บทที่ 354 รับสมัครนักวิชาการทุนฉางเจียง
เกาเย่ว์หยางเห็นว่าการขอให้เลขาของเขาช่วยเตือนความจำทุกวันนั้นได้ผลดีมาก ถึงมันจะน่ารำคาญไปบ้างก็ตาม ทว่าเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยินชื่อไป๋เยี่ย
ช่วงนี้ไป๋เยี่ยมาที่ยูเนียนบ่อยมาก โดยเฉพาะที่ห้องผู้อำนวยการ เขาดูจะคุ้นชินกับมันมาก!
หลังจากที่ไป๋เยี่ยได้รับสายจากเกาเย่ว์หยางว่ามีเรื่องเร่งด่วน เขาก็ไม่รีรอ รีบขึ้นแท็กซี่ตรงมาที่นี่ทันที
“อาจารย์เกาเรียกผมมามีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ” ไป๋เยี่ยถาม
เกาเย่ว์หยางพยักหน้า “นั่งลงสิ ผมมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ตอนนี้โครงการนักวิชาการฉางเจียงกำลังรับสมัครคนอยู่ คุณสนใจไหม”
ไป๋เยี่ยได้ฟังดังนั้นก็เบิกตากว้าง ทำไมเขาจะไม่สนใจล่ะ
หลังจากที่เปิดใช้งานระบบฉายากิตติมศักดิ์ ไป๋เยี่ยก็ได้รับฉายาจากโครงการเชียนเหริน บนหน้าจอโปร่งแสงนั้นปรากฏข้อความที่เขียนไว้ว่า ‘หนึ่งพันคนจากทั้งชาติ’
โครงการเชียนเหรินมีไว้สำหรับผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ดังนั้นโบนัสที่จะได้รับจากฉายานี้ส่วนใหญ่จึงอยู่ในสาขางานวิจัย แต่ถึงกระนั้นช่วงนี้ไป๋เยี่ยก็ไม่ได้ทำงานวิจัยเลย จึงยังไม่เห็นผลมากนัก
[หนึ่งพันคนจากทั้งชาติ: ในฐานะที่คุณเป็นยอดบุคลากรในสาขาวิชาที่กำลังศึกษา คุณจะต้องแบกรับหน้าที่ในการพัฒนาบุคลากรในสาขาวิชาของคุณ เมื่อใช้งานฉายานี้ คุณจะได้รับสิทธิพิเศษดังต่อไปนี้:
1. โบนัสค่าประสบการณ์ทักษะการวิจัย 1.5 เท่า
2. เพิ่มโอกาสในการค้นพบนวัตกรรมใหม่]
เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อไป๋เยี่ยได้ข่าวเรื่องโครงการนักวิชาการฉางเจียงจึงคาดหวังไปด้วย
เกาเย่ว์หยางยื่นเอกสารในมือให้ไป๋เยี่ย “อ่านนี่สิ ประกาศเกี่ยวกับโครงการนักวิชาการฉางเจียง”
โครงการนักวิชาการฉางเจียงมีการระดมทุนมาตั้งแต่ปี 1998 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสถานะทางวิชาการและปรับปรุงหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศจีน
ไป๋เยี่ยรู้แค่ว่าโครงการนักวิชาการฉางเจียงเป็นโครงการเฟ้นหาบุคลากรอย่างหนึ่ง แต่เขาไม่เข้าใจมันสักเท่าไหร่ หลังจากอ่านข้อมูลดูแล้วเขาจึงขมวดคิ้วลงเล็กน้อย
เพราะว่าโครงการนักวิชาการฉางเจียงนี้มีส่วนช่วยในการดึงนักวิชาการเข้ามารับตำแหน่งอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ
ทุกๆ ปีรัฐบาลจะช่วยสถาบันอุดมศึกษาจัดหาศาสตราจารย์ทรงคุณวุฒิจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคนและศาสตราจารย์บรรยายพิเศษอีกห้าสิบคน ศาสตราจารย์ทรงคุณวุฒิจะอยู่ในตำแหน่งเป็นระยะเวลาห้าปีและจะได้รับเงินสนับสนุนราวๆ สองแสนหยวนต่อปี ส่วนศาสตราจารย์บรรยายพิเศษจะอยู่ในตำแหน่งสามปีและจะได้รับเงินสนับสนุนสามหมื่นหยวนต่อเดือน ซึ่งจะจ่ายตามระยะเวลาทำงานตามความเป็นจริง
แต่!
