ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 217 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-6

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 217 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-6

แม้จิตวิญญาณห้ายอดดรุณจะเชื่อมโยงกัน แต่ต่างคนต่างอาศัยอยู่ห่างไกลกันยิ่งนัก

แบ่งเป็นห้าทิศทางคือทิศประจิม บูรพา ทักษิณ อุดรและศูนย์กลางของหอทรงภูมิ

ดรุณสกัดจุดย่อมอยู่ศูนย์กลาง

ด้านข้างที่พักอาศัยของเขาคือเหลาสุราแห่งหนึ่ง

แน่นอนว่าเป็นเหลาสุรากินดื่มอย่างถูกต้องชอบธรรม

ไม่ใช่หอนางโลมเช่นหอจันทร์กระจ่าง

ดรุณสกัดไม่โปรดปรานสตรีกามารมณ์และไม่ถนัดดื่มสุรา

สิ่งเดียวที่โปรดปรานคือการทำอาหาร

ถึงกับมุ่งหน้าไปเมืองหลวงและคุกเข่าขอคารวะฝากตัวเป็นศิษย์หน้าจวนของหม่าเหวินเชายอดนักปรุงอาหารสามวันสามคืน

หม่าเหวินเชาประทับใจกับความดื้อรั้นจึงให้โอกาสเขา

ขอให้ดรุณสกัดจุดทำข้าวผัดไข่หนึ่งจาน

แต่เมื่อดรุณสกัดหยิบมีดขึ้นมา หม่าเหวินเชาก็หันหลังหลับไปแล้ว

“สิ่งต่างๆ ใช้เพื่อเสริมและบำรุงร่างกายมนุษย์ แต่มือเจ้า มีดเจ้าล้วนเป็นโศกนาฏกรรมนองเลือด มือเช่นนี้ มีดเช่นนี้อาหารที่ทำออกมา กินเข้าไปจะทำให้อายุขัยสั้นลง”

หม่าเหวินเชากล่าว

นี่นับว่าเป็นโทษประหารสำหรับดรุณสกัดจุด

โทษประหารในเส้นทางพ่อครัวของเขา

แต่ดรุณสกัดจุดไม่ใช่ผู้ที่ยอมแพ้ง่ายๆ

ทว่าเขาก็ยังฟังคำพูดของหม่าเหวินเชา

เขาสังหารคนไปมากมายก็จริง

แต่คนเหล่านั้นไม่มากก็น้อย เบาหรือหนักล้วนมีเหตุผลว่าเหตุใดจึงสมควรตายหรือสมควรถูกเขาฆ่าทั้งสิ้น

ดรุณสกัดจุดไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ

แต่ลูกค้าทานอาหารธรรมดาไม่ใช่ผู้ที่สมควรตายและไม่ใช่ผู้ที่สมควรถูกเขาฆ่าทิ้ง

ดังนั้นหลังกลับจากเมืองหลวง เขาก็เอาแต่ปรุงอาหารให้ตนกินเท่านั้น

หากอายุขัยสั้นลง ก็ลดอายุขัยของตนให้สั้นลงเสีย

ถึงอย่างไรอายุขัยคนผู้นี้ก็ใช้ไปวันๆ

แทนที่จะให้ระมัดระวัง สู้ข้ามผ่านความกลัวนั้นยังดีกว่า

สู้ใจกว้างเสียหน่อย สง่างามเสียบ้าง

ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปหยิบยืมหม้อและเตาในเหลาสุราข้างที่พักอาศัยทุกวัน

ปรุงอาหารให้ตนเองกิน

และอาหารที่เขาทำก็เหมือนกันทุกวัน

เพราะดรุณสกัดจุดคิดว่ามีเพียงการกินอาหารมื้อเดียวกันทุกวันเท่านั้นจึงจะสามารถสัมผัสได้ว่าตนเองก้าวหน้าหรือไม่

