บทที่ 317 ตัดใจไม่ลง จะไม่ตัดใจก็ยากยิ่งนัก
หากพูดถึงสวีเป่าหมิง หากจะบอกว่าเขาเป็นคนดังคนหนึ่งก็ว่าได้
เขาเป็นคนที่มีความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ของแวดวงธุรกิจพอสมควร
แต่เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงเข้าใจความหมายแฝงของเหตุการณ์ตรงหน้า!
เขาเอาแต่คิดเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ก็ไม่ต้องการจะเข้าใจมันเลยสักนิด
อันที่จริง เขาได้เพิกเฉยต่อสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!
นั่นคือความแข็งแกร่ง!
คนที่ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมาตลอดเช่นเขามีความคิดว่าความสำเร็จของเขานั้นล้วนเกิดจากตนเองทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น สำหรับเขาแล้ว การที่ไป๋เยี่ยได้ครอบครองที่ดินของโรงพยาบาล 980 นั้นต้องเป็นผลมาจากเส้นสายเบื้องหลังเขาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สวีเป่าหมิงกลับไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขากำลังให้ความสำคัญอยู่นั้นลึกซึ้งกว่าที่เขาคิดมาก
แท้จริงแล้ว เรื่องเส้นสายก็เป็นเพียงแง่มุมหนึ่ง แต่เหตุผลที่ว่าทำไมเส้นสายจึงมีความสำคัญก็คือมันมักจะไปเกี่ยวพันกับคนใหญ่คนโต ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งระบบได้!
ในทางกลับกัน ไป๋เยี่ยเองก็มีเส้นสายของตนเองอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเส้นสายที่ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งแวดวงการแพทย์ในจีนและระดับโลก
ดังนั้นเมื่อความสามารถของคนคนหนึ่งแข็งแกร่งมากพอ ผู้คนก็จะเพิกเฉยต่อปัจจัยอื่นๆ
ผู้คนต่างอยากรู้ว่าไป๋เยี่ยจะใช้ความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มต่างๆ ไปสร้างสิ่งใดบ้าง
ผู้คนต่างคาดหวังในตัวเขาไว้สูง!
ไป๋ตงหลินจองห้องงานเลี้ยงที่โรงแรมห้าดาวซึ่งอยู่ไม่ไกล อาหารที่อยู่ในงานเลี้ยงล้วนเป็นอาหารหรูหราทั้งนั้น
เดิมทีไป๋เยี่ยคิดว่ามันออกจะเกินความจำเป็นไปหน่อย
ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเหมาะสมกับสถานการณ์มาก!
อย่างไรเสีย พิธีตัดริบบิ้นก็ถือเป็นงานใหญ่งานหนึ่ง ไม่ควรมีใครพลาดงานเลี้ยงนี้ไป
บวกกับทุกคนเองก็นำของขวัญมาแสดงความยินดีกันทั้งนั้น
ครอบครัวของไป๋เยี่ยต่างก็กำลังยุ่ง ไป๋เยี่ยจึงชวนเพื่อนจากโรงพยาบาลมาช่วยจัดการเรื่องในวันนี้
หลิวเสี่ยวกังและไป๋เยี่ยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขาจึงถูกชวนให้มาช่วยงานด้วย เขาแทบจะกลายเป็นผู้จัดการของวันนี้แล้ว ในขณะที่ซ่งเจี๋ยรับหน้าที่เป็นฝ่ายต้อนรับ ส่วนหลี่หมิงก็รับหน้าที่เป็นฝ่ายลงทะเบียน
นั่นทำให้ไป๋เยี่ยเริ่มกังวลว่าตนเองจะอ่านลายมือของแพทย์ศัลยกรรมคนนี้ออกสักกี่ตัวอักษร
สุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องมีได้มีเสียถูกไหม
แผนเดิมของไป๋ตงหลินคือจองห้องส่วนตัวสามห้อง มีโต๊ะเก้าตัวต่อห้องก็คงจะเพียงพอแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่องานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นก็ดันเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเสียอย่างนั้น หลิวเสี่ยวกังจึงรีบวิ่งมาหาไป๋ตงหลินทันที “คนมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลยครับ เกรงว่าโต๊ะเราจะไม่พอ”
ไป๋ตงหลินถึงกับตกตะลึง เมื่อเช้าเขาเพิ่งจะคิดเรื่องนี้ไปเอง
ไป๋ตงหลินจึงได้แต่พยักหน้า “ไว้ผมจะคุยกับผู้จัดการให้ ดูว่าเขาจะเพิ่มโต๊ะหรือห้องได้ไหม ว่าแต่ตอนนี้มีคนมากี่คนเหรอครับ”
หลิวเสี่ยวกังตอบ “ตอนที่ผมมาถึง หัวหน้าหลี่บอกว่ามีเกินสี่สิบคนครับ”
ไป๋ตงหลินได้ยินดังนั้น หัวใจของเขาก็เต้นระรัว
สี่สิบคนมันไม่น้อยเลยนะ…
มีคนมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ!
