บทที่ 215 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-4
“เจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจทีเดียว!”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“เจ้ากล่าวถึงใคร”
เยี่ยเหว่ยถาม
“ดรุณแห่งหอทรงภูมินั่น”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“ร่างกายเล็ก ไม่จำเป็นต้องอายุน้อย ไม่แน่ว่าอาจจะอาวุโสกว่าเจ้าด้วยซ้ำ!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เขาย่อมไม่พลาดโอกาสในการบีบคั้นเถี่ยกวนอิน
“ข้าหมายความว่าเขาฉลาดยิ่งนัก”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“เจ้ากล่าวมาตรงๆ เลยว่าเขาร้ายกาจยิ่งนัก”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ทุกครั้งที่จำเป็นต้องโหดเหี้ยมจะดูไม่ออกว่าโหดเหี้ยมหรือไม่ นักฆ่าไม่กะพริบตาจำนวนมากหมดสติก่อนปลายกระบี่จะแตะลำคอด้วยซ้ำ บางคนถึงขั้นฉี่ราดกางเกงด้วย”
เถี่ยกวนอินกล่าว
คราวนี้เยี่ยเหว่ยไม่โต้แย้ง
เพราะเขารู้ว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ
สิ่งที่ขาดไม่ได้ที่สุดในโลกนี้คือผู้ที่แข็งนอกอ่อนใน ภายนอกสุกใสภายในเป็นโพรง
ดวงตาของเขาดูเหมือนจะลุกวาว
ความจริงแล้วเหมือนกับกระจกน้ำแข็ง
หากแสงแดดอุ่นขึ้น มันก็จะละลาย
ครั้นกล่าวถึงดวงอาทิตย์
ในยามนี้มือขวาของดรุณสกัดจุดชูขึ้นสูง
กอบกุมมวลพลังปราณอยู่กลางฝ่ามือ
เปล่งประกายสารทิศ
มองจากระยะไกล
ราวกับกอบกุมอาทิตย์ดวงเล็ก
เขาเขวี้ยงมวลแสงเปล่งประกายนี้ไปยังเซียวจิ่นข่าน
คิดในใจว่าไม่เชื่อว่าเซียวจิ่นข่านจะยังสงบสติอารมณ์ได้
แสงสว่างสลายไป
เขาเห็นเซียวจินข่านยังคงนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น
ทว่าเขาเคลื่อนไหวแล้ว
ก่อนหน้านี้เพียงนั่งนิ่งๆ อยู่หน้าโต๊ะว่างเปล่า
ตอนนี้มีสุราหนึ่งไหเพิ่มขึ้นมาบนโต๊ะ
ในมือของเขายังมีจอกสุราเพิ่มเข้ามาด้วย
ดรุณสกัดจุดโกรธจัด
รู้สึกว่าเซียวจิ่นข่านจะมั่นใจเกินไปจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูน่าเกรงขาม ยังมีอารมณ์ดื่มสุราสบายๆ เช่นนี้
เย้ยหยันกันอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้านิดหน่อย เวลาผ่านไปช้าข้าจะเบื่อหน่ายน่ะ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เจ้าไม่กลัวว่าจะมีกระบวนสังหารบางอย่างซ่อนอยู่ในมวลแสงประกายของข้าเมื่อครู่นี้หรือ”
ดรุณสกัดจุดกล่าวถาม
“แสงประกายหรือ หากข้ามองเห็นจะต้องหลบเลี่ยงมันแน่ น่าเสียดายข้ามองไม่เห็น”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ชั่วครู่หนึ่งดรุณสกัดจุดก็ยังไม่ได้ตระหนักถึงความหมายแฝงในประโยคนี้
หลังจากที่เขาเข้าใจสาเหตุแล้วก็อดถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้
เขาถึงตระหนักได้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับคนตาบอด
สาเหตุที่ถอยหลังหนึ่งก้าวไม่ใช่เพราะเขาไม่เคยพบเจอคนตาบอด
แต่ไม่เคยเห็นคนตาบอดเช่นเซียวจิ่นข่านมาก่อนต่างหาก
ดรุณสกัดจุดคิดว่าเซียวจินข่านกำลังโกหก
แต่หลังจากสังเกตสีหน้าเขาโดยละเอียดแล้วจึงพบว่าเป็นเช่นนั้นจริง
ยามที่เขารินสุรา ดวงตาทั้งคู่ไม่ได้มองไปยังไหสุราและจอกสุรา
แต่กลับจ้องมองไปที่โต๊ะนิ่งๆ
เซียวจิ่นข่านเป็นคนตาบอดที่ไม่เหมือนคนตาบอดที่สุดจริงๆ
ดรุณสกัดจุดเคยเห็นคนตาบอดล้วนแล้วแต่เศร้าซึมยิ่งนัก
“เจ้ามองไม่เห็นแล้วเหตุใดจึงต้องลำบากตนเองถึงเพียงนี้”
ดรุณสกัดจุดถาม
เขาไม่เข้าใจ เหตุใดคนตาบอดจึงต้องฝืนถึงเพียงนี้
“ยามกลางวันพวกเจ้าชมดวงตะวัน ยามกลางคืนชมดวงจันทร์ แต่ข้ามองไม่เห็น ทว่าข้าก็เคยเห็นมันมาก่อน หาได้ตาบอดแต่กำเนิดไม่”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หากตาบอดแต่กำเนิดอาจจะง่ายยิ่งกว่าก็เป็นได้
แต่มันกลับเกิดจากเรื่องไม่คาดคิดในภายหลัง ความเจ็บปวดย่อมเพิ่มเป็นเท่าตัว
เทียบกับหลิวรุ่ยอิ่งที่กำพร้าแต่กำเนิด
เขาย่อมไม่รู้สึกเสียใจที่ตนกำพร้า
เพราะเดิมทีก็เป็นเช่นนี้และเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ชินชาไปเสียแล้ว
แต่เซียวจินข่านต่างออกไป
เขาเคยเห็นสีสันและความงดงามของโลก
อยู่มาวันหนึ่งก็สูญเสียมันไปอย่างกะทันหัน ย่อมเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก
“หากตอนนั้นรู้ว่าภายหลังข้าจะตาบอด ตอนนั้นข้าคงไม่ดื่มสุราและนอนมากมายเพียงนั้น พยายามเบิกตากว้างมองโลกใบนี้ให้ได้มากที่สุด”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แม้เจ้าจะมองไม่เห็น แต่ก็น่าจะสัมผัสถึงมันได้!”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
เขายังคงรู้สึกว่าแปลกยิ่งนักที่เซียวจิ่นข่านไม่หลบเลี่ยงมวลแสงประกายที่เขาขว้างใส่ก่อนหน้านี้
“ประสาทสัมผัสของคนตาบอดมักว่องไวกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง ดวงตาบอดแล้ว หากประสาทสัมผัสยังเฉื่อยชาละก็ นี่ก็คงไม่สมเหตุสมผลเกินไป”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เขารินสุราให้ตนและดื่มหมดจอก
“เจ้าไม่ใช่คนตาบอดธรรมดา”
ประโยคนี้ดูเหมือนดรุณสกัดจุดจะพึมพำกับตนเอง
“เดิมคนตาบอดก็ไม่ธรรมดา หากธรรมดาก็คงไม่เป็นคนตาบอด”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“กายเจ้าไร้ไอสังหาร ใจก็ไร้จิตสังหาร”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
เขาลงมือฆ่าคนที่ไร้ไอสังหารและจิตสังหารไม่ลง
เขาไม่ใช่ผู้ที่พรากชีวิตผู้อื่น
หลายครั้งการฆ่าคนเป็นเรื่องจำใจต้องทำ
ไอสังหารและจิตสังหารนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากคนผู้เดียว
มันเป็นผลจากการเสริมเติมแต่งระหว่างสองฝ่าย
ตอนนี้เซียวจิ่นข่านไร้ซึ่งไอสังหารและจิตสังหาร
ไอสังหารและจิตสังหารของดรุณสกัดจุดถูกปลดปล่อยออกมาจำนวนมาก
“เพราะข้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเจ้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แต่เจ้าก็เอาแต่ขวางพวกเรา”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
“ข้าเพียงไม่ต้องการให้พวกเจ้าสร้างปัญหาให้สหายของข้า หลิวรุ่ยอิ่งเป็นสหายของข้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เขามีสหายเช่นเจ้าช่างโชคดีสามชาติเสียจริง”
ดรุณสกัดจุดกล่าวพลางถอนหายใจ
เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหลิวรุ่ยอิ่งจากปากของกลุ่มดรุณทลายพรรณ
เพียงแต่เขามีความคิดสุดโต่ง
หากเขาไม่เคยพบเจอ ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดไร้สาระคล่องปากเพียงใดก็จะเมินเฉย
แต่ตอนนี้ได้พบกับเซียวจินข่าน
สหายของหลิวรุ่ยอิ่งผู้นี้
ในใจเขาพลันมองหลิวรุ่ยอิ่งในแง่ดีขึ้นมาหลายส่วน
แม้เขาจะไม่เคยพบเจอกับหลิวรุ่ยอิ่งก็ตาม
แต่สหายก็เหมือนกระจกหนึ่งบาน
สหายของเขาเป็นเช่นไร โดยทั่วไปคนผู้นั้นย่อมเป็นเช่นนั้น
หากสหายของเขาเป็นนักพนัน คนผู้นั้นย่อมเป็นแขกเยือนบ่อนพนันบ่อยครั้ง
หากสหายของเขาเป็นคนตัณหา คนผู้นั้นย่อมสามารถบอกชื่อเรือทุกลำในแม่น้ำจักรพรรดิได้เป็นแน่
แต่สหายของหลิวรุ่ยอิ่งคือเซียวจินข่าน
คนตาบอดที่ไม่เหมือนผู้ใด
“เขาโชคดีในสามชาติ แต่ข้าก็โชคดีในสามชาติเช่นกัน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ดรุณสกัดจุดพยักหน้า
ระหว่างสหายย่อมมีไว้พึ่งพากันและกัน
ชีวิตนี้ภพนี้ก็เป็นชีวิตนี้ภพนี้
สามชาติสามภพก็เป็นสามชาติสามภพ
เวลาจะเพิ่มหรือจะขาดไปไม่ได้ทั้งสิ้น
“ดังนั้นเจ้าจะต้องช่วยสหายต่อกรกับพวกเราให้จงได้งั้นหรือ”
ดรุณสกัดจุดถาม
“ใช่”
“ไม่ใช่ต่อกร แต่ถ่วงเวลา เขาใกล้จะจากไปแล้ว ข้าเพียงไม่ต้องการให้มีปัญหายุ่งเหยิงไปรบกวนเขาในช่วงไม่กี่วันสุดท้าย”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“การมีชีวิตย่อมลำบากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
“หากเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ขอเพียงเอ่ยปากข้ายินดีช่วยสงเคราะห์”
เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางหัวเราะ
“ช่วยหรือ ช่วยสังหารตัวเขาน่ะหรือ”
ดรุณสกัดจุดกล่าวพร้อมกับเบิกตากว้าง
“ไม่ผิด ช่วยสังหารตัวเขาเอง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ดรุณสกัดจุดรู้สึกเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าเซียวจิ่นข่านชายตาบอดนี้พิเศษยิ่งนัก กระทั่งไม่เป็นสองรองใครด้วยซ้ำ
ตอนนี้ดูแล้วเขาไม่เพียงตาบอด จิตใจยังฟั่นเฟือน!
ไม่เพียงแต่เป็นคนตาบอด ยังเป็นคนเสียสติอีกด้วย!
ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวช่วยสหายแก้ปัญหา เดี๋ยวช่วยสหายปลิดชีพตนเองได้อย่างไร
“สิ่งสำคัญที่สุดระหว่างสหายคือการช่วยเหลือเติมเต็มซึ่งกันและกัน ตราบใดที่เขารู้สึกว่าการตายจะทำให้เขาสบายใจ ในฐานะสหายไฉนจะทำเพื่อเขาไม่ได้เล่า”
เซียวจิ่นข่านย้อนถาม
“หากเขาต้องการสังหารเจ้าเล่า”
ดรุณสกัดจุดกล่าวถาม
“หากสังหารข้าแล้วทำให้เขารู้สึกสบายใจ เช่นนั้นไม่ต้องรอเขาลงมือ ข้าจะปลิดชีพตนเองให้ นี่ก็เป็นการช่วยเติมเต็มความปรารถนาไม่ใช่หรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ดรุณสกัดจุดไม่กล่าวคำใด
เยี่ยเหว่ยเห็นขอบตาเถี่ยกวนอินบวมแดงเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเขาคิดเรื่องใดอยู่
เดาว่าเขาคงเคยมีสหายเช่นนี้กระมัง
ทว่าตอนนี้เขาก็ยังสามารถนั่งดื่มสุราอยู่ที่นี่ได้
จุดจบของสหายผู้นั้นย่อมสามารถจินตนาการได้
ดรุณสกัดจุดใช่ว่าไม่มีสหาย
เขากับสี่คนอื่นๆ แห่งห้ายอดดรุณล้วนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย
แต่ความเข้าใจที่มีต่อสหายของเขามีเพียงร่วมบุกน้ำลุยไฟ
แม้ต้องเผชิญกองทัพทหารอันเกรียงไกรจนตัวตายก็ไม่เสียใจ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดของตนจะตื้นเขินเกินไป…
เมื่อเทียบกับสิ่งที่เซียวจิ่นข่านกล่าว
ทุกคนในห้ายอดดรุณต่างอดรู้สึกละอายใจในตนเองไม่ได้
“ตราบใดที่มีสหาย ไม่เดียวดายก็พอ วิธีของข้าอาจไม่เหมาะกับพวกเจ้า”
เซียวจิ่นข่านลุกขึ้นยืนพลางกล่าว
ดรุณสกัดจุดมองไม่เห็นความเดียวดายจากตัวเขาจริงๆ
ทว่าดรุณสกัดจุดกลับเป็นผู้ที่โดดเดี่ยวยิ่งนักคนหนึ่ง
แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีสหายแต่ก็ยังโดดเดี่ยวเช่นเดิม
เขาจำตอนที่ยังเป็นเด็กได้
เปลวไฟลุกโหมพุ่งไปบนท้องนภา
ย้อมนภาสีแดงฉาน
พระจันทร์ยังถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน
พระจันทร์ในคืนนั้นราวกับดาวอังคาร
ร้อนระอุทว่าพร่างพราว
ส่องสว่างหัวเมืองสิบสามแห่งที่อยู่ใกล้เคียง
ดรุณสกัดจุดมองพระจันทร์ดวงนั้น
ความปรารถนาพลุ่งพล่านอยากหลอมรวมเข้าไปในนั้น
“แม้สิ่งที่เจ้ากล่าวจะถูกต้องและมีเหตุผลยิ่ง แต่ข้าก็มีสหาย พวกเราจำเป็นต้องยืนหยัดเช่นกัน”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
เซียวจิ่นข่านไม่เอ่ยคำใด
เพียงผายมือขวาทำท่าทางเชื้อเชิญ
“ศิษย์ของเจ้า…”
เถี่ยกวนอินกล่าวได้เพียงครึ่ง จู่ๆ ก็ชะงักไป
“ศิษย์ของข้าเป็นอย่างไร”
เยี่ยเหว่ยกล่าวถาม
“ศิษย์ของเจ้าช่างดียิ่งนัก!”
เถี่ยกวนอินกล่าว
เขาเป็นคนมีอารมณ์ขันมาก
วาจาเฉียบแหลมในปากมากเสียจนตะกร้าหลายใบบรรจุไม่ไหว
แต่ในยามนี้มีเพียงสองคำง่ายๆ ดียิ่ง
เยี่ยเหว่ยยิ้มอย่างภูมิใจ
ยังจะมีสิ่งใดน่าภาคภูมิใจไปกว่าการได้เห็นลูกศิษย์ของตนมีอนาคตสดใสเล่า
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดดีๆ เหล่านี้ออกมาจากปากศัตรูของตน
………………………………………………………