แม้ว่าบางครั้งข้าวผัดไข่จะทำให้เขาอยากอาเจียนก็ตาม

แต่เขาก็ยังยืนหยัดต่อไป

อันที่จริงทักษะการปรุงอาหารของเขายอดเยี่ยมอยู่แล้ว

อย่างน้อยก็ไม่แย่ไปกว่าพ่อครัวในเหลาสุรา

แต่เขาทำเพียงข้าวผัดไข่เท่านั้น

และไม่ยอมให้ผู้อื่นลิ้มชิมมัน

หลังจากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป

ทุกคนกลับเกรงกลัวเขามากยิ่งขึ้น

เพราะไม่มีผู้ใดกินข้าวผัดไข่ได้สามมื้อต่อวันและสามร้อยหกสิบห้าวันต่อปี

ดรุณสกัดจุดทำได้แล้ว

อีกทั้งเขายังสามารถสังหารคนได้ทุกสามวันเป็นเวลาสามร้อยหกสิบห้าวันต่อปี ทุกวันล้วนสวมใส่รองเท้าไม่ซ้ำกันสักวัน

เพราะเขาไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ในวันที่เดินเท้าเปล่าและถูกก้อนหินบาดฝ่าเท้าเมื่อครั้งเยาว์วัยอีกต่อไป

ดังนั้นเขาจึงหลงใหลในรองเท้า

แต่คู่นี้ที่สวมบนเท้าสวมมาได้สามวันแล้วและยังไม่ได้เปลี่ยนมันด้วยซ้ำ

แสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานที่เขามีต่อรองเท้าคู่นี้

จนถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่สามวันแล้ว

ดรุณสกัดจุดก็ยังไม่เปลี่ยน

เพราะเขาได้พบกับดรุณอีกสามคนบนถนน

พวกเขาคว้าน้ำเหลวในการลอบสังหารหลิวรุ่ยอิ่งและกลับมายังหอทรงภูมิ

เหลือเวลาไม่มากก่อนงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมจะจัดขึ้นที่เมืองหลวง

เวลาใกล้เข้ามา ดรุณสกัดจุดควบม้าไปตามถนนพร้อมพาอีกสี่คนที่เหลือไปด้วย ผ่านค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวตลอดทางจนถึงเมืองจิ่งผิง

เดิมหมายจะพักผ่อน กินอาหารอย่างเต็มที่ในร้านอาหารแห่งนี้ รอจนตะวันใกล้จะตกดินค่อยเดินทางไปหอทรงปัญญา

คิดไม่ถึงว่าจะพบกับเซียวจินข่าน

มีประตูเล็กๆ อยู่ด้านหลังร้านอาหาร

ประตูเล็กๆ นำไปสู่ลานด้านหลัง

นอกจากเยี่ยเหว่ยและเซียวจินข่าน ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีสถานที่เงียบสงบเช่นนี้ในร้านอาหารแห่งนี้

ที่นี่เป็นสถานที่ที่เยี่ยเหว่ยเมามายเป็นเวลาสิบวันในทุกเดือน

ในลานด้านหลังไม่มีหญ้ารกรุงรังแต่อย่างใด

ไม่มีแม้แต่ต้นไม้

เซียวจิ่นข่านและดรุณสกัดจุดเดินเข้าไปในลานด้านหลัง

เซียวจินข่านชิดด้านใน

ดรุณสกัดจุดชิดด้านนอก

มือขวาดรุณสกัดจุดยกมีดขึ้น

มือซ้ายถือฝักมีดไพล่ไว้ด้านหลัง

เซียวจินข่านไม่ได้เคลื่อนไหว

เขาแหงนหน้ามองฟากฟ้า

ชั้นเมฆบนท้องฟ้าดูเหมือนจะหนากว่าตอนที่เขาเพิ่งมาถึงเมืองจิ่งผิงหลายส่วน

“ดูเหมือนฝนใกล้จะตกแล้ว”

เซียวจินข่านพึมพำ

“ฝนตกชุกในช่วงต้นวสันต์ฤดูอยู่แล้ว”