นี่เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย เมื่อทุกคนเห็นว่าเว่ยซูชิงมาที่นี่ พวกเขาต่างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรตามเพื่อน
กรุงปักกิ่งถือเป็นสถานที่ที่มีคนดังมากที่สุดแห่งหนึ่ง ใครๆ ต่างก็อยากถูกจดจำทั้งนั้น
โดยเฉพาะไป๋เยี่ย อาจกล่าวได้ว่าพิธีตัดริบบิ้นอันทรงเกียรตินี้คือฉากเปิดตัวของเขา
เขาต้องดึงดูดผู้คนจากทั่วทั้งกรุงปักกิ่งมาได้อย่างแน่นอน
ต่างคนต่างเรียกญาติสนิทมิตรสหายมาสานสัมพันธ์และทำความรู้จักกับไป๋เยี่ย เผื่อพวกเขาจะได้ร่วมงานในอนาคต
ซึ่งปกติแล้วไป๋เยี่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาเปิดประตูต้อนรับแขกเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นโรงพยาบาล แต่ก็จำเป็นต้องติดต่อกับผู้คนเสมอ เมื่อมีคนกลุ่มนี้แล้วก็ยิ่งสะดวกเข้าไปใหญ่
ภายในโรงแรมครึกครื้นอย่างยิ่ง ไป๋เยี่ยเองก็กำลังยืนต้อนรับคนอยู่หน้าประตู
น่าแปลกใจที่หลีจื่อเหยียนก็มาช่วยงานในวันนี้ด้วย เธอแต่งตัวสวยสดมาต้อนรับแขกอยู่ข้างๆ ไป๋เยี่ย
นั่นทำให้ไป๋เยี่ยค่อยรู้สึกมีหน้ามีตาอยู่บ้าง
ปกติเธอจะแต่งตัวเรียบๆ แต่ตอนนี้เธอกลับแต่งตัวดูเป็นทางการมากขึ้น ซึ่งนั่นไม่ทำให้เธอดูแปลกตาไปเลย กลับกันเธอดูจะสวยขึ้นมากด้วยซ้ำ ทำให้ผู้คนที่มาร่วมงานต่างรู้สึกสบายตา
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าในงานนั้นมีแขกผู้หญิงจำนวนมาก เธอจึงยิ่งสะดวกใจในการต้อนรับแขกมากขึ้น
ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ได้พูดอะไร แต่ภายในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
ผู้หญิงก็คือผู้หญิง!
หูไฉ่อวิ๋นมองทั้งสองคนจากไกลๆ ด้วยความคิดต่างๆ นานาที่ติดอยู่ในใจ หากว่ากันตามตรง หลังจากที่ได้พูดคุยกันในช่วงไม่กี่วันมานี้ เธอก็รู้จักจื่อเหยียนดีขึ้นมาก
หลีจื่อเหยียนเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน
เธอเป็นผู้หญิงที่ยิ่งคุณได้ใกล้ชิดกับเธอมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งค้นพบข้อดีของเธอและชอบเธอมากขึ้นเท่านั้น
เธอเป็นหญิงสาวผู้เด็ดเดี่ยว ใจกว้างและมีความรับผิดชอบ ทว่าในใจของเธอก็ยังคงโหยหาความรักดั่งเช่นในนิทานเรื่องเจ้าชายชาร์มมิ่งและสโนว์ไวท์อยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังเห็นคุณค่าในตนเองเช่นกัน
เธอเป็นหญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าเธอจะไม่มีโชคลาภ อำนาจมหาศาล หรือรูปลักษณ์งดงามหาใครเปรียบก็ตาม
เธอเป็นเพียงหญิงสาวนิสัยเรียบง่ายแต่กลับสง่างามคนหนึ่งเท่านั้น
บรรยากาศตรงหน้าอบอวลไปด้วยความมีชีวิตชีวา เมื่อแขกแต่ละคนหันไปเห็นไป๋เยี่ยอยู่กับหลีจื่อเหยียนต่างก็พากันหยอกล้อ
ผู้คนที่ปักกิ่งมักจะชอบพูดคุยกันอย่างสนิทสนมอยู่แล้ว พวกเขาจึงเรียกไป๋เยี่ยว่าน้องไป๋ และเรียกหลีจื่อเหยียนว่าน้องสะใภ้
ถึงแม้ว่ามันจะทำให้หลีจื่อเหยียนเขินจนหน้าแดง แต่ไป๋เยี่ยกลับมีความสุขมาก
ในขณะที่หลี่หมิงได้แต่นั่งตากระตุกอยู่ข้างๆ ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น…
เจ้าหมอนี่คิดจะพาลูกสาวเขาไปจริงๆ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น อารมณ์ของหลี่หมิงก็ผสมปนเปกันไปหมด ราวกับว่าเขาจะตัดใจก็ตัดไม่ลง แต่จะไม่ตัดใจก็ยากยิ่งนัก
อย่างไรเสียผู้ชายแบบไป๋เยี่ยก็หายากจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงสองวันที่ผ่านมา หลี่หมิงและไป๋ตงหลินก็ได้ไปดื่มเหล้าด้วยกัน ทำให้พวกเขารู้จักกันดียิ่งขึ้นและได้เห็นว่าครอบครัวไป๋ไม่ได้แย่เลย
หลี่หมิงคิดแล้วก็ถอนหายใจ โตแล้วก็คงไม่ต้องพึ่งพ่อแล้วแหละมั้ง!
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่หมิงเหลือบดูค่าของขวัญในสมุดบัญชีแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างน้อยลูกสาวของเขาก็ไม่ขาดแคลนเงินแล้ว…
คนพวกนี้รวยจริงๆ จะให้ของกำนัลอะไรก็ต้องมีมูลค่าหลักหมื่นขึ้นไปทั้งนั้น!
โชคดีที่ปัจจุบันมีการโอนเงิน ไม่งั้นคงจะต้องเตรียมเครื่องนับเงินมาด้วยจริงๆ แล้ว
หลี่หมิงเห็นลูกสาวของเขาและไป๋เยี่ยยืนคู่กันก็พลันยิ้มออกมา ไม่ใช่เพราะจำนวนเงิน แต่เป็นเพราะใบหน้าที่แดงก่ำและสายตาของลูกสาวเขาต่างหาก
ไม่มีใครจะเข้าใจลูกไปได้ดีกว่าพ่อแล้ว!