บทที่ 323 วิธีการที่ถูกคิดค้น
หลังจากที่ไป๋เยี่ยก้าวขึ้นเวทีแล้ว เขาก็มองผู้คนที่นั่งอยู่ด้านล่างก่อนจะโค้งคำนับลงเล็กน้อย “ยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้นะครับ ต่อไปการประชุมจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วครับ”
ไป๋เยี่ยและโมลโดใช้เวลาช่วงหนึ่งไปกับการจัดเตรียมการประชุมครั้งนี้อย่างตั้งใจ วันนี้พวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่การอธิบายเคสผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการศัลยกรรมกระดูกฉุกเฉินสักสองสามเคส
ซึ่งเป็นเคสทั่วไปนั่นเอง!
ทุกคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศัลยกรรมกระดูก ไป๋เยี่ยจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายความรู้และหัตถการขั้นพื้นฐาน ทว่าทันทีที่ไป๋เยี่ยเริ่มอธิบาย ทุกคนก็ต่างพากันตกตะลึง
การศัลยกรรมกระดูกฉุกเฉินถือเป็นศาสตร์ที่บูรณาการระหว่างองค์ความรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินและการศึกษาอาการบาดเจ็บบริเวณกระดูกเข้าด้วยกัน จากนั้นก็นำไปประยุกต์ใช้กับเคสกระดูกหักที่เฉพาะทางและมีข้อจำกัด
ในขณะนี้ รูปภาพหนึ่งถูกฉายขึ้นบนหน้าจอใหญ่ นั่นเป็นเคสผู้ป่วยเก่า แต่ก็เป็นเคสสุดแสนจะธรรมดา เช่นกัน เคสนี้มีซี่โครงหักหลายจุด ซึ่งกระดูกซี่โครงที่หักอาจแทงทะลุหัวใจและปอดได้ ยิ่งกว่านั้นผู้ป่วยยังขยับตัวไม่ได้ เพราะว่าหากมีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็อาจจะทำให้อาการทรุดลงกว่าเดิมได้
จะจัดการกับเคสนี้อย่างไรดี!
เคสนี้ถือเป็นเคสทั่วไปมาก แม้แต่ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลเองก็มีหัตถการมากมายหลายวิธีที่จะระบุอาการของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน โดยจะเรียกเคสแบบนี้ว่าเคสซี่โครงทะลุ!
ระหว่างที่ทุกคนกำลังจะปริปากพูด พวกเขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าแท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น!
นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ใช่ในโรงพยาบาล ที่นี่ย่อมมีปัจจัยภายนอกจากสภาพแวดล้อมด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราควรจะจัดการอย่างไรดี
ทันใดนั้นทั้งที่ประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนต่างเริ่มใช้ความคิด
จะประเมินอาการอย่างไรดี
จะวินิจฉัยได้อย่างไร
แล้วจะใช้วิธีไหนมาจัดการ
จะทำอย่างไร…
สถานการณ์ดังกล่าวต้องได้รับการประเมินในเวลาอันสั้น เพราะว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การประเมินอาการของคุณจะส่งผลต่อความเป็นความตายของผู้บาดเจ็บ!
จะทำอย่างไรดี
หนึ่งนาที…ห้านาที…สิบนาที…
ทุกคนต่างครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าจะคิดเยอะแค่ไหน นี่ก็เป็นปัญหาที่ยาก แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ไร้ผลลัพธ์แต่อย่างใด
มีบางคนที่ยืนขึ้นและแสดงความคิดเห็นของตนออกมา อย่างไรก็ตาม เมื่อความคิดเห็นเหล่านั้นพรั่งพรูออกมา บรรดาผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็พากันคัดค้านโดยที่ไม่รีรอให้ไป๋เยี่ยได้เอ่ยอะไร
แม้แต่พวกเขายังปฏิเสธความคิดของตนเองก่อนจะยืนขึ้นเลย!