ดรุณสกัดจุดกล่าว

“ที่นี่ไม่ได้ต่างจากหอทรงภูมิ”

เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางส่ายศีรษะ

หอทรงภูมิทางทิศใต้

ฝนจึงตกชุกกว่าที่นี่ไม่น้อย

แต่สภาพอากาศปีนี้ผิดไปจากปกติยิ่งนัก

ฝนไม่ตกที่หอทรงภูมิ

แต่กลับตกที่หอทรงปัญญาหลายต่อหลายหน

ฝนตกมักจะมาพร้อมกับฟ้าร้องและฟ้าแลบเสมอ

ตั้งใจไม่ให้ไร้สุ้มเสียงเด็ดขาด

แต่การเคลื่อนไหวยกมีดในมือของเซียวจินข่านกลับไร้สุ้มเสียง

เบาบางยิ่งกว่าสายลมยามค่ำคืน

มืดมิดยิ่งกว่าหิ่งห้อย

การเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก

ช้าจนดรุณสกัดจุดตั้งสติได้จึงสังเกตเห็นว่าเซียวจินข่านยกมีดขึ้นแล้ว

ดรุณสกัดจุดเห็นเซียวจินข่านเงื้อมีดขึ้น

คล้ายจะฟันฉับจากบนลงล่าง

พลังในมีดนี้ไม่แข็งแกร่งและไม่ดุดันเช่นกัน

ทว่าให้กลิ่นอายมหาสมุทรกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

คลื่นมหาสมุทรไม่เคยหยุดนิ่ง

คลื่นหน้าโหมซัดเข้าหาชายหาด

ก่อนจะถอยร่น คลื่นหลังซัดซ้ำตามมา

ราวกับว่าดรุณสกัดจุดแทงเพียงครั้งเดียว

ทว่าความเป็นจริงนั้นมีมีดนับไม่ถ้วนทับซ้อนกัน

เซียวจินข่านย่อมมองทะลุเค้าเงื่อนที่ซ่อนอยู่

แต่มองทะลุไม่ได้หมายความว่าสามารถแก้ไขได้

ตราบใดที่คนธรรมดาตั้งใจจริง ก็สามารถเอาชนะเรื่องทางโลกนี้ได้

แต่เขาไร้ความสามารถจะไปแก้ไขมัน

เซียวจินข่านตรงหน้าก็เช่นเดียวกัน

แม้เขาจะรู้ว่ามีดเล่มนี้แฝงไปด้วยแรงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะสกัดกั้นมันไว้อย่างไร

เพราะเขาใช้มีดไม่เป็น

ยามที่อยู่กรมสอบสวนกลางเขาใช้แต่กระบี่

หลังจากออกไปแล้ว ขึ้นเหนือล่องใต้ก็ใช้แต่กระบี่เช่นกัน

มีอาจารย์เยี่ยเหว่ยผู้นี้ หลังจากสืบทอดนักพรตอินหยาง ‘ไท่ไป๋’ ก็ใช้แต่แผ่นหยก

ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้มีด

เยี่ยเหว่ยอาจารย์ของเขาใช้มีด

ทั้งยังใช้ได้ดียิ่ง

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด

เขาไม่เคยสอนเซียวจินข่านแม้แต่กระบวนท่าเดียว

เซียวจินข่านสัมผัสได้ถึงปราณมีดที่โจมตีใกล้เข้ามาจึงอดยิ้มอย่างขมขื่นในใจไม่ได้

จากนั้นหัวใจพลันเต้นรัว

ฟันตวัดออกไปมั่วซั่วเพื่อจัดการมัน

ฟาดฟันมีดเช่นนี้ไม่มีทางต้านทานดรุณสกัดจุดได้

แต่หลังจากเซียวจินข่านตวัดมีด แม้แต่ร่างกายก็ไม่ขยับหรือเคลื่อนไหว

ยืนนิ่งให้แรงสั่นสะเทือนแฝงที่เหลือของดรุณสกัดจุดทะลวงเข้าไปในร่างกาย

“เพราะเหตุใด”