เมื่อไป๋เยี่ยลองพิจารณาเงื่อนไขพื้นฐานแล้วเขาก็เริ่มลังเล เพราะว่าศาสตราจารย์ทรงคุณวุฒิจะต้องทำงานเต็มเวลา!
เงื่อนไขโดยทั่วไปคือจะต้องมีวุฒิการศึกษาปริญญาเอก เคยทำงานอยู่แนวหน้าด้านการสอนและการวิจัย ต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดวิชาความรู้ มีศีลธรรม ฯลฯ
แต่เมื่ออ่านมาถึงข้อสุดท้าย ไป๋เยี่ยก็ปฏิเสธได้โดยปราศจากความลังเล
ในข้อความระบุไว้ว่า ‘ต้องทำงานเต็มเวลาตามระยะเวลาการจ้างงานในสถาบันอุดมศึกษา และจะต้องทำงานเต็มเวลาภายในระยะเวลาหนึ่งปีหลังจากลงนามในสัญญาจ้างงาน’
ไป๋เยี่ยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่อยากผูกมัดตนเองไว้กับที่ที่เดียวเพียงเพราะฉายากิตติมศักดิ์
แล้วยังมีตำแหน่งศาสตราจารย์บรรยายพิเศษที่ค่อนข้างยืดหยุ่นกว่าอีก ทว่า…ผู้ที่เคยทำงานแนวหน้าด้านการสอนก็ควรจะดำรงตำแหน่งสูงๆ หรือตอบสนองต่อความต้องการของตนเองมากกว่านั้น…
ความคิดของไป๋เยี่ยยุ่งเหยิงไปหมด เขาไม่เคยเป็นอาจารย์ที่ต่างประเทศมาก่อนจึงเป็นเรื่องค่อนข้างยาก
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์บรรยายพิเศษนั้นแตกต่างจากศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ตรงที่แค่ต้องทำงานในสถาบันอุดมศึกษาเป็นเวลาสองเดือนต่อปีเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมใดๆ
ในความเป็นจริง การสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเป็นเวลาสองเดือนนั้น สามถึงห้าวันอาจจะได้เข้าคลาสสักหนึ่งครั้ง หรือไม่ก็มีแค่หนึ่งคลาสต่อสัปดาห์เท่านั้น อย่างไรเสียนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญที่มาดำรงตำแหน่งนี้ได้ก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นอยู่แล้ว!
แต่ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะเคยมีประสบการณ์ในต่างประเทศมาก่อน แต่เขาก็ยังไม่เคยเป็นอาจารย์เลยสักครั้ง!
นี่จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก
เฮ้อ หรือว่าเราจะต้องมองฉายากิตติมศักดิ์ลอยหายไปต่อหน้าต่อตากัน
ทว่าทันใดนั้น แววตาของไป๋เยี่ยก็เปล่งประกายขึ้นมา เพราะในเมื่อวันนี้เกาเย่ว์หยางเป็นคนเรียกเขามา ก็ดูเหมือนว่าจะต้องมีอะไรแน่ๆ
ไป๋เยี่ยจึงตั้งใจถอนหายใจออกมา “อาจารย์เกาครับ ผมไม่ตรงกับเงื่อนไขสักข้อเลย”
เกาเย่ว์หยางเห็นสีหน้าอันหดหู่ของไป๋เยี่ยก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อย การที่เขาเอาชนะไป๋เยี่ยได้สักเรื่องทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม…เกาเย่ว์หยางกลับมองข้ามสิ่งหนึ่งไป นั่นคือดูเหมือนว่าตั้งแต่เริ่มมีโครงการนักวิชาการฉางเจียง คนที่มีอายุน้อยที่สุดในโครงการก็อายุปาไปสักสามสิบเจ็ด สามสิบแปดปีแล้ว!
“ก็เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ได้นี่ คุณไม่ได้อ่านเงื่อนไขพิเศษเหรอ คนที่ทำผลงานดีเด่นและได้รับรางวัลระดับโลกจะได้รับการพิจารณาก่อน คุณสมัครได้นี่นา มาเป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ที่ยูเนียนไง คุณคิดว่ายังไงบ้างล่ะ ไม่ใช่ว่าตอนแรกคุณจะมาสอบเข้าที่ยูเนียนหรอกเหรอ ก็ถือว่านี่เป็นการชดเชยไปสิ”
“อีกอย่างนะ เสี่ยวเยี่ย ผมขอพูดตามตรง ตอนนี้คุณยังอายุน้อยมาก การประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ถือเป็นเรื่องดี แต่มันก็เป็นเรื่องไม่ดีเช่นกัน คุณจะต้องปักหลักอยู่ที่นี่ เวลาสามหรือห้าปีมันไม่นานเกินไปสำหรับคุณหรอก ภายในเวลาไม่กี่ปีนี้คุณจะได้สะสมประสบการณ์มากมาย นี่แหละคือหนทางแห่งการเรียนรู้!”
ไป๋เยี่ยรู้ดีว่านี่คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนทั่วไป เพราะว่าการได้เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ที่วิทยาลัยแพทย์ยูเนียนนับเป็นเกียรติยศอันสูงส่งเหนือจินตนาการ
ยิ่งได้เป็นศาสตราจารย์ที่วิทยาลัยแพทย์ยูเนียนพ่วงกับตำแหน่งกิตติมศักดิ์จากโครงการนักวิชาการฉางเจียงซึ่งเป็นตำแหน่งพิเศษ ก็ยิ่งสูงส่งกว่าศาสตราจารย์ทั่วไปแน่นอน
นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมภายในยูเนียนทั้งด้านการทำงาน การเรียนรู้ การวิจัยและด้านอื่นๆ ยังเอื้อด้วย…
หากกล่าวตามตรงคงต้องบอกว่าคุณใช้ยูเนียนเป็นเวทีในการทำอะไรหลายอย่างได้!
ทว่าไป๋เยี่ยยังคงส่ายหัวไปมา “ผมขอโทษนะครับ อาจารย์เกา อาจารย์เองก็รู้ว่าผมทำงานเต็มเวลาที่ยูเนียนตลอดทั้งห้าปีไม่ได้”
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลพร้อมกับการได้มีอิสระ!
ตอนนี้ไป๋เยี่ยมีเงินมากกว่าสองแสนหยวน อีกทั้งการไปฮอลลีวูดครั้งนี้ยังทำให้เขาได้รับรายได้มาอีกสองล้านดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงินกู้จากธนาคารอีกกว่าพันล้านหยวน
แต่ถ้าเรามาทำงานที่ยูเนียน…
ใครจะเป็นคนหาเงินไปจ่ายหนี้ล่ะ
เพราะฉะนั้นไป๋เยี่ยจึงปฏิเสธไปโดยแทบไม่ต้องคิด
เกาเย่ว์หยางได้ฟังดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะคาดเดาคำตอบนี้ได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากก็ตาม แต่…เขาก็ยังคงหวังว่าตนจะโน้มน้าวไป๋เยี่ยได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เกาเย่ว์หยางก็ยกยิ้มขึ้น “อืม ผมก็พอเดาคำตอบได้อยู่หรอก เฮ้อ…ผมรั้งคุณไว้ไม่ได้จริงๆ”
ไป๋เยี่ยรู้สึกสลดใจเล็กน้อยถึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์เกา คือว่า…ถ้าเป็นศาสตราจารย์บรรยายพิเศษ ผมคิดว่าผมน่าจะพอทำได้นะครับ!”
เกาเย่ว์หยางได้ยินเช่นนั้นก็รู้ได้ในทันทีว่าเด็กคนนี้ยังไม่ยอมแพ้
แต่เงื่อนไขในการเป็นศาสตราจรย์บรรยายพิเศษคือต้องเคยเป็นอาจารย์ที่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอ
อันที่จริงแล้ว โครงการนักวิชาการฉางเจียงนั้นมีไว้สำหรับศาสตราจารย์จากต่างประทศเป็นหลัก เพราะผู้คนต่างคิดว่าบุคลากรภายในประเทศจีนนั้นยังมีคุณสมบัติไม่ตรงตามเงื่อนไข
เกาเย่ว์หยางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จริงๆ แล้ว ศาสตราจารย์บรรยายพิเศษเจาะกลุ่มอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างประเทศเป็นหลักซะมากกว่านะ มันก็คือการเชิญชวนให้คนเข้ามารับหน้าที่บรรยายแบบอ้อมๆ นั่นแหละ อืม…ในเอกสารก็ไม่มีข้อยกเว้นนะ”
ไป๋เยี่ยพลันนึกถึงร็อคกี้ผู้เป็นถึงหัวหน้าแผนกศัลยกรรมกระดูกที่โรงพยาบาลลอสแอนเจลิสที่เขาได้รู้จักเมื่อตอนอยู่ที่ฮอลลีวูดขึ้นมา
โรงพยาบาลลอสแอนเจลิสเป็นโรงพยาบาลในเครือของวิทยาลัยแพทย์แคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการเรียนการสอนด้วย ตอนนั้นร็อคกี้เองก็หวังว่าจะได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยของไป๋เยี่ยและเชิญให้ไป๋เยี่ยเข้ามาเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยด้วย
แต่เพราะว่าตอนนั้นไป๋เยี่ยยังมีเรื่องด่วนต้องจัดการจึงไม่ได้ตอบตกลงไปในทันที ได้แต่บอกว่าจะให้ค่อยๆ เจรจากันไป
ถ้าเราตกลงไปเป็นอาจารย์ที่นั่น เราจะตรงตามเงื่อนไขหรือเปล่านะ
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็ถามออกไป “อาจารย์เกาครับ ผมขอถามหน่อย ถ้าผมเคยเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ผมจะเลือกข้อที่สองได้ใช่ไหมครับ”
เกาเย่ว์หยางชะงักไปเล็กน้อย ทว่าเขาก็พยักหน้าลง “เงื่อนไขข้างต้นไม่มีข้อไหนยากเกินไปหรอก คุณเองก็มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขสูงๆ ได้เหมือนกัน ถ้าว่ากันด้วยเหตุผลก็คือ ขอแค่คุณเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยต่างประเทศก็สมัครได้แล้ว”
เกาเย่ว์หยางเสริม “แต่จะต้องเป็นสถาบันระดับสูงเท่านั้น คุณจะไปอยู่มหาวิทยาลัยไหนตามใจชอบไม่ได้ อันที่จริงเงื่อนไขนี้ก็ต้องการสื่อให้เห็นว่าคุณได้รับการยอมรับจากสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลกว่ามีศักยภาพในการเป็นอาจารย์ นี่แหละสิ่งที่เขาต้องการ!”
“เพราะฉะนั้นเงื่อนไขข้อนี้ถือว่ายากมากจริงๆ จะมีแค่ความสามารถไม่ได้”
ไป๋เยี่ยได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเป็นมหาวิทยาลัยแบบไหนล่ะ ในเมื่อต่างประเทศไม่มีมาตรฐานอย่าง 985 และ 211 แต่ยังไงก็คงมีมาตรฐานการประเมินนั่นแหละ ไป๋เยี่ยคิดเรื่องนี้และตัดสินใจไปถามร็อคกี้ว่ามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเป็นมหาวิทยาลัยแบบไหน และเรียกได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้หรือไม่
เกาเย่ว์หยางเห็นว่าสีหน้าของไป๋เยี่ยดูผิดแปลกไปก็คิดว่าตนคงทำลายความมั่นใจของเขาไปไม่น้อย จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “เอาน่า คุณไม่ต้องกังวลหรอก ผมเชิญคุณมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยของผมได้นะ ถึงคุณจะไม่มีชื่อในโครงการนักวิชาการฉางเจียง แต่มันก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละ แถมคุณยังมีอิสระมากกว่าด้วย คุณจะมีเวลาเพียงพอต่อการไปทำเรื่องอื่นของคุณนะ คุณคิดว่ายังไงล่ะ”
ไป๋เยี่ยมองที่หน้าปัดนาฬิกาของเขา ตอนนี้ที่ลอสแอนเจลิสน่าจะเป็นเวลาประมาณห้าทุ่มแล้ว ไว้ค่อยคุยแล้วกัน ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ขอบคุณมากครับอาจารย์เกา เดดไลน์สำหรับเรื่องนี้คือวันไหนเหรอครับ”
เกาเย่ว์หยางตอบ “เดดไลน์คือวันจันทร์หน้า ถ้าคุณอยากเข้าใจอะไรมากขึ้น ผมช่วยดันคุณขึ้นเป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ได้นะ”
วันนี้เพิ่งจะเป็นวันอังคาร ไป๋เยี่ยมีเวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งสัปดาห์ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว ไป๋เยี่ยก็กล่าวขอบคุณและลุกเดินออกไปทันที
เกาเย่ว์หยางมองตามร่างที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปของไป๋เยี่ยพลางยกยิ้ม
บางทีความล้มเหลวของไป๋เยี่ยในครั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ สุดท้ายแล้วอะไรที่มันราบรื่นมาโดยตลอดก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ชีวิตคนเราก็ต้องมีขึ้นมีลงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
ทว่าในความเป็นจริง ไป๋เยี่ยไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย…