บทที่ 316 เจ้าของรถยนต์ปริศนา
รถยนต์ยี่ห้อหงฉีธรรมดามากเสียจนบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่อยู่ในสถานที่จำรถคันนี้ได้
คิดว่ารถคันนี้ธรรมดาจริงหรือ
มันไม่ธรรมดาเลยต่างหาก!
ผู้คนรอบข้างเริ่มพูดคุยกระซิบกระซาบกัน ในขณะที่หลิวป๋อหลี่ เกาเย่ว์หยางและคนอื่นๆ กำลังเดินไปที่รถคันนั้น
หลังจากที่คนขับลงจากรถมาเปิดประตูแถวหลัง ก็มีสตรีวัยราวๆ หกสิบปีคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวขาออกมาจากรถ
ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้มสดใส วันนี้เธอมาในชุดผ้าฝ้ายคอจีนสีแดง ซึ่งดูเป็นการแต่งตัวที่เรียบง่ายมาก
ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงที่ดูธรรมดาเช่นนี้จะเป็น ‘เว่ยซูชิง‘
ทันทีที่เว่ยซู่ชิงลงจากรถ เธอก็เห็นใบหน้าอันแสนคุ้นเคยรอบๆ ตัวเธอ เธอจึงเอ่ยขึ้นทั้งรอยยิ้ม “ตอนแรกฉันกังวลมากว่ามันจะกะทันหันเกินไป ไม่คิดเลยว่าทุกคนจะอยู่ที่นี่”
เว่ยซูชิงรู้จักกับเกาเย่ว์หยาง หลิวป๋อหลี่และคนอื่นๆ มาหลายปีแล้ว เพราะเธอเองก็เคยทำงานด้านการแพทย์เช่นกัน ทว่าหลังจากที่ย้ายที่ทำงานหลายครั้ง เธอก็เลือกเดินในเส้นทางสายบริหารแทน
เว่ยซูชิงรู้สึกเป็นธรรมชาติมากเมื่อได้มาพบกับเพื่อนเก่าในวันนี้
เกาเย่ว์หยางหัวเราะ “ฮ่าๆ มาที่นี่ได้ก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว ใช่ไหมเหล่าหลิว”
เกาเย่ว์หยางขยิบตาพลางมองไปทางหลิวป๋อหลี่ที่กำลังอึ้งอยู่
กลับกัน สีหน้าของหลิวป๋อหลี่ดูจะไม่ค่อยเป็นธรรมชาติตั้งแต่เว่ยซูชิงมาถึง
เว่ยซูชิงเองก็เช่นกัน สีหน้าของเธอดูจะฉายแววอึดอัดขึ้นเล็กน้อย
เมื่อไป๋เยี่ยเห็นว่าคนที่ลงมาจากรถคือเว่ยซูชิง แววตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาจะต้องระวังหลายๆ อย่างเสียแล้ว
เว่ยซูชิงมาที่นี่ด้วยตนเอง
กล่าวได้ว่าการมาถึงของเว่ยซูชิงนั้นถือเป็นเกียรติสำหรับไป๋เยี่ยมาก!
ไป๋เยี่ยจึงรีบเข้าไปทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณมาแล้ว”
โชคดีที่คำพูดของไป๋เยี่ยทำลายความน่าอึดอัดใจระหว่างเว่ยซูชิงและหลิวป๋อหลี่ลง
เว่ยซูชิงยิ้ม “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่บอกฉันบ้างล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นข้อมูลที่คุณส่งมา ฉันก็คงไม่รู้ว่าคุณจะเปิดสถาบันวิจัยหรอกนะ”
ไป๋เยี่ยยอมรับความผิดพลาดของเขาทันที “ผมผิดเองครับ เพราะว่ากลัวคุณจะงานยุ่งก็เลยไม่อยากรบกวนน่ะครับ”
เว่ยซูชิงตอบรับอย่างยิ้มๆ “เอาน่า ไม่โทษคุณหรอกค่ะ ใช่สิ เสี่ยวเยี่ย คุณคงไม่ปฏิเสธถ้าจะฉันจะมาร่วมงานในวันนี้หรอกนะ”
ไป๋เยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบานใจ “มาตอนนี้ก็ยังทันครับ เชิญเลย”
ไป๋เยี่ยช่วยพยุงเว่ยซูชิงเข้าไปด้านใน โดยที่ด้านหลังของเขานั้น หลิวป๋อหลี่ก็กำลังจ้องเกาเย่ว์หยางตาเขม็งก่อนจะเดินตามเข้าไป
ระหว่างที่เดินไปได้ครึ่งทาง ก็มีรถคันหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้ามา เดิมทีเว่ยซูชิงกะจะหันไปทางเกาเย่ว์หยางและหลิวป๋อหลี่ แต่จู่ๆ เธอก็เหลือบไปเห็นทะเบียนของรถคันนั้น เว่ยซูชิงก็ตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วหันมากระซิบกับไป๋เยี่ย “รถมาแล้ว! มาเร็ว!”
