บทที่ 213 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-2
เขาเคยจัดงานเลี้ยง ตะโกนโหวกเหวก ตำหนิติเตียนยุทธภพในเหลาสุราแห่งนั้นทุกวัน
ทั้งยังเสียดสีผู้ที่กินข้าวแผงลอยริมทางด้านล่างไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง
แต่สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว
เขาในตอนนี้ซื้อข้าวแผงริมทางกินไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เหตุใดพักนี้เจ้าไม่มาเลยเล่า”
แม่นางกล่าวถาม
“ข้า…ข้ามีธุระนิดหน่อยจึงออกไปนอกเมืองน่ะ”
เซียวจิ่นข่านตอบลวกๆ อย่างขอไปที
แทบรอฝังหน้าตนลงในชามเต้าฮวยนั่นไม่ไหว
“เป็นอย่างไร อร่อยหรือไม่”
แม่นางกล่าวถาม
“อร่อย!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ยังขาดสิ่งใดไปหรือไม่”
แม่นางถาม
“เดิมทีก็ไม่ขาดสิ่งใด…แต่พอเจ้าถามก็ดูเหมือนจะขาดรสเปรี้ยวไป”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“รสเปรี้ยวหรือ”
แม่นางไม่เข้าใจนัก
หากเพิ่มรสเปรี้ยว ผู้อื่นจะไม่คิดว่าเต้าฮวยเสียแล้วหรือ
“นั่นคือผักกาดดองหรือ”
เซียวจิ่นข่านเห็นจานเล็กๆ วางอยู่ข้างหลังแม่นาง
มีเครื่องเคียงจำนวนหนึ่งวางในจานเล็กๆ
“ใช่แล้ว นั่นของข้ากินเอง ผักกาดดองเรียกน้ำย่อย กินเข้าไปแล้วข้ากินหมั่นโถวได้ตั้งสองลูก!”
แม่นางกล่าวอย่างสุขใจ
“ให้ข้ากินสักหน่อยได้หรือไม่”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
แม่นางชะงักงัน
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ที่กินดื่มสนุกสนานในเหลาสุราทุกวันจึงอยากกินผักดองนี้ได้
แต่นางก็ยังยกจานเล็กๆ นั้นมา
“แบ่งเจ้าครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่งเหลือไว้เป็นอาหารกลางวันของข้า”
แม่นางกล่าว
นางหยิบตะเกียบสะอาดออกมาคู่หนึ่ง เขี่ยผักกาดดองครึ่งหนึ่งในจานเล็กลงในชามของเซียวจิ่นข่าน
เซียวจิ่นข่านกินผักกาดดองหนึ่งคำแล้วดื่มเต้าฮวยไปอีกหนึ่งคำ
สีหน้าที่ทำให้ผู้อื่นดูแล้วอิ่มเอมใจ
“อร่อยหรือไม่”
แม่นางเอ่ยถาม
“อร่อยยิ่งนัก! แต่ถ้ากินคู่กับหมั่นโถวต้องอร่อยยิ่งกว่าเป็นแน่!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เซียวจิ่นข่านเพิ่งพูดจบ
เห็นแม่นางผู้นี้ยื่นหมั่นโถวให้เขาอีกหนึ่งลูก
“แบ่งผักกาดดองให้เจ้าครึ่งหนึ่ง ให้หมั่นโถวเจ้าลูกหนึ่ง เช่นนี้จึงนับว่าเป็นคู่กัน!”
แม่นางกล่าว
“คู่กันหรือ”
คำนี้ทำให้เซียวจิ่นข่านคิดเพ้อฝันเล็กน้อย
ตนเป็นคู่กันกับแม่นางผู้นี้เมื่อใดกัน
“เจ้าก็พูดอยู่ว่าผักกาดดองคู่กับหมั่นโถวจะยิ่งอร่อย เช่นนั้นผักกาดดองกับหมั่นโถวก็คู่กันอย่างไรเล่า!”
