บทที่ 353 เตรียมตัวกลับประเทศ
ไป๋เยี่ยไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์รอบด้าน ตัวเขาเองไม่ได้มีความรู้ด้านวัสดุศาสตร์มากนัก ต่างจากหนานเฟยซีที่มีพรสวรรค์ด้านวัสดุศาสตร์เจ็ดดาว ในอนาคตเขาจะต้องกลายเป็นบุคลากรเลเวลเจ็ดอย่างแน่นอน
เขาเรียนจบปริญญาเอกจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังมีทักษะด้านวัสดุศาสตร์สูงถึงเลเวลห้า นับเป็นความสำเร็จที่ไม่ได้ได้มาโดยง่ายเลย!
สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียมีขนาดเล็กมาก ในนั้นมีนักศึกษาและอาจารย์รวมกันแล้วไม่ถึงสองพันคน ถึงอย่างนั้น คนจำนวนนั้นก็ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นบุคลากรชั้นนำในสาขาต่างๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าการจะสอบเข้าที่นี่ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน
หนานเฟยซีและไป๋เยี่ยมีอายุไล่เลี่ยกัน ทว่าหนานเฟยซีเรียนจบปริญญาเอกแล้ว ความหมายที่แฝงอยู่ก็ย่อมชัดเจนดี
ถึงแม้ว่าหน่วยกิตจากการทำธีสิสของคุณจะเพียงพอต่อการขอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียก็ตาม แต่เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ทางสถาบันเข้มงวดกับธีสิสมาก
ไป๋เยี่ยเงยหน้าขึ้นและเอ่ยถาม “เป็นไงบ้าง เจอที่ที่ใช่แล้วหรือยัง”
หนานเฟยซียิ้ม “เราเพิ่งได้เจอกันไม่ใช่เหรอ พูดตามตรงนะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการพัฒนาด้านวัสดุศาสตร์ของที่จีนมันล้าหลังเกินไป ผมก็อยากกลับไปที่นั่นอยู่หรอก!”
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา “เรามาทำด้วยกันไหมล่ะ”
หนานเฟยซีถึงกับผงะไป “พี่เขย! นี่เราอยู่ต่อหน้าคนอื่นนะ ทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมาล่ะ!”
สีหน้าของไป๋เยี่ยเริ่มบูดบึ้ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงโมโหร้าย “ไปไกลๆ เลย!”
เจ้าหมอนี่ ร้อยวันพันปีไม่เคยเปลี่ยนนิสัยเลย เป็นพวกแปลกแถมยังทะลึ่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ฉันหมายถึงเรื่องธุรกิจต่างหาก วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อรับสมัครคนเข้ามาทำงานด้วย ฉันเพิ่งจะก่อตั้งสถาบันวิจัยกระดูกขึ้น ยังขาดคนจากหลายแขนงรวมถึงคนจากสาขาวัสดุศาสตร์ด้วย…มาทำด้วยกันไหมล่ะ แต่ว่า ถ้านายกลับไปจะต้องเป็นหัวหน้านะ นายมั่นใจหรือเปล่า”
หนานเฟยซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาขมวดคิ้วเป็นปม “มีคู่หูด้วยไหม”
ไป๋เยี่ยแค่นหัวเราะ “เรื่องนั้นค่อยว่ากัน!”
แฟนตาซีแนะนำ
หลังจากนั้น ไป๋เยี่ยและหนานเฟยซีก็เดินทางไปนิวยอร์กเพื่อเยี่ยมพ่อแม่และหลิงเอ๋อร์
ทั้งครอบครัวมีความสุขกับการมาอย่างกะทันหันของหนานเฟยซีมาก สุดท้ายแล้วทั้งสองครอบครัวก็เข้ากันได้ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลายปีก่อน ตอนที่ไป๋ตงหลินเผชิญกับวิกฤตล้มละลาย ลุงหนานก็เป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้
บ้านที่นิวยอร์กเป็นบ้านพักตากอากาศเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย เพราะว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้อยู่ในตัวเมือง ที่อยู่อาศัยจึงไม่ได้แพงมากนัก ไป๋หลิงเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในนิวยอร์ก เป็นอันดับต้นๆ ของเครือไอวีลีก การแข่งขันจึงดุเดือดอยู่พอสมควร ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ไป๋ใช้วิธีไหนถึงพาหลิงเอ๋อร์เข้าไปในนั้นได้
จุดเด่นของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียคือคณะนิติศาสตร์ และไม่มีใครคาดคิดเลยว่าไป๋หลิงเอ๋อร์จะเลือกเรียนสาขานั้น
ครอบครัวไป๋พอใจกับอาชีพนี้มาก ต้องรู้ว่าแพทย์และทนายความล้วนเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นอาชีพที่ดีและมีเงินเดือนสูง
ไป๋เยี่ยอยู่ที่นิวยอร์กไม่นานก็กลับไปปักกิ่งพร้อมกับหนานเฟยซีและโมลโด
ส่วนคนอื่นๆ ยังต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ก่อนจึงจะตามมาได้
ไป๋เยี่ยต้องการแน่ใจว่าก่อนที่พวกเขาจะมา สถาบันของเขาจะต้องอยู่ในสภาพที่มั่นคงแล้ว
หลังจากที่ไป๋เยี่ยมาถึงปักกิ่ง โมนิกาก็ตามมาในวันที่สาม ซึ่งการมาเยือนของเธอก็สร้างความประหลาดใจให้ไป๋เยี่ยมาก
ความช่วยเหลือจากเธอทำให้ไป๋เยี่ยคลายความกังวลไปได้มากเลยทีเดียว
ปัจจุบันสถาบันมีอาคารหลักสี่หลัง ส่วนที่ตั้งดั้งเดิมของโรงพยาบาลก็ได้รับการวางแผนใหม่แล้วเช่นกัน
ถึงแม้ว่าโมนิกาจะไม่มีประสบการณ์ในการบริหารโรงพยาบาล แต่เธอก็มีหน้าที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
โดยเฉพาะเรื่องการโยกย้ายและจัดการคนไปจนถึงการสรรหาบุคลากร
เวลาผ่านไปช้าๆ มีผู้คนมาเข้าร่วมสถาบันมากขึ้นเรื่อยๆ แผนดำเนินงานเบื้องต้นของสถาบันจึงถูกกำหนดขึ้นด้วย
ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน สถาบันได้ดำเนินการสรรหาบุคลากรจำนวนมากอย่างต่อเนื่องจากมหาวิทยาลัยสำคัญๆ และจากสาธารณะ โดยจะคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญและแพทย์จากทุกสาขาอาชีพเป็นหลัก ส่วนเรื่องผู้นำนั้นไม่จำเป็นเลย
เพราะที่นี่มีผู้นำเพียงคนเดียว นั่นคือไป๋เยี่ย
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น เดิมทีมีการวางแผนว่าสถาบันจะเริ่มงานอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน
หนานเฟยซีจึงยื่นมือขวาของเขาออกมา “ยินดีที่ได้ทำงานด้วยกัน”
ตอนเที่ยง ทั้งสามคนมาได้มากินอาหารรสเลิศที่ไชน่าทาวน์โดยมีไป๋เยี่ยเป็นคนเลี้ยง
พวกเขามาถึงวิทยาเขตของสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียในช่วงบ่าย การรับสมัครก็เป็นไปอย่างราบรื่นด้วยความช่วยเหลือจากโมนิกาและหนานเฟยซี
หลังจากที่กลับไปในตอนค่ำ ไป๋เยี่ยและหนานเฟยซีก็มาหารือกันเกี่ยวกับความร่วมมืออย่างละเอียด ตอนแรกไป๋เยี่ยคิดจะให้หนานเฟยซีก่อตั้งสถาบันวิจัยของตนเอง โดยจะเป็นสถาบันที่มุ่งวิจัยและพัฒนาวัสดุ จากนั้นก็มาร่วมมือกับสถาบันของไป๋เยี่ย
อาจกล่าวได้ว่าวิธีนี้จะทำให้ทั้งสองคนได้รับผลประโยชน์ร่วมกันโดยไม่มีผลกระทบใดๆ
ทว่าหนานเฟยซีกลับไม่ได้มีความสนใจในความคิดนั้นแต่อย่างใด
“พี่เขย ถ้าผมอยากเป็นเจ้าคนนายคน ผมคงจะกลับไปสืบทอดกิจการที่บ้านแล้ว พ่อผมมีแค่วุฒิปริญญาตรียังทำได้เลย ผมก็มีความฝันของตัวเอง แต่ก็ขี้เกียจไปดูแลบริษัทเหมือนกัน เพราะงั้นผมตามพี่ไปดีกว่า!”
ในเมื่อตอนนี้หนานเฟยซีถูกจองตัวไว้แล้ว ต่อไปไป๋เยี่ยก็คุยกับเขาเรื่องความร่วมมือได้อย่างละเอียด จึงไม่เป็นที่กังวลนัก
แต่ถึงกระนั้น ไป๋เยี่ยก็ยังคงอยากให้หนานเฟยซีมีอิสระในการตัดสินใจเช่นกัน โดยเขาสัญญาว่าเมื่อกลับประเทศจีนไปจะสร้างสถาบันวิจัยด้านวัสดุแล้วให้หนานเฟยซีเป็นคนรับผิดชอบการวิจัยวัสดุ
จากนั้นก็นำผลการวิจัยไปจดสิทธิบัตรและแบ่งผลประโยชน์กัน
หนานเฟยซีพอใจกับข้อเสนอนั้นมาก เงื่อนไขเหล่านั้นที่ไป๋เยี่ยพูดมาก็ฟังดูดีมากเลยทีเดียว
เพราะถึงแม้ตอนนี้เขาจะอยู่ที่อเมริกา แต่เขายังคงเป็นนักวิจัยระดับล่างสุดที่ได้ทำแค่การวิจัยขั้นพื้นฐาน ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะเชิดหน้าชูตาได้
เพราะฉะนั้นความมั่นใจของหนานเฟยซีจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เขาหลงใหลไปกับการกลับไปที่ประเทศจีนแล้วมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จ
ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้จากการทำวิจัยจะขึ้นอยู่กับสภาพตลาดในตอนนั้น ตอนนี้จึงยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ
แต่ถึงกระนั้น ประเด็นนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความตื่นเต้นของหนานเฟยซี
การรับสมัครบุคลากรเป็นไปอย่างราบรื่นมาก ไป๋เยี่ยใช้เวลากว่าสองวันในการค้นหาผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาที่มีพรสวรรค์และทักษะระดับห้าดาวขึ้นไป
ตอนนี้ทั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ทำวิจัยที่เกี่ยวข้องล้วนถูกซื้อไว้แล้ว เงินทุนกว่าสองพันล้านหยวนถูกจับจ่ายใช้สอยไปอย่างรวดเร็วจนไม่อาจหยุดมือได้
การทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มีค่าใช้จ่ายที่สูงจริงๆ!
เงินหลายร้อยล้านถูกจ่ายออกไปภายในระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน พูดแล้วก็ฟังดูน่าสะพรึง
แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่จบแค่นั้น โมนิกาได้เริ่มจัดตั้งแผนงานต่างๆ ตามที่ไป๋เยี่ยได้วางแผนไว้
ซึ่งภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม โมนิกาก็จะทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้น ไป๋เยี่ยจึงไม่กังวลเรื่องสถาบันแล้ว
ทว่าจู่ๆ ไป๋เยี่ยกลับได้รับสายจากเกาเย่ว์หยาง