บทที่ 324 ข้อพิพาท
นี่ถือเป็นองค์ความรู้ใหม่ล่าสุด และเป็นทักษะเลเวลหกที่ไป๋เยี่ยสร้างขึ้นเอง เพราะฉะนั้นไป๋เยี่ยจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญในทักษะนี้ที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม การแพทย์ไม่ได้อาศัยบุคลากรเพียงคนเดียวเท่านั้น ทุกคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ล้วนเปี่ยมไปด้วยองค์ความรู้ด้านการศัลยกรรมกระดูกและประสบการณ์ในวอร์ดที่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจกับหัตถการและเทคนิคต่างๆ ที่ไป๋เยี่ยอธิบายเพียงสังเขป
แต่…
เป็นเพราะพวกเขาเข้าใจสิ่งเหล่านั้นดีแล้ว ทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความหมาย คุณค่าและความสำคัญที่แฝงอยู่ได้มากยิ่งขึ้น
นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ!
เวลาผ่านเลยไปอย่างช้าๆ ไม่นานก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เดิมทีนี่ควรเป็นช่วงพักดื่มชา ทว่ากลับไม่มีใครไปพักเลย ไป๋เยี่ยจึงบรรยายต่อโดยไม่หยุดพัก
เทียบกับการกินดื่มแล้ว ทุกคนดูจะมีความสุขกับการเรียนรู้อย่างเต็มที่มากกว่า
ทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ย่อมไม่เว้นมื้ออาหารอยู่แล้ว ทว่าโอกาสที่จะได้เรียนรู้และพัฒนาเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่งนัก!
เป็นเวลากว่าหลายปีแล้วที่ไม่ได้รู้สึกอิ่มเอมใจกับการตื่นรู้เช่นนี้
ดังนั้นทุกคนจึงฟังสิ่งที่ไป๋เยี่ยพูดอย่างใจจดใจจ่อ
มื้ออาหารเที่ยงก็ยังคงเป็นบุฟเฟต์ ทว่าอาหารที่นี่ย่อมมีมาตรฐานสูงตามงานไปด้วย
แต่ถึงกระนั้น จิตใจของทุกคนก็ไม่ได้อยู่ที่มื้ออาหารเลย เพราะว่าพวกเขายังจดสิ่งที่ไป๋เยี่ยบรรยายเมื่อเช้าไม่หมดเลย
มีชื่อที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเยอะมาก และเพราะว่าไป๋เยี่ยบรรยายค่อนข้างเร็ว ทำให้บางคนตามไม่ทัน
มันแตกต่างจากในชั้นเรียนมาก ถ้าคุณไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์สอน ก็ยังไปทบทวนหลังเลิกเรียนได้ แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจสิ่งที่ไป๋เยี่ยพูดถึง…คุณจะไม่มีโอกาสได้ทวนอีกรอบ
ใครกันจะสนใจเรื่องมื้ออาหาร ผู้คนกว่าสามร้อยคนนั่งอยู่ในห้องอาหารขนาดใหญ่ ต่างพากันจับกลุ่มนั่งโต๊ะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แม้แต่เกาเย่ว์หยางเองก็ถกแขนเสื้อขึ้นระหว่างนั่งคุยกับหัวหน้าแผนกศัลยกรรมกระดูกของโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในปักกิ่ง
การมีตำแหน่งเป็นนักวิชาการถือเป็นเกียรติยศและเป็นที่ยอมรับ!
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีผู้คนรุ่นราวคราวเดียวกับเกาเย่ว์หยางเข้ามาร่วมวงพูดคุยด้วย ซึ่งช่วยเสริมบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
ที่นี่ไม่มีการพูดถึงตำแหน่งทางวิชาชีพ เกียรติยศหรือสถานะใดๆ มีเพียงการแลกเปลี่ยนความรู้และถกเถียงกันเท่านั้น
เดิมทีไป๋เยี่ยอยากจะกินอะไรบางอย่าง แต่เขาเจียดเวลาออกไปไม่ได้เลย ผู้คนต่างเอาแต่ลากไป๋เยี่ยเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย…
ไป๋เยี่ยจึงได้แต่มองจานอาหารตรงหน้าอย่างจนปัญญา เพราะเขาไม่ได้กินมันสักที!
เฮ้อ…
ความสิ้นหวังนี้ทำให้ไป๋เยี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหนีไป
เพราะเขาทั้งหิวข้าวทั้งกระหายน้ำ ตลอดทั้งเช้าเขาไม่ได้จิบน้ำเลยสักหยด
เมื่อเดินออกมาแล้ว ไป๋เยี่ยก็เดินมาสั่งอาหารแล้วกลับไปที่ห้องของตนเองทันที
หลังมื้ออาหารกลางวันจบลง เดิมทีไป๋เยี่ยอยากจะพักสายตาสักงีบ แต่เขากลับได้รับแจ้งว่ามีเหตุวิวาทกันในห้องอาหาร!
ที่แท้คนก่อเรื่องก็คือโยฮันและอาคามอสนี่เอง
ไป๋เยี่ยตะลึงไปครู่หนึ่ง เขารีบแต่งตัวให้เรียบร้อยและตรงไปที่ห้องอาหารชั้นบนทันที
น่าประหลาดที่อาคามอสและโยฮันเกิดมีปากเสียงกัน
อย่างไรพวกเขาก็มาจากองค์กรเดียวกัน เคยทำงานร่วมกันมาก็หลายปี ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่เหตุใดพวกเขาถึงทะเลาะกัน
ทั้งสองคนคงจะไม่ได้ไม่มีเหตุผลขนาดนั้นใช่ไหม
ไป๋เยี่ยคิดแล้วก็วิ่งไปที่ห้องอาหารทันที เมื่อไปถึงก็พบว่าสองคนนั้นถูกแยกออกจากกันแล้ว สีหน้าของแต่ละฝ่ายนั้นขึ้นสีดำแดง ทั้งยังถลึงตาใส่กันไม่พัก
อาคามอสกล่าว “โยฮัน คุณต้องกลับไป ทีมวิจัยทั้งหมดกำลังรอคุณอยู่!”
โยฮันแค่นหัวเราะ “กลับไปงั้นเหรอ คุณมันคนไม่มีความรับผิดชอบเลยจริงๆ คุณออกจากทีมวิจัยแล้วมาที่จีน อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าคุณจะทำอะไร”
อาคามอสรอให้อีกฝ่ายพูดจบ “ตอนนี้คุณเป็นคนรับผิดชอบแล้ว ดูสิ ทุกคนก็อยู่ที่นี่ คุณต้องรับผิดชอบทีมของคุณด้วย มาเข้าร่วมการประชุมน่ะได้ แต่คุณจะทำให้งานวิจัยล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้”
โยฮันกำลังจะปริปากเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นไป๋เยี่ยเดินเข้ามา เขาก็รีบหมุนตัวผละออกจากคนรอบข้าง ก่อนจะพูดกับไป๋เยี่ย “อาจารย์ครับ ผมอยากเรียนกับคุณ!”
ไป๋เยี่ยชะงักไปเล็กน้อย เขากำลังจะเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับถูกประโยคนี้หยุดยั้งไว้เสียก่อน
อาคามอสหยุดพูดพลางมองไปยังคนอื่นๆ ก่อนจะหันมาทางไป๋เยี่ยแล้วถอนหายใจ “อาจารย์ครับ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าพลางเลื่อนสายตามองรอบๆ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะมีปากเสียงกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้ง จึงเอ่ยปากถาม “เกิดอะไรขึ้น”
อาคามอสชี้ไปยังกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการจากเยอรมนีที่มาเข้าร่วมการประชุม “ตอนนี้โยฮันเป็นหัวหน้าทีมวิจัยแล้วครับ ถ้าเขาอยู่ที่นี่ต่อแล้วคนพวกนี้กลับไปที่นั่นก็จะไม่มีหัวหน้าทีมแล้ว งานวิจัยจะล้มเหลวได้ง่ายมากเลยนะครับ”
“นี่คือทีมที่พวกเราสร้างขึ้นมาและเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด พวกเขาเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังไงพวกเขาก็ต้องการหัวหน้าทีม ถ้าโยฮันไปแล้วทีมได้เละไม่เป็นท่าแน่!”
พูดจบ อาคามอสก็แสดงท่าทีใจหายออกมา
ทว่าโยฮันกลับแค่นเสียงหัวเราะ “แล้วตอนแรกคุณออกไปทำไมล่ะ”
อาคามอสถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สถานการณ์ตรงหน้าตกอยู่ในความเงียบงัน
ไป๋เยี่ยหันกลับไปมองกลุ่มคนเหล่านั้น คนที่อายุมากที่สุดมีอายุราวๆ สี่สิบปีได้ ส่วนคนอื่นๆ ก็น่าจะมีอายุประมาณสามสิบปี ทั้งหมดล้วนเป็นคนจากสถาบันวิจัยของอาคามอสที่ไฮเซนเบิร์ก
การสร้างและบ่มเพาะทีมแบบนี้เป็นเรื่องยาก เพราะว่าไม่เพียงแค่จะต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ต้องยุบทีมดีๆ เช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมทั้งสองคนถึงมีปากเสียงกัน
บรรยากาศเงียบเชียบอันแสนน่าอึดอัดนี้กินเวลาประมาณสองถึงสามนาที ก่อนที่ชายชาวเยอรมันที่ดูค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งจะค่อยๆ ก้าวออกมาแล้วเอ่ยปากขึ้น “ศาสตราจารย์โยฮัน ศาสตราจารย์อาคามอสแล้วก็อาจารย์ไป๋เยี่ยครับ ผมมีเรื่องอยากจะพูดสักหน่อย”
เสียงของชายคนนั้นดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้าง ทำให้ทุกคนหันมามอง
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ครับ”
ชายคนนี้เป็นคนฝรั่งเศส ทันทีที่เขาเห็นไป๋เยี่ยตอบรับก็เริ่มเอ่ยปากขึ้น “อันที่จริง…ศาสตราจารย์โยฮันกับศาสตราจารย์อาคามอสไม่ต้องทะเลาะกันหรอกครับ มันไม่จำเป็นเลย”
อาคามอสชะงักไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปด้วย
ชายคนนั้นกล่าวต่อ “จริงๆ ตอนที่เราอยู่ที่เมียนมาก็ได้เห็นความสามารถของอาจารย์ไป๋เยี่ยกันหมดแล้ว พวกเราเลยเกิดความคิดที่อยากจะเรียนรู้ต่อจากเขา แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว มันจะเป็นการเพิ่มภาระให้คุณมากกว่า แต่เพราะทุกคนก็อยากพัฒนาตนเองก็เลยไม่มีใครพูดอะไรครับ”
“แต่ถึงอย่างนั้น พอพวกเรารู้ว่าอาจารย์ไป๋เยี่ยสร้างห้องแล็บของตนเองขึ้นมาแล้ว พวกเราก็ได้คุยกันและตัดสินใจมาที่นี่ ด้วยความหวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมวิจัยของอาจารย์ไป๋เยี่ย”
“เพราะฉะนั้น…เรื่องที่ศาสตราจารย์อาคามอสกำลังกังวลอยู่มันไม่มีจริงหรอกครับ”
ผู้คนรอบข้างเองก็เริ่มเข้ามาโน้มน้าว
“ใช่แล้ว อาจารย์ไป๋เยี่ย พวกเรายินดีเข้าร่วมทีมของคุณนะ หวังว่าคุณจะให้โอกาส!”
“ได้โปรดอาจารย์ไป๋เยี่ย พวกเราอยากเรียนรู้จากคุณมาก”
“ศาสตราจารย์อาคามอส…”
เมื่อเห็นทุกคนพร้อมใจกับพูดดังนั้น อาคามอสและโยฮันก็หันมามองหน้ากันด้วยความสับสน…
ไม่มีใครคิดว่าวันหนึ่งเรื่องราวจะพัฒนามาจนถึงจุดนี้ได้
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว จู่ๆ มันก็เริ่มกลายเป็นเรื่องน่ายินดี รู้สึกมีความสุขจนออกหน้าออกตาเสียจริงๆ
คงดีถ้าทีมนี้เข้าร่วมกับไป๋เยี่ยได้
คนรอบข้างเองก็พลอยตกตะลึงไปตามๆ กัน…
นี่คือทีมวิจัยจากไฮเซนเบิร์ก เป็นทีมวิจัยชั้นนำของโลก…
จะจับมัดรวมกันแบบนี้เลยเหรอ
ทำได้เหรอ
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่ไป๋เยี่ยเพื่อดูท่าทีของเขา
อันที่จริง ตอนนี้ไป๋เยี่ยเองก็รู้สึกปั่นป่วนเช่นกัน เพราะว่าตอนแรกที่เขาเชิญคนกลุ่มนี้มา เขาก็มีความคิดที่จะดึงมาเข้าร่วมทีมของตนเองอยู่แล้ว
แต่ว่า…
ไม่คิดเลยว่ามันจะง่ายขนาดนี้
ตอนแรกคิดว่าจะต้องพยายามมากกว่านี้ซะอีก…
ไป๋เยี่ยถอนหายใจพลางส่ายหัวไปมา ง่ายเกินไปแล้ว…
เมื่อผู้คนรอบๆ เห็นไป๋เยี่ยทั้งถอนหายใจและส่ายหัวไปมาก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาในทันใด พวกเขาต่างคิดว่าไป๋เยี่ยจะไม่ยอมจึงเริ่มอธิบายขึ้นมา
“อาจารย์ไป๋ ผมจบปริญญาเอกจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดนะครับ…แถมยังได้เข้าร่วมกับ…”
“ผมจบจากมหาวิทยาลัย XX เคยเข้าร่วม…”
“ผมสามารถ…”
ไป๋เยี่ยมองตามแววตาอันกระตือรือร้นของหมู่คนพลันรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาเล็กน้อย