แม่นางกล่าว
เซียวจิ่นข่านพยักหน้า
รับหมั่นโถวมากิน
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากข้างหลัง
ที่แท้แล้วเป็นนักดื่มในเหลาสุราสั่งให้กลุ่มนางคณิกาจากลานแดงมรกตมาดื่มด้วย
แม่นางเหล่านั้นแต่งกายหรูหราฉูดฉาด ตบแป้งหอมฟุ้ง
สวมทองใส่หยกบนกาย
สวมกำไลสิบวงที่ข้อมือข้างหนึ่ง ต่างหูห้าชิ้นที่หูหนึ่งข้าง
จู่ๆ เซียวจิ่นข่านก็รู้สึกได้
แม่นางบางคนมีนิสัยเก็บตัวและไม่ประทินโฉมจนแน่นไป
แต่อันที่จริงพวกเขาใช้ชีวิตอย่างมั่นใจและมีเกียรติศักดิ์ศรียิ่งนัก
นักแสดงงิ้วและนางคณิกา
ในห้องหอหนึ่งค่ำคืน
สิ่งที่นักแสดงงิ้วขับร้องล้วนเป็นความรักของผู้อื่น
ไม่อาจรอให้สามีที่ใจเฝ้าฝันส่งสุราบงกชมาให้ตนได้ตลอดกาล
นางคณิกาล้วนต้องสมรสดุจน้ำค้างเพียงชั่วคราว
มีเพียงน้อยคนยินยอมเปลี่ยนน้ำค้างนี้ให้เป็นแม่น้ำอันเงียบสงบไหลไปทางบูรพา
แต่แม่นางตรงหน้าผู้นี้กลับขายเต้าฮวยที่ตนทำเอง
กินผักกาดดองที่ตนหมักดอง หมั่นโถวที่ตนนึ่งสุก
ผู้ใดโชคร้ายยิ่งกว่ากันเล่า
หากเป็นแต่ก่อน เซียวจิ่นข่านย่อมตัดสินโดยละเอียดอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ เขารู้สึกว่าผู้ที่โชคร้ายที่สุดคือตนเองต่างหาก
หลังจากกินเสร็จ เซียวจิ่นข่านก็ไม่ได้รั้งตัวอยู่นานเกินไป
เพราะเขาไร้ความมั่นใจและไร้ศักดิ์ศรี
เมื่อกลับมาที่นี่อีกครั้ง
เขาก็ตาบอดเสียแล้ว
มองไม่เห็นแผงร้านเต้าฮวยของแม่นางผู้นั้นว่ายังอยู่หรือไม่
ทว่าแต่ไหนแต่ไรแม่นางผู้นั้นก็ไม่เคยร้องตะโกนขายของ
แต่เยี่ยเหว่ยบอกเขา
บางคนอาจโผล่มาเพื่อให้เจ้ากินเต้าฮวยกับผักกาดดองหนึ่งชาม
ครั้นกินเสร็จ ภารกิจของนางในช่วงชีวิตของเจ้าก็เสร็จสมบูรณ์
เจ้าไม่จำเป็นต้องไปตามหา เพราะอีกฝ่ายอาจหันหลังและจากไป
ยามนั้นเซียวจิ่นข่านไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของอาจารย์
เข้าใจไปก่อนว่า อาจารย์ไม่ให้ตนตามหาแผงร้านเต้าฮวยและแม่นางผู้นั้น
จวบจนทุกวันนี้
เขาสามารถเข้าใจทุกสิ่งแล้ว
แม้หนนี้เขาจะออกจากหอทรงปัญญามาพบอาจารย์แล้วคว้าน้ำเหลวก็ตาม
แต่เขาพบกับห้ายอดดรุณเข้าแล้ว
นี่ก็เป็นประสงค์สวรรค์
เฉกเช่นเดียวกับเต้าฮวยผักกาดดองชามนั้น
“พวกเจ้าจะไปหาหลิวรุ่ยอิ่งหรือ”
เซียวจิ่นข่านลุกขึ้นแล้วกล่าว
ห้ายอดดรุณไม่ตอบ
ดูท่าทางราวกับมาเพื่อกินอาหารจริงๆ
เพียงแต่กินอาหารเสร็จก็จะไปปลิดชีวิตคน
“อาหารที่นี่ไม่อร่อย คนที่นั่นก็สังหารไม่ง่ายนัก”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ครั้นได้ยินศิษย์ของตนกล่าวว่าอาหารไม่อร่อย
เยี่ยเหว่ยจึงแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ
เถี่ยกวนอินราวกับกำลังดูละครอยู่จึงรินสุราให้ตัวเองหนึ่งจอก
นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุข มือขวาดื่มสุรา มือซ้ายจับศีรษะ
“เจ้าเป็นใคร”
ดรุณสกัดจุดกล่าวถาม