แล้วจะจัดการกับเคสแบบนี้อย่างไรดีล่ะ
ทันใดนั้นไป๋เยี่ยก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “ณ ที่แห่งนี้ ผมจะขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับสัญญาณตามแต่ละสถานการณ์ของผู้ป่วย ผมขอเรียกมันว่า ‘วิธีการวินิจฉัยแบบพิเศษ’!”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยพูดจบ ผู้คนรอบๆ ก็พากันตกตะลึง!
เพราะว่า…
เพราะว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกอาการหรือว่าวิธีวินิจฉัยกันแน่
ทุกคนหยิบปากกาและกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเริ่มจดบันทึกทันที พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลเช่นนี้กับพวกเขาในที่ประชุม
นี่คือแนวคิดใหม่ใช่ไหม
ใช่แล้ว!
สิ่งนี้มีประโยชน์จริงๆ เป็นสิ่งที่บนโลกไม่เคยมีอยู่มาก่อน!
ทุกคนจ้องมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาจริงจัง แม้แต่เกาเย่ว์หยางเองก็ด้วย ถึงเขาจะเป็นนักวิชาการ แต่เขาก็ไม่เคยพบเห็นแนวคิดเช่นนี้มาก่อน ทว่า…เมื่อไป๋เยี่ยพูดถึงวิธีการวินิจฉัยแบบพิเศษ เขาก็ต้องเบิกตากว้าง เขารู้ดีว่าไป๋เยี่ยกำลังหมายถึงอะไร!
ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายของสิ่งที่เขาพูดถึงก็ชัดเจนอยู่พอตัว มันคือการตรวจวินิจฉัยจากการทำงานของหัวใจและปอด
วิธีการวินิจฉัยแบบพิเศษนี้ต้องเป็นวิธีการวินิจฉัยอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นวิธีการที่ตรงเป้าหมายและเป็นระบบซึ่งถูกคิดค้นเพื่อการวินิจฉัยเคสเฉพาะทาง
เกาเย่ว์หยางครุ่นคิด หัวใจของเขาก็พลันเต้นระรัว
นี่คือวิธีการวินิจฉัยที่ไป๋เยี่ยคิดค้นขึ้นเอง หลักวิธีการวินิจฉัยแบบพิเศษงั้นเหรอ หลักการของมันน่าจะเป็น…
ระหว่างที่เกาเย่ว์หยางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น บนหน้าจอก็ปรากฏภาพแสดงการส่องกล้องดูระบบไหลเวียนโลหิตและระบบทางเดินหายใจ
หลังจากที่ทำให้ภาพร่างกายของมนุษย์โปร่งใสแล้ว ก็จะแสดงให้เห็นระบบไหลเวียนโลหิต การทำงานของปอด กระบวนการหายใจและการฟอกเลือดดำเป็นเลือดแดง
ตลอดจนกระบวนการระบายอากาศของปอดและในระบบทางเดินหายใจ
นี่คือแผนภาพแบบเคลื่อนไหวที่แสดงการทำงานของระบบทางเดินหายใจของมนุษย์
ทุกคนได้เห็นสิ่งนี้แล้วก็อดตั้งตารอไม่ได้ โดยพวกเขาหวังว่าไป๋เยี่ยจะอธิบายรายละเอียดของหลักการ ‘วิธีการวินิจฉัยแบบพิเศษ’ ได้
ไป๋เยี่ยไม่ได้พูดอะไร เขาได้แต่เปลี่ยนภาพบนหน้าจอใหญ่ต่อไป ทันใดนั้นก็ปรากฏภาพเคลื่อนไหวของระบบไหลเวียนโลหิตหลังจากที่มีวัตถุแปลกปลอมเสียบทะลุซี่โครงใกล้ตำแหน่งหัวใจ
ทันใดนั้น!
ทุกคนก็เห็นบางอย่างที่แตกต่างออกไป!
