บทที่ 208 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-9
เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าตนเองไม่ได้มาเยือนเมืองจิ่งผิงมานานกี่ปีแล้ว
โดยเฉพาะในยามกลางวัน
นี่เป็นหนแรก
หนก่อนหิมะตก
คืนหิมะตก
อีกหนคือวันฝนตก
คืนฝนพรำ
แม้วันนี้จะเป็นกลางวัน แต่ก็มีเมฆครึ้ม
ไม่มีแสงแดดที่สดใส
มีเพียงเมฆหนาทึบซ้อนทับกันหลายชั้น
กดท้องฟ้าต่ำลงมาก
เซียวจิ่นข่านมองเมฆสลับกับมองฟ้า
ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าหากเมฆสะสมมากแล้ว สะสมนานเข้าก็จะเป็นดั่งก้อนหิน
เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์
หากอยู่ที่เดียวเป็นเวลานานมักจะเคยชินกับมัน
เขาคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมและชีวิตในหอทรงปัญญาไปเสียแล้ว
หากไม่มีเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เขาก็ไม่อยากเดินผ่านแดนสุขสัญจรอันกว้างใหญ่จนมาถึงเมืองจิ่งผิง
สิ่งที่ทำให้เขาสนใจได้ในโลกนี้เดิมก็มีน้อยยิ่งนัก
นอกจากหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว เขาก็ไม่มีสหายเลยจริงๆ
แต่ตนสบายดี ไม่ได้หมายความว่าสหายสบายดี
ในเมื่อเขารับปากหลิวรุ่ยอิ่งว่าจะช่วยเขาคิดหาหนทางแล้ว
เช่นนั้นก็ต้องออกไปเสียหน่อย
ตัวเซียวจิ่นข่านนั้นไร้หนทาง
แต่ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ของเขาจะไม่มี
หากอาจารย์ของเขาไร้หนทางเช่นกันละก็ เช่นนั้นก็ต้องยอมแพ้เรื่องนี้ไป
ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยเขาก็ทำมันแล้ว
ทุ่มเต็มที่ ฟ้าลิขิต
ความกระจ่างของในหกพยางค์นี้ของเซียวจิ่นข่าน เกรงว่ามันจะลึกซึ้งยิ่งกว่าผู้ใดในใต้หล้า
เขาเห็นเด็กสามถึงห้าคนกำลังเล่นขายของกันในเมืองจิ่งผิง
พวกเขาใช้ใบไม้ต่างๆ เป็นผัก
เทน้ำสะอาดลงในโคลน ทำเป็นภาชนะปรุงอาหารต่างๆ อย่างเช่นบะหมี่
เพียงเล่นเช่นนี้ก็สนุกสนานแล้ว
ดูสับสนวุ่นวาย ทว่าแบ่งหน้าที่ชัดเจน ต่างปฏิบัติหน้าที่ของตน
“ท่านอา ท่านช่วยตักน้ำบ่อให้พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”
เด็กสาวคนหนึ่งพูดกับเซียวจิ่นข่านด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้
เซียวจิ่นข่านแย้มยิ้ม ไม่ปฏิเสธ
คนในหอทรงปัญญาต่างรู้ว่าเขาเป็นคนตาบอด
จึงไม่มีผู้ใดขอให้เขาช่วยเหลือสิ่งใด
แม้จะไม่เอ่ยออกมา ทว่าพวกเขาก็รู้อยู่แก่ใจ
แต่กับเด็กสาวไม่เหมือนกัน
นางยังอยู่ในวัยที่ยังไม่สามารถแยกแยะออกได้
ยิ่งกว่านั้น การเคลื่อนไหวของเซียวจิ่นข่านก็หาได้เหมือนคนตาบอดจริงๆ ไม่
ด้วยเหตุนี้จึงมาขอให้เขาช่วยเหลือ
เซียวจิ่นข่านแย้มยิ้ม ไม่ปฏิเสธ
หันหลังเดินไปข้างบ่อน้ำแล้วตักน้ำครึ่งถึงให้นาง
ตักมากไป กลัวนางจะยกไม่ไหว
ครึ่งถังน้อยกำลังดี
เด็กสาวหิ้วน้ำครึ่งถึงและเรียกสหายน้อยให้มาช่วยกัน
ครั้นวิ่งออกไปไกลหลายจั้งจึงหยุดชะงักฝีเท้า หมุนกายหันมากล่าวขอบคุณ
เพียงแต่เมื่อนางหันกลับมา เซียวจิ่นข่านก็หายไปแล้ว
เด็กสาวแอบประหลาดใจ
คนผู้นี้เหมือนสายลมก็ไม่ปาน ไยจึงเดินเร็วโดยไร้สุ้มเสียงเพียงนี้
แต่ความสงสัยนี้อยู่ไม่นานนักก็จางหายไปเพราะความสนุกในการเล่นขายของ
ครั้นเดินผ่านบ่อน้ำไปแล้ว เซียวจิ่นข่านจึงหยุดฝีเท้า
เขาไม่อยากให้ธุระเสร็จเร็วเพียงนั้น
เพราะจะไม่มีข้ออ้างในการอยู่ต่ออีก
แม้ว่าไม่มีผู้ใดเร่งเร้า
แต่เขาก็ยังชอบหาข้ออ้างสำหรับทุกสิ่ง
แม้เซียวจิ่นข่านจะพร่ำบอกว่าตนเองชอบชักช้าร่ำไรก็ตาม
แต่ความจริงแล้ว ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนมีเหตุผลและสาเหตุ
อีกทั้งเหตุผลก็หนักแน่นมากพอ สาเหตุก็น่าประทับใจมากพอ
เซียวจิ่นข่านนึกถึงตอนที่ตนเพิ่งออกจากกรมสอบสวน
อันที่จริงเรื่องราวที่เขาเล่านั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
เขาในตอนนั้นไม่มีกำลังซื้อข้าวกินจริงๆ จึงแอบไปขโมยของ
ทว่าเงินที่เขาขโมยมาไม่ได้เอาไปกินข้าว แต่กลับเอาไปซื้อสุราแทน
สุราจะทำให้อิ่มท้องได้อย่างไร มีแต่ยิ่งดื่มก็ยิ่งหิวมากขึ้นเท่านั้น
ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงขโมยอีกครั้ง
แต่ไรมาตอนที่เขาดื่มสุราก็ไม่กินสิ่งอื่น
ทว่าหลังจากดื่มสุราแล้วก็สามารถทานอาหารได้คนเดียวทั้งโต๊ะ
แต่หลังจากดื่มสุราแล้ว ทักษะของเขาไม่ได้คล่องตัวถึงเพียงนั้นจริงๆ
เพียงครั้งเดียวก็ถูกคนจับได้และรมควันทำให้ตาบอด
จะว่าไปแล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้เขาเกลียดอาจารย์ของตนหลายปีทีเดียว
เพราะหลังจากที่ดวงตาของตนถูกรมควันจนบอด อาจารย์ของเขาก็ปรากฏตัว ชดใช้เงินและช่วยพาเขาออกมา
สิ่งที่เซียวจิ่นข่านไม่เข้าใจก็คือ ในเมื่ออาจารย์ตัดสินใจรับตนเป็นศิษย์แล้ว ไฉนจึงเฝ้าดูตนถูกคนอื่นรมควันให้ตาบอดด้วยเล่า
โชคดีที่อาจารย์ของเขาก็ชอบดื่มสุราด้วยเช่นกัน
แต่อาจารย์ของเขาร่ำรวยมาก
ไม่ต้องขโมยก็ซื้อสุราได้
ทั้งยังซื้อแต่สุราดีทั้งนั้น
และยังสร้างเคล็ดลับใหม่ๆ บ่มสุราบ้างเป็นครั้งคราว
เซียวจิ่นข่านขโมยแตงกวาของตี๋เหว่ยไท่ในหอทรงปัญญามาดองสุราและยังได้รับการสืบทอดจากอาจารย์ของเขา
ในที่สุดหลังจากดื่มสุราไปครั้งหนึ่ง
เขาอาศัยความกล้าจากฤทธิ์สุราเอ่ยถามความสงสัยนี้
แต่อาจารย์กลับไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น
เพียงบอกเขาว่า
เรื่องที่คิดไม่ออก ดื่มสุราให้มากหน่อยก็จะกระจ่างเอง
เซียวจิ่นข่านแย้งว่าดื่มสุรามากจะคิดออกได้อย่างไร แต่เป็นการลืมสิ้นต่างหาก
แต่อาจารย์กลับบอกเขาว่า การลืมเลือนก็เป็นการกระจ่างอีกวิธีหนึ่ง
ทุกสิ่งล้วนให้อภัยได้ ถือเป็นการเปิดใจกว้างอย่างหนึ่ง
แต่หากลืมทุกสิ่งในโลกได้ จะไม่ยิ่งแยกจากกว่าเดิมหรอกหรือ
เซียวจิ่นข่านฟังไม่เข้าใจ
แต่เขากลับฟังคำของอาจารย์ ดื่มสุรามากจนเมาหมดสติไป
หลังจากนอนไปวันครึ่ง เขาพลันรู้สึกว่าความอัดแน่นในใจดีขึ้นมากจริงๆ
อาจารย์ก็คืออาจารย์อยู่วันยังค่ำ
คำที่กล่าวมักจะไม่มีผิดเพี้ยน
จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดวันนั้นอาจารย์จึงไม่ช่วยเขา
เพราะทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ
ตัดสินใจทำการใด ย่อมต้องรับผิดชอบในสิ่งนั้น
แก้ไขไม่ได้
หากรู้สึกว่าการขโมยเงินดื่มสุรานั้นสำคัญยิ่งกว่า เช่นนั้นก็ต้องทนถูกรมควันจนตาบอดหลังถูกจับให้ได้
นี่เป็นชะตากรรมของตนเอง
ต่อให้ผู้อื่นอยากช่วยก็ช่วยเหลือได้
แต่ก็ไม่ควรช่วยเหลือเช่นกัน
อันที่จริงเซียวจิ่นข่านไม่ควรยากจนถึงเพียงนี้
หรืออีกนัยหนึ่งต่อให้จะยากจนเพียงใดก็ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงถึงขั้นไปเป็นนักย่องเบา
เดิมทีเขาสามารถอยู่อย่างราบรื่นในกรมสอบสวน
แต่เขาไม่ยินยอม
นิสัยของเซียวจิ่นข่านค่อนข้างวิปริตเล็กน้อย
พวกวิปริตบางคนชอบทรมานผู้อื่น
แต่เขากลับชอบทรมานตนเอง
การทรมานประเภทนี้ไม่ได้หมายถึงการใช้แส้เฆี่ยนตีก้นของตนเองทุกวัน
แต่เซียวจิ่นข่านมักต้องการทำในสิ่งที่แตกต่างจากผู้อื่นอยู่เสมอ
คนผู้หนึ่งหากตกระกำลำบากนัก
ไม่ใช่เพราะโง่เขลา แต่เพราะว่าเกียจคร้าน
เซียวจิ่นข่านฉลาดปราดเปรื่องมาก
อันที่จริงฉลาดกว่าหลิวรุ่ยอิ่งอย่างยิ่ง
เขาก็เป็นคนขยันมากเช่นกัน
เพราะคนเกียจคร้านมุ่งมั่นที่จะไม่หนีจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยของกรมสอบสวน
เขาตกระกำลำบาก เป็นเพราะเขาทำสิ่งใดได้ไม่นานมากพอ
สามวันก่อนจะเห็นเขาซื้อพู่กัน หมึกและกระดาษดีๆ บอกว่าจะเริ่มวาดภาพพู่กัน
แต่เพียงพริบตาเดียวก็เห็นเขาม้วนกระดาษวาดภาพขึ้นไปยังหอนางโลม
ตั้งชื่อสละสลวยเพื่ออยากจะวาดภาพตามรูปร่างสง่างามของผู้นำการร้องรำเหล่านั้น
แต่สามวันต่อมาเป็นเพราะติดหนี้ค่าสุราจึงถูกคนเปลื้องผ้าเปลือยล่อนจ้อนโยนออกมา
ในส่วนของภาพวาดนั้นกลับไม่ได้วาดไว้แม้แต่ภาพเดียว
ต่อมาไม่รู้ว่าไปหากระบี่เหล็กเล่มหนึ่งมาได้อย่างไร
บอกจะไปเป็นผู้คุ้มภัย
นี่หาใช่งานใช้แรงงานที่ดีไม่
แม้ว่าจะหาเงินได้มาก
แต่ก็โยนชีวิตทิ้งไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
นั่งรถคุ้มภัยไปทั่วเหนือจรดใต้ ก็หาเงินมากมายได้แล้ว
แต่เซียวจิ่นข่านไม่ได้ต้องการหาเงินมหาศาล
เขาเพียงต้องการอาศัยโอกาสนี้มองเตร่ไปรอบๆ
ดื่มสุราต่างชนิดกันให้มากหน่อย
ทว่าหากหาเงินได้ระหว่างทาง เขาก็ย่อมไม่ปฏิเสธเช่นกัน
ด้วยตบะวิถียุทธ์ของเขาจะเป็นผู้คุ้มภัยได้ก็เป็นเรื่องปกติ
แต่จะทำอย่างไรได้ ก็โชคของเขาไม่ดีจริงๆ
ในความเป็นจริง นับตั้งแต่เขาออกจากกรมสอบสวนกลางจนถึงก่อนที่เขาจะพบกับอาจารย์ เขาก็ไม่เคยโชคดีเลย
เขาเข้าสำนักคุ้มภัยนามว่าสี่สมุทรก่อน
สี่สมุทรเก้าทวีป นามนี้ยิ่งใหญ่พอและเหมาะกับความทะเยอทะยานของเขา
คนหนุ่มสาวมักมีหัวใจสู่งส่ง
แต่ต่อมา เขาเห็นสำนักคุ้มภัยนามว่า ‘หมื่นบรรลุ’ จึงเข้าไปยังที่แห่งนี้อีกในพริบตา
เพราะเขารู้สึกว่า ‘หมื่นบรรลุ’ ดูโด่งดังยิ่งกว่า ‘สี่สมุทร’!
ก็เป็นเช่นนี้ เปลี่ยนสำนักคุ้มภัยสิบห้าแห่งภายในครึ่งเดือน
แต่สำนักคุ้มภัยสิบห้าแห่งนี้ไม่มีแห่งใดสามารถทำให้เขาพึงพอใจได้
จึงก่อตั้งเองไปเสียเลย
นามว่า ‘เส้นรุ้ง[1]’!
ความหมายคือการใช้ฟ้าเป็นเส้นแวงและโลกเป็นเส้นรุ้ง
เกรงว่านี่จะเป็นสำนักคุ้มภัยที่มีนามยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
ทั้งยังเป็นสำนักคุ้มภัยที่กระจอกที่สุดในใต้หล้าเช่นเดียวกัน
เพราะสำนักคุ้มภัยนี้มีเพียงเขาหนึ่งคนและหนึ่งกระบี่
แต่เซียวจิ่นข่านผู้นี้ แม้แต่ม้าก็ไม่มีจะขี่
ส่วนป้ายนั้น เพียงใช้นิ้วมือจุ่มลงน้ำเต้าหู้หมักแล้วเขียนไปบนไม้ผุพัง
แต่เซียวจิ่นข่านไม่สนใจ
ตะโกนกู่ร้องให้ตนเองอย่างพึงพอใจ
ทว่าสำนักคุ้มภัยเช่นนี้กลับสามารถรับงานได้จริงๆ
อีกทั้งไม่ใช่งานเล็กน้อยเสียด้วย
จากการเดินทางครั้งนี้ เซียวจิ่นข่านคำนวณคร่าวๆ ได้ถึงหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง
เขาขอให้ผู้ว่าจ้างจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าครึ่งหนึ่งก่อน
จากนั้นนำเงินเหล่านี้มาซื้อม้าพันธุ์ดีสักตัว ซื้อกระบี่คมกริบสักด้าม ซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดูดีไม่กี่ตัว
จากนั้นเข้าไปเมามายในหอนางโลมอยู่สามวัน
ครั้นหัวหน้าคณิกาเห็นเซียวจิ่นข่านกล้าโผล่หน้ามาอีก เตรียมถลกแขนเสื้อไล่ทุบตีออกไป
แต่เมื่อเห็นเซียวจิ่นข่านแกะถุงเงินเขย่าจนเผยเงินวิบวับออกมา จึงยิ้มแย้มในทันที
ผู้ว่าจ้างให้ตั๋วเงินมา แต่เซียวจิ่นข่านนำไปแลกเป็นแท่งเงินทั้งหมด
เพราะตั๋วเงินเบาพลิ้ว ใช้จ่ายไร้ความรู้สึก
แท่งเงินหนักอึ้ง ถือเป็นของเล่นในมือก็รู้สึกสบายใจยิ่ง
เขาให้หัวหน้าคณิกายืนอยู่ด้านหน้าห้องส่วนตัว
พร้อมกับชูกระโถนในมือ
ครั้นนางคณิกาป้อนสุราให้เขาดื่มทุกหนึ่งจอก
เขาก็จะหยิบหนึ่งหรือสองตำลึงออกมาแล้วโยนใส่กระโถนใบนั้น
หากเขาตั้งใจจริงขึ้นมา คงไม่เด้งออกมาเป็นแน่
แต่เขาไม่ต้องการจริงจังกับมัน
ฉะนั้นแท่งเงินทุกก้อนจึงกระแทกบนศีรษะหัวหน้านางคณิกาอย่างแรง
ขณะที่กระแทกศีรษะนางแตกเลือดอาบ เขาก็ยังไม่อาจหยุดตะโกนร้องว่าดี!
ยามแท่งเงินก้อนสุดท้ายลอยออกไป เซียวจิ่นข่านเดินจากไปพร้อมกับหัวเราะดังลั่น
…………………………………………..
[1] เส้นรุ้งหรือละติจูด เป็นพิกัดที่ใช้บอกตำแหน่งบนพื้นโลก