“คนว่างงาน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“คนว่างงานตายไว เพราะคนว่างงานมักจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของผู้อื่นทั้งที่ไม่ควร”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
“เช่นนั้นข้าก็เป็นเทพเซียน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
นักพรตอินหยางที่เที่ยวต้มตุ๋นเหล่านั้นล้วนกล่าวว่าตนเป็นเทพเซียน
ในฐานะที่เซียวจิ่นข่านเป็นไท่ไป๋หนึ่งในห้าสุดยอดนักพรตอินหยางกล่าวอ้างตนเป็นเทพเซียนก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนแต่อย่างใด
“ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคนว่างงานหรือเทพเซียน หากขวางทางเราล้วนต้องตาย”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
ยังกล่าวไม่ทันจบประโยคดี
ดรุณทลายพรรณลงมือทันที
ทรายพิษสาดกระจายไปทั่วนภา
ความเร็วไม่ได้รวดเร็วนัก แต่กลับละเอียดอย่างยิ่ง
ไร้ช่องว่างให้เซียวจิ่นข่านหลบเลี่ยง
“คนตายก็ต้องกล่าวให้พอ เสร็จเรื่องแล้วค่อยตาย”
เซียวจิ่นข่านพึมพำกับตนเอง
จากนั้นใช้มือขวาวาดวงกลมเหนือศีรษะ
เผยโพรงถ้ำเหนือศีรษะเซียวจิ่นข่าน
ทรายพิษนอกวงกลมค่อยๆ ร่วงหล่น
ทำเอาพื้นดินเต็มไปด้วยจุดเผาไหม้
แต่เซียวจิ่นข่านในวงล้อมกลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
ดรุณทลายพรรณเห็นว่าโจมตีหนเดียวไม่สำเร็จ
ทั้งยังเห็นวิชามหัศจรรย์เช่นนี้ของเซียวจิ่นข่าน
ในใจพลันเพิ่มความระวังขึ้นหลายส่วน
ทว่าพวกเขาคือห้ายอดดรุณ
คราวนี้ทั้งห้าคนออกมาพร้อมกันย่อมไม่อาจคว้าน้ำเหลว
ฉะนั้นในยามนี้จึงไม่สนกฎเกณฑ์ยุทธภพใดๆ
โซ่บั่นเศียรของดรุณบั่นเศียรพุ่งตรงไปยังข้อเท้าเซียวจิ่นข่าน
โซ่บั่นเศียรนี้ไม่เพียงบั่นเศียรได้เท่านั้น ยังสามารถหักข้อต่อ หักข้อมือและข้อเท้าได้อีกด้วย
ขอเพียงเขาต้องการ ไม่มีส่วนใดที่ทำลายไม่ได้
เซียวจิ่นข่านกระโดดเล็กน้อย
โซ่บั่นเศียรคว้าความว่างเปล่า
“สหาย ต่างคนต่างเส้นทางไม่ข้องแวะกัน เหตุใดจึงต้องสร้างความลำบากใจให้ข้าเล่า”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
เขาขมวดคิ้วมุ่น
มองออกว่าเซียวจิ่นข่านนั้นไม่ธรรมดา
แม้ว่าเขายังไร้ซึ่งการโจมตีใดๆ ก็ตาม
แต่เซียวจิ่นข่านทลายทรายพิษทั่วนภาของดรุณทลายพรรณได้ด้วยการวาดวงกลมมือเดียว ทำให้เขาจำต้องระมัดระวังตัว
เรื่องสำคัญที่ต้องทำคว้าน้ำเหลวแล้วหนหนึ่ง
คราวนี้ ทุ่มบุกเต็มกำลัง
จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ประมุขหอทรงภูมิมอบหมายให้เสร็จสิ้น
ในฐานะพี่ใหญ่แห่งห้ายอดดรุณ แรงกดดันที่ดรุณสกัดจุดแบกรับย่อมไม่น้อยนัก
ตลอดทางนี้เขาได้คำนวณเรื่องไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะพบกับเซียวจิ่นข่านที่นี่
มนุษย์เราไม่พบหน้ากันที่ใด
มนุษย์เราก็จะพบกันโดยบังเอิญที่นั่น