ไม่นานนักทุกคนก็เริ่มตระหนักได้
ไป๋เยี่ยยังคงไม่พูด แต่ยังคงเปลี่ยนภาพต่อไป ภาพต่อไปเป็นภาพที่มีวัตถุแทงทะลุหน้าอกแต่ไม่โดนปอด…
ภาพถ่ายถูกสับเปลี่ยนไปทีละภาพ ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ได้ปริปากอธิบายอย่างละเอียด แต่ทุกคนก็เข้าใจแล้ว
ใช่แล้ว!
นี่คือพื้นฐานของสรีรวิทยา!
บนภาพถ่ายแสดงอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์หลังจากถูกวัตถุแทง
จากนั้น ไป๋เยี่ยก็เริ่มอธิบาย ภาพถ่ายบนหน้าจอก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นภาพเคลื่อนไหวแสดงผิวหนัง กล้ามเนื้อและกระดูกที่ปกคลุมอวัยวะต่างๆ…
ทันใดนั้นทุกคนก็กระจ่างขึ้นมา!
ที่แท้ ‘วิธีการวินิจฉัยแบบพิเศษ’ ก็คือการสังเกตลักษณะการแทงทะลุร่างกายแบบต่างๆ ที่สร้างผลกระทบต่อระบบในร่างกายของมนุษย์
ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐจริงๆ
ทุกคนถึงกับตกตะลึง!
ไป๋เยี่ยมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ย “นี่คือวิธีการวินิจฉัยแบบพิเศษครับ เป็นหลักการที่ผมค้นพบระหว่างอยู่ที่เมียนมา ต่อมาก็ได้นำมาวิจัยและศึกษาต่อจนพบว่านี่เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวินิจฉัยผู้บาดเจ็บในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ครับ!”
ทัศนคติที่ทุกคนมีต่อไป๋เยี่ยเปลี่ยนไปในทันที!
เด็กหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งเป็นผู้ค้นพบวิธีการวินิจฉัยแบบใหม่ นับเป็นเรื่องน่าสะพรึงยิ่งนัก อีกทั้งวิธีการนี้ยังเป็นเอกลักษณ์และไม่เคยมีใครคิดค้นมาก่อน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าขอบเขตความรู้ของไป๋เยี่ยนั้นกว้างขวางกว่านั้นมาก
สิ่งที่เขากำลังอธิบายอยู่เป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น
ไป๋เยี่ยพูดต่อ “นี่เป็นเพียงวิธีการตรวจสอบครับ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ทุกคนตามผมทันนะครับ ผมอาจจะพูดเร็วขึ้นหน่อย ไม่อย่างนั้นผมคงบรรยายหัวข้อที่หนึ่งจบไม่ทันเที่ยงแน่”
“ขั้นตอนต่อไปคือวิธีจัดการกับเคสเหล่านี้หลังจากที่ได้ทำการวินิจฉัยแล้ว การรักษาจะเป็นไปตามประเด็นต่อไปนี้ ซึ่งพวกเราต้องคอยติดตามผลให้ดี…”
ไป๋เยี่ยบรรยายอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทว่าบางครั้งเขาก็เผลอหลุดเอ่ยศัพท์เฉพาะทางขึ้นมาบ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำศัพท์ที่ไป๋เยี่ยสร้างขึ้นเอง เมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ทำให้หลายๆ คนฟังแล้วสับสนเล็กน้อย
สิ่งที่ไป๋เยี่ยมีอยู่ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นองค์ความรู้ที่ครอบคลุมขั้นตอนการวินิจฉัย การรักษาและการพยากรณ์โรคเป็นต้น
ยิ่งพวกเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าใด ก็ยังรู้สึกหวาดผวามากเท่านั้น
ตอนนี้แม้แต่สายตาที่เกาเย่ว์หยางมองไปยังไป๋เยี่ยก็ยังดูผิดแปลกไปจากเดิม…