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็อึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วพลันรู้สึกกังวลใจขึ้นมา แต่ก็ยังคงเดินกลับไปข้างหลัง
หลังจากเว่ยซูชิงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เป็นฝ่ายเดินนำไปก่อนเอง
การมาถึงของรถหงฉีคนนั้นทำเอาถังฮั่นตกตะลึงไปด้วย
มีคนรู้จักรถคันนี้น้อยมาก น้อยมากจริงๆ!
ไป๋เยี่ยเองก็รีบเดินไปทางรถคันนั้นเช่นกัน
คนขับรถเห็นท่าทีของไป๋เยี่ยก็เข้าใจสถานการณ์ จึงขับรถเข้าไปทันที
เหล่าหลิวที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็มองไปยังรถหงฉีที่กำลังแล่นเข้าไปด้านในช้าๆ ด้วยสายตาว่างเปล่าพลางขมวดคิ้วลงด้วยความสับสน
เขาเป็นแค่นักธุรกิจเท่านั้น เป็นแค่คนมีเงินที่ผ่านอุปสรรคในปักกิ่งมามากมาย
นั่นคือทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเขา!
ทว่าปักกิ่งนั้นเป็นสถานที่แบบใดกัน
เหล่าหลิวรอบรู้แทบทุกเรื่อง ทว่าเขากลับไม่รู้จักเว่ยซูชิงเลย เพราะว่าเขาอยู่ในแวดวงที่แตกต่างกันเกินไป
เขาจึงหันไปถามชายที่อยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ผู้หญิงคนนั้นคือใครเหรอ”
ชายที่อยู่ข้างๆ ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง เขาหันกลับมาทางเหล่าหลิวและกระซิบ “ไปคุยกันข้างหลังดีกว่า”
ชายคนนั้นเป็นคู่ธุรกิจของเหล่าหลิว เขาจึงกล้าถามคำถามนั้น หลังจากที่ทั้งสองคนเดินไปข้างหลังแล้วก็เริ่มพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบกระซาบ “เธอคือเว่ยซูชิงจากคณะกรรมการสุขภาพ!”
เหล่าหลิวได้ฟังก็ตะลึงงันไป!
นี่มัน!
ตระกูลไป๋มีอำนาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เหล่าหลิวอดกลืนน้ำลายลงคอพลางจ้องมองไปยังโรงพยาบาลตรงหน้าด้วยความทึ่งไม่ได้
ชายคนนั้นพูดต่อ “เหล่าหลิว จำไว้นะ อยู่ที่นี่ห้ามพูดอะไรมั่วซั่ว ระวังปากของคุณด้วย!”
ชายคนนั้นพูดจบก็เดินนำไปข้างหน้า ปล่อยให้หลิวซื่อหมินยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตรงนั้น
หลังจากที่ทุกคนมาถึงแล้ว ก็มีพิธีตัดริบบิ้นอย่างเป็นทางการ
ทว่าเมื่อทุกคนแหงนหน้าไปยังกลุ่มคนที่จะมาตัดริบบิ้นบนเวที จู่ๆ พวกเขาก็ยกมือขึ้นปิดปากตนเองด้วยความเหลือเชื่อ!
แม้แต่ไป๋ตงหลินเองก็ด้วย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน!
เขายืนมองกลุ่มคนบนเวทีสลับกับไป๋เยี่ยก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วส่ายหัวไปมา ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
แม้พิธีตัดริบบิ้นจะกินเวลาไม่นาน แต่ก็เป็นที่ตราตรึงยิ่งนัก!
ระหว่างช่วงรับประทานอาหาร ถึงแม้ว่าคนใหญ่คนโตหลายคนจะไม่ได้เข้าร่วม แต่ก็ทำให้บรรดาคนที่มางานด้วยตนเองอึ้งกันไปเป็นแถบ
น่าแปลกที่งานเลี้ยงในวันนี้ช่างเงียบสงบผิดปกติเหลือเกิน