มันเป็นเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อติดต่อกัน จึงทำให้จุดจบในภายภาคหน้าจะถูกเขียนใหม่อย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่วินาทีที่เซียวจิ่นข่านตัดสินใจเริ่มลงมือ อนาคตของหลิวรุ่ยอิ่งและห้ายอดดรุณก็เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก
“สหายหรือ ผู้ที่พวกเจ้าสร้างความลำบากให้ บังเอิญเป็นสหายของข้า หากบทบาทของพวกเราสลับกันบ้าง พวกเจ้าจะทำอย่างไร”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ดรุณสกัดจุดเงียบขรึมไป
หากสลับบทบาท ไม่แน่ว่าพวกเขาก็อาจจะกระทำเช่นนี้
จิตวิญญาณห้ายอดดรุณเชื่อมโยงกัน
หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ หนึ่งร่วงล้วนร่วง
เซียวจิ่นข่านเห็นว่าอีกฝ่ายไร้คำพูด
จึงพยักหน้าอย่างพึงใจ
ในเมื่อต้องการลงมือ
เช่นนั้นก็ไม่อาจไร้ต้นสายปลายเหตุ
ย่อมต้องหาสาเหตุที่ตัดสินใจยืนหยัดแน่วแน่
ลงมือเพื่อช่วยสหายจึงเป็นเหตุผลที่ดีมาโดยตลอด
ไม่มีผู้ใดตำหนิได้
ในทางตรงกันข้ามกลับได้รับเสียงชื่นชมเสียด้วยซ้ำ
เซียวจิ่นข่านไม่ใช่ผู้แสวงหาชื่อเสียง
เขาไม่กลัวถูกตำหนิและไม่ต้องการเสียงกู่ร้องชื่นชม
สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงทั้งสิ้น
แต่ทุกวันนี้คำพูดจริงใจกลับไม่มีผู้ใดเชื่อถือ
เพราะศิษย์ที่แสวงหาชื่อเสียงเลื่องลือมีมากเกินไป
มากจนไม่มีผู้ใดเชื่อว่าแรงจูงใจของใครบางคนจะบริสุทธิ์ได้ถึงเพียงนี้
อย่างน้อยดรุณสกัดจุดไม่เชื่อ
ดรุณทั้งสี่คนที่เหลือก็ไม่เชื่อเช่นกัน
พวกเขาไม่รู้แรงจูงใจของเซียวจิ่นข่าน
คิดว่าสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘สหาย’ เป็นเพียงข้ออ้างที่ฟังดูสูงส่งเท่านั้น
ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายหาข้ออ้าง
ดรุณสกัดจุดรู้ว่าต่อให้กล่าวสิ่งใดล้วนไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
หากผู้อื่นอยากบอกเจ้า
ไม่ต้องถามก็จะชิงบอกก่อน
หากผู้อื่นไม่อยากบอกเจ้า
เช่นนั้นจึงมีเพียงการทรมานครึ่งชีวิตของอีกฝ่าย บางทีอาจจะปริปากก็เป็นได้
ดรุณสกัดจุดส่ายศีรษะ
เห็นได้ชัดว่าเขาเลือกอย่างหลัง
เซียวจิ่นข่านล่วงรู้ว่าผู้ที่รับมือยากที่สุดในห้ายอดดรุณกำลังจะลงมือแล้ว
ขณะนั้นจึงเตรียมเฝ้าระวังอย่างเต็มที่
นักพรตอินหยางทำนายโลกทั้งใบ
อาจกล่าวได้ว่าไร้ความชั่วร้ายรอบกาย ไร้ความเท็จบดบังดวงตา
ทุกการเคลื่อนไหวล้วนสอดคล้องกับวิถีสรรค์สร้าง
เซียวจิ่นข่านซุกมือซ้ายไว้ในอ้อมอก
แผ่นหยกวางไว้ในอ้อมอก
แต่ทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับแผ่นหยกก็หยุดชะงัก
ทันทีที่เผยแผ่นหยก
สถานะ ‘ไท่ไป๋’ แห่งสุดยอดนักพรตอินหยางจะถูกเปิดเผย
เขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
เพราะในยามนี้เขาไม่ใช่ ‘ไท่ไป๋’
แต่เป็นเพียงเซียวจิ่นข่าน
เซียวจิ่นข่าน สหายรักของหลิวรุ่ยอิ่ง
การต่อสู้หนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมฟ้าดิน
มีเพียงสถานะเซียวจิ่นข่านที่ช่วยเหลือสหายของตนแก้ไขปัญหาบางประการเท่านั้น
………………………………………….