ดรุณสกัดจุดถามพลางขมวดคิ้วแน่น

เซียวจินข่านถูกมีดเล่มนี้โจมตี

จุดลมปราณและจุดในระบบภายในกายเดือดปุดๆ ไม่หยุด

เขากัดฟันและรวบรวมพลังธาตุจากอินหยางสองขั้ว

ฝืนกล้ำกลืนกลิ่นหวานคาวในลำคอลงไปอย่างลำบาก

“ไม่มีอะไร เพียงสัมผัสว่ามีดเป็นอย่างไร”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

มีดนี้ของดรุณสกัดจุดเป็นเพียงการทดสอบ

ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของเขา

หากเขารู้ว่าเซียวจินข่านจะอ้าแขนกว้างรับกระบวนท่านี้

เขาจะต้องทุ่มสุดพลังแต่แรกเป็นแน่

“ในมือเจ้ามีมีด เหตุใดยังต้องการสัมผัสมันอีก”

ดรุณสกัดจุดถาม

“ในมือข้ามีมีด แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยใช้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามีมีดอยู่ในมือ”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

ดรุณสกัดจุดไม่อยากจะเชื่อ

เขาไม่คิดว่าเซียวจินข่านจะใช้มีดเป็นครั้งแรก

เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูแกร่ง ผู้คนย่อมแสดงทักษะวิชาที่แกร่งที่สุดของตนออกมา

ดรุณสกัดจุดชักมีด

เพราะเขาใช้มีดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

อีกทั้งยังใช้ได้ดียิ่ง

ไม่ได้ใช้มานานเป็นเพราะไม่เคยพบคู่ต่อสู้ที่คู่ควรให้เขาชักมีด

เดิมทีเขาคิดว่าเซียวจิ่นข่านก็เฉกเช่นเดียวกัน

แต่ไม่คาดคิดว่าเซียวจินข่านจะใช้มีดเป็นครั้งแรก

“เดิมทีเจ้าใช้สิ่งใด”

ดรุณสกัดจุดถาม

“เดิมทีใช้สิ่งใดไม่สำคัญ อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ใช้มีด”

ความรู้สึกไม่สบายที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนเมื่อครู่ในร่างกายของเขาค่อยๆ ทุเลาลง

แต่ความเข้าใจต่อมีดเล่มนี้กลับลึกซึ้งยิ่งขึ้นในพริบตา

เซียวจิ่นข่านแกว่งมีดในมือ

ยามนี้มีลำแสงอาทิตย์สาดส่องผ่านชั้นเมฆลงมา

มันส่องสว่างบนมีดในมือเซียวจินข่าน

แสงแดดปลุกแสงวาววับบนตัวมีด

แสงวาววับนี้ทำให้ดรุณสกัดจุดจำต้องหรี่ตาลง

ในเวลานี้เอง

เซียวจินข่านตวัดมีดออกไป

คิดไม่ถึงว่าพลังสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องจะเหมือนดรุณสกัดจุดทุกประการ

แม้ว่าดรุณสกัดจุดจะคลายมีดนี้ได้อย่างง่ายดาย

แต่ในใจกลับรู้สึกหวาดกลัว!

ครั้นคิดว่าวิชาสะเทือนสกัดจุดที่ตนสร้างขึ้นใช้เวลาถึงสามปีเจ็ดเดือนเต็มๆ

ต่อมาได้เพิ่มความเชี่ยวชาญและความสมบูรณ์แบบในการต่อสู้จริงอย่างต่อเนื่อง

จวบจนวันนี้ผ่านมาสิบสองปีแล้ว

แต่เซียวจินข่านบรรลุเคล็ดสำคัญของวิชาสะเทือนสกัดจุดด้วยการโจมตีของเขาเพียงมีดเดียว

บรรลุกระจ่างและปราดเปรียวเหนือเมฆเช่นนี้ จะไม่ทำให้คนหวาดกลัวได้อย่างไร

ดรุณสกัดจุดตัดสินใจในใจโดยพลัน

เซียวจินข่านจะต้องตาย

เพราะเขาไม่อาจปล่อยให้ภัยคุกคามใหญ่หลวงเช่นนี้มีตัวตนอยู่ในโลกได้

“อาจารย์และศิษย์เช่นพวกเจ้าทั้งสองช่างเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ!”

