าแก่การสนใจ
พวกหลิวรุ่ยอิ่งทั้งสามคนเดินทางนานพอสมควร ไม่ได้รับอันตรายใดๆ ตลอดทาง เพียงรู้สึกราวกับยืนนิ่งอยู่กับที่
คิดว่ามันคงเป็นเพียงกับดักเล็กๆ
แต่จะคลายกับดักนี้เช่นไรนั้น ก็ยังเป็นปัญหา
………………
ภายในหอจันทร์กระจ่าง
ชั้นที่ห้า
ชายเป่าขลุยยังคงเป่าขลุ่ย
แต่เสียงขลุ่ยของเขาดูเหมือนจะผันผวนตามการเคลื่อนไหวของสตรีเล่นว่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ
แต่เมื่อพลังพุ่งพรวดขึ้นมาแล้ว ไม่อาจใช้ได้นานเกินไป
หากสตรีเล่นว่าวกางแขนกว้างโจมตีเขา
เช่นนั้นเขายังสามารถคว้าโอกาสในช่องโหว่ของทุกกระบวนท่าทำให้อินหยางในร่างกายฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง
ทว่านางเพียงเล่นกลอันชาญฉลาดระหว่างมือทั้งคู่เท่านั้น
ทำให้การปัดป้องของจินเฉาโหย่วเยวี่ยนิ่งเฉยผิดปกติ
เมื่อเห็นว่าใช้พลังงานจนหมดแล้ว
เขาก็ยังไม่กล้าหายใจ
เพราะเมื่อใดที่เขาผ่อนคลายมันลงเล็กน้อย เสียงขลุ่ยดุจเสียงปีศาจก็จะทะลวงอวัยวะภายในของเขา
รบกวนจนเขาไม่อาจสงบนิ่ง
แต่การสนับสนุนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำให้หนทางภายใต้เงื้อมมือเขาช้าลงไปมากทีเดียว
ไม่ทันระวังตัว
ข้อมือซ้ายและง่ามนิ้วมือขวาถูกเชือกสายว่าวบาดจนมีแผลเล็กๆ ประปราย
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงทำได้เพียงทุ่มสุดตัว
เสี่ยงชีวิตวางพลังที่เหลือไม่มากไว้รอบนิ้วชี้ของมือทั้งสองข้าง ต่อด้วยออกแรงทั้งสองนิ้วยืดสายว่าวของสตรีเล่นว่าวให้ตรง
สายว่าวยาวยิ่งนัก
สายว่าวที่ปล่อยว่าวลอยขึ้นฟ้าได้ย่อมไม่สั้นอย่างแน่นอน
สายว่าวแกร่งเหนียวมากเช่นกัน
มันสร้างจากพลังปราณของสตรีเล่นว่าวจึงเหมือนเหล็กเส้นที่ไม่อาจตัดขาด
เช่นเดียวกับกระแสน้ำหลั่งไหลต่อเนื่อง ซัดสาดเข้ามาหาเขาทีละระลอก
จินเฉาโหย่วเยวี่ยจำต้องเสี่ยงเช่นนี้
พันสายว่าวในมือของสตรีเล่นว่าวบนนิ้วชี้ทั้งสองมือของตนเองรอบแล้วรอบเล่า
จนในที่สุดสายว่าวก็ถึงจุดสิ้นสุด
บนนิ้วมือทั้งสองข้างของจินเฉาโหย่วเยวี่ยพันรอบด้วยขดสายว่าวอย่างแน่นหนา
และตัวเขาเองก็อยู่ห่างจากสตรีเล่นว่าวเพียงหนึ่งฉื่อเท่านั้น
จนกระทั่งปลายจมูกของเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายของสตรีเล่นว่าว
ขณะที่จมูกจินเฉาโหย่วเยวี่ยกระตุกเล็กน้อย สตรีเล่นว่าวพลันหยุดลงครู่หนึ่ง
แม้ว่าการหยุดชะงักคราวนี้จะสั้นยิ่ง
แต่มันก็ทำให้ขดที่พันรอบนิ้วชี้สองข้างของเขาคลายตัวออกเล็กน้อย
…………………………………………………………….
[1] สูงไม่ถึงต่ำไม่ยอม หมายถึง คนที่ได้มาในสิ่งที่เกินความสามารถของตน แต่ถ้ามีสิ่งที่ทำได้หรือได้มาโดยไม่ต้องพยายามหนัก กลับรู้สึกต่ำต้อยไม่ยอมรับ มักใช้กับอาชีพการงานและการหาคู่สมรส