เถี่ยกวนอินกล่าว

“ไฉนจู่ๆ ถึงกล่าวเช่นนี้เล่า”

เยี่ยเหว่ยกล่าวถาม

“เป็นอาจารย์ที่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ลับมีดให้เขา เป็นศิษย์ที่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ฝึกฝนมีดกับเขา มีดที่อยู่ในมือศิษย์เป็นมีดที่อาจารย์ลับไว้ เช่นนี้แล้วจะไม่ใช่คู่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร”

เถี่ยกวนอินกล่าว

ฉวยโอกาสที่เยี่ยเหว่ยไม่ทันสังเกตแอบเปิดสุราอีกหนึ่งไห

“ก็จริง…เดิมทีอาจารย์กับศิษย์ก็มีความคล้ายคลึงกันหลายประการ”

เยี่ยเหว่ยลูบเคราใต้คางของตนแล้วแสร้งกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง

“ไหนี้ห้าสิบตำลึง!”

ต่อมาเขาชี้ไหสุราตรงหน้าเถี่ยกวนอินแล้วกล่าว

เถี่ยกวนอินเห็นกลเม็ดเล็กๆ ของตนถูกเปิดเผยจึงหงุดหงิดอย่างยิ่ง

“เหตุใดเวลานี้เจ้าจึงไม่มีอารมณ์ขันแล้วเล่า”

เถี่ยกวนอินถาม

“เรื่องเงินจะมีอารมณ์ขันไม่ได้”

เยี่ยเหว่ยกล่าว

“คำพูดที่ศิษย์ข้ากล่าวล้วนถูกต้อง มีเพียงหนึ่งประโยคที่มีปัญหาเล็กน้อย”

เยี่ยเหว่ยกล่าวต่อ

“ประโยคใด”

เถี่ยกวนอินกล่าวถาม

“เขากล่าวว่าวีรบุรุษจะร่ำรวยยิ่งนัก คนเสเพลมักจะตกอับอยู่เสมอ”

เยี่ยเหว่ยกล่าว

“ข้าไม่คิดว่าประโยคนี้จะมีสิ่งใดผิดเพี้ยน”

เถี่ยกวนอินกล่าว

“มี!”

เยี่ยเหว่ยกล่าวอย่างหนักแน่น

เสียงดังกึกก้อง

แต่กลับดึงดูดห้ายอดดรุณทั้งสี่คนที่เหลือเงี่ยหูตั้งใจฟัง

“ปัญหาใด”

เถี่ยกวนอินกล่าวถาม

“ข้าหมายจะเป็นคนเสเพลที่ร่ำรวย ดังนั้นห้าสิบตำลึงก็ไม่ควรขาดแม้แต่ตำลึงเดียว!”

เยี่ยเหว่ยชี้ปลายจมูกตนและกล่าวกับเถี่ยกวนอิน

ห้าดรุณสี่คนที่เหลือได้ยินวาจาของคนทั้งสอง จู่ๆ ก็อยากหัวเราะลั่น

แต่ทุกคนกลับอดทนฝืนกลั้น

ทว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะเห็นทั้งสองคนสนทนาครึกครื้นอย่างผ่อนคลายเช่นนี้

ในใจอดปาดเหงื่อให้ดรุณสกัดจุดพี่ใหญ่ของตนไม่ได้

เยี่ยเหว่ยเห็นสีหน้าที่ฝืนอดกลั้นหัวเราะของทั้งสี่คนพลางส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า

“เป็นวีรบุรุษแม้จะร่ำรวย แต่ก็ลำบากจริงๆ…”

……………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท