บทที่ 929 เจ้าเห็นพวกข้าเป็นของประดับหรือ
บทที่ 929 เจ้าเห็นพวกข้าเป็นของประดับหรือ
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ เช่นนั้นต้องขอตัวก่อน!” ลู่จื่อชิงขึ้นควบหลังม้าอีกครั้ง
“ช้าก่อน” จี้ซ่งเฉิงขวางนางไว้ “ข้าเองก็ไม่มีเรื่องอะไรทำ อย่างไรเสียก็เพียงแค่อยากเดินทางไปเรื่อย ๆ เท่านั้น ไม่สู้ข้าร่วมทางไปกับเจ้าเถอะ! เจ้าก็ถือเสียว่ามีสหายร่วมทางเพิ่มมาอีกคน หากมีอะไรให้ข้าช่วย เพียงแค่เรียกใช้ก็พอ”
ลู่จื่อชิงไม่ได้กล่าวคำใด เพียงมองดูเขาอย่างเงียบ ๆ
“เหตุใดเจ้าจึงมองข้าเช่นนั้น?” จี้ซ่งเฉิงใช้มือเกี่ยวผมบนหน้าผากตนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแพรวพราว “คิดว่าข้าหล่อมากใช่หรือไม่?”
ฉินโม่ถงกระแอมไอเบา ๆ “นางคิดว่าท่านเรื่อยเปื่อยเกินไปแล้วต่างหาก”
“ลู่รอง อย่างไรข้าก็เป็นฮ่องเต้ของอาณาจักรหนึ่ง ข้าเดินทางไกลมาหลายพันลี้ถึงอาณาจักรของเจ้า เจ้าที่เป็นบุตรสาวผู้สำเร็จราชการแทนผู้นี้ ควรปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าบ้านหน่อยมิใช่หรือ?” จี้ซ่งเฉิงกล่าว
“หากเจ้าเบื่อแล้วจริง ๆ เช่นนั้นก็ตามมาเถอะ!” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เพียงแต่ ในฐานะบุรุษ เจ้าไม่จำเป็นต้องให้สตรีผู้หนึ่งคอยปกป้องกระมัง?”
“หากคนผู้นั้นเป็นเจ้า ข้าไม่ถือสา เจ้าลู่รองเป็นสตรีธรรมดาทั่วไปหรืออย่างไร?” จี้ซ่งเฉิงกล่าวอย่างไร้ยางอาย
ฉินโม่ถงควบม้าตามลู่จื่อชิงไป พลางเหลือบมองจี้ซ่งเฉิงที่อยู่ด้านหลัง แล้วเอ่ยถาม “เขาเป็นฮ่องเต้อาณาจักรโบราณ หากมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง เช่นนั้นคงยุ่งยากแล้ว”
“ข้ารู้ แต่เจ้าก็เห็นนิสัยของเขานี่ แม้นข้าไม่ยอมรับปาก เขาก็ยังจะตามมาอยู่ดี นอกจากนี้ ด้วยสถานะของเขาแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเดินทางเพียงลำพัง ข้างกายเขาคงมีองครักษ์เงาอยู่ หากพวกเราต้องการความช่วยเหลือโดย ๆ เขาก็เป็นกำลังให้เราได้ หากไม่ใช้นั่นก็สูญเปล่าน่ะสิ” ลู่จื่อชิงหันกลับไปมองจี้ซ่งเฉิงแล้วตะโกนขึ้นว่า “หากตามไม่ทัน เช่นนั้นก็ไม่ต้องตามแล้ว ข้าไม่รอเจ้าหรอกนะ!”
“ลู่รอง เจ้าดูแคลนผู้อื่นให้น้อยหน่อยเถิด” จี้ซ่งเฉิงพันสายบังเหียนม้ารอบฝ่ามือหลาย ๆ ทบ แล้วมองไปด้านหน้าอย่างแน่วแน่ “ข้าก็พิชิตใต้หล้าด้วยการขี่ม้าเช่นกัน”
“กล่าวถึงเรื่องนั้นแล้วก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เจ้าพาซูหลินไปนี่ เจ้าเด็กคนนั้นเล่า?”
“เจ้าวางใจ ข้าแย่งคนของเจ้าไปแล้ว ย่อมไม่ผิดต่อเขา ยามนี้เขาเป็นแม่ทัพเล็ก ๆ ผู้หนึ่งอยู่ที่นั่น รอเขาสร้างความชอบทางการทหารแล้ว ข้าจะแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพให้สง่าน่าเกรงขาม”
ลู่จื่อชิง “…”
เจ้าทายาทรุ่นที่สองผู้นั้นนั้นกลายเป็นแม่ทัพไปแล้วหรือ?
เหตุใดจู่ ๆ ลู่จื่อชิงถึงรู้สึกว่าตนเองเสียสามปีนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์เล่า
ถึงแม้นางจะประสบความสำเร็จในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ทว่านางเป็นเพียงคนพเนจรตัวเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง เดิมทีก็ไม่ได้เป็นศัตรูที่ร้ายกาจอะไรเลย หากใต้หล้าไร้สงคราม ย่อมไม่มีที่สำหรับทหารที่จะแสดงทักษะ และแน่นอนว่าย่อมไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ
เมืองหลิวอวิ๋น ลู่จื่อชิงออกมาจากร้านผ้า ในมือถือจดหมายหนึ่งฉบับ นางเข้าไปในโรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม สั่งชามากาหนึ่งและของว่างอีกหลายอย่าง หลังจากคนงานร้านน้ำชาออกไป นางก็เปิดจดหมายออกอ่าน
“ในจดหมายเขียนว่าอย่างไรหรือ?”
“สถานการณ์ทางเขาหนึ่งกระบี่หลังจากพวกเราจากมา”
“เจ้าเป็นห่วงคุณชายอี้หรานผู้นั้นมากไปหน่อยหรือไม่? ลู่รอง ข้าว่าเจ้าหวั่นไหวง่ายเกิน ประเดี๋ยวก็คุณชายอี้หราน ประเดี๋ยวก็เจ้าเด็กสกุลซ่งผู้นั้น เจ้ายุ่งแต่กับเรื่องของบุรุษตลอดเวลา เจ้าคิดว่าฉินโม่ถงและข้าเป็นเพียงของตกแต่งหรือไร?”
ฉินโม่ถง “…”
นี่เกี่ยวอะไรกับเขา?
จี้ซ่งเฉิงเอนตัวเข้าไป แล้วเอ่ยกับฉินโม่ถง “อย่าได้บอกว่าเจ้าไม่สนใจลู่รอง หากเจ้าไม่สนใจนาง คงไม่ติดตามนางมาหลายปีเพียงนี้”
“อย่ากล่าววาจาเลื่อนเปื้อน” ฉินโม่ถงเหลือบมองลู่จื่อชิงแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าฝ่ายหลังกำลังอ่านจดหมาย ไม่ได้สนใจบทสนทนาของพวกเขา จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ชิงเอ๋อร์เป็นสหายข้า อีกทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณของข้า”
“เจ้าคนขี้ขลาด” จี้ซ่งเฉิงโบกพัดในมือ “ขอเพียงนางยังไม่ได้แต่งงาน ข้าย่อมไม่ยอมแพ้แน่นอน นางเป็นคุณหนูรองสกุลลู่ ข้าเป็นฮ่องเต้ปกครองอาณาจักร ข้ายินดีแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา ให้นางเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า”
“กลางคืนก็ยกหมอนของเจ้าให้สูงขึ้นหน่อย บางทีอาจฝันดีก็เป็นได้” ลู่จื่อชิงเก็บจดหมายนั้นไว้ “ตำหนักเซิ่งหัวบุกเขาหนึ่งกระบี่ ทว่าท้ายที่สุดยังพ่ายแพ้คนจากสำนักต่าง ๆ พวกเขาไม่สนใจยืดเยื้อการต่อสู้อีกต่อไป เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็ล่าถอยออกไป ประมุขคนใหม่ขณะนี้อยู่ที่จวนประมุข เจ้าสำนักต่าง ๆ ยังคงต้องการให้เขานำทุกคนบุกไปทำลายตำหนักเซิ่งหัว”
“จวนประมุขอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” จี้ซ่งเฉิงเอ่ย “เจ้าอยากไปที่จวนประมุขหรือไม่?”
“อืม”
“เจ้าจะไปทำอะไรที่จวนประมุข? พบคุณชายอี้หรานผู้นั้นหรือ?”
“ข้าอยากรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร” ลู่จื่อชิงเอ่ย “หากเขามีเรื่องสำคัญ ข้าสามารถช่วยเขาได้”
จี้ซ่งเฉิงขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้เขากล่าวว่าลู่จื่อชิงให้ความสนใจคุณชายอี้หรานผู้นี้เกินไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโยนหินถามทาง อีกส่วนหนึ่งจงใจเอ่ยให้กำกวม บัดนี้ดูเหมือนว่าปากอีกาของเขาจะกล่าวได้ตรงเป้าแล้วจริง ๆ
ซ่งหานจือจากไปผู้หนึ่งแล้ว เหตุใดจึงมีคุณชายอี้หรานผู้นี้โผล่มาอีกเล่า? สิ่งที่น่าชังที่สุดคือคุณชายอี้หรานผู้นั้นสวมหน้ากากตลอดเวลา แม้กระทั่งหน้าตาอีกฝ่ายเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้
“ความงามของนางปีศาจตำหนักเซิ่งหัวแต่ละคนราวกับเทพธิดา ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดจอมยุทธ์เหล่านั้นไม่อาจลงมือ มีสตรีหน้าตาสะสวยเรียงรายกันเป็นแถว ผู้ใดจะยอมทำร้ายแม้กระทั่งเส้นผมสักเส้นของพวกนางเล่า? ฮ่า ๆๆๆ”
“อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล สตรีเหล่านั้นในตำหนักเซิ่งหัวไม่ได้ทำเรื่องอะไรร้ายแรง สิบปีที่แล้ว เป็นสำนักต่าง ๆ ที่โจมตีตำหนักเซิ่งหัว พวกนางต่างหากที่เป็นเหยื่อ”
“หากนางปีศาจเหล่านั้นไม่เทียวล่อลวงบุรุษ จอมยุทธ์สำนักใหญ่ต่าง ๆ คงไม่ลงมือฆ่าพวกนางหรอก”
“เจ้าจะไปรู้อะไร? สตรีตำหนักเซิ่งหัวเหล่านั้นงดงามราวเทพธิดาจริง ๆ บุรุษเหล่านั้นหมกมุ่นอยู่กับสตรีตำหนักเซิ่งหัว ไม่ใช่สตรีเหล่านั้นเทียวล่อลวงบุรุษ ว่ากันว่าบุรุษที่ชื่นชมศิษย์ตำหนักเซิ่งหัวมักจะมอบของล้ำค่าเพื่อคอยเอาอกเอาใจพวกนางอยู่เสมอ ตำหนักเซิ่งหัวจึงมีห้องเก็บสมบัติมากมายหลายแห่ง คงเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาและกลายเป็นเป้าในการล้อมปราบปรามของสำนักต่าง ๆ”
ลู่จื่อชิงฟังบทสนทนาของคนเหล่านั้นแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าหมู่นี้มีคนเอ่ยถึงเรื่องเก่า ๆ เกี่ยวกับตำหนักเซิ่งหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ? ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังผลักดันเรื่องบางอย่างให้เกิดขึ้น”
“ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด น้ำในยุทธภพก็เริ่มขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เกรงว่าอีกไม่นานจะเกิดพายุนองเลือด” จี้ซ่งเฉิงยกชาขึ้นจิบ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอยากจะเห็นหรือ?”
“ข้าอยากเห็นอะไร?”
“เจ้าวิ่งออกมาจากราชสำนัก เข้าสู่ยุทธภพกวนน้ำให้ขุ่น ไม่ใช่เพราะหมู่นี้เบื่อเกินไปจึงมองหาเรื่องน่าตื่นเต้นหรือ? บัดนี้ยุทธภพวุ่นวายปั่นป่วน นี่จะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอยากเห็นได้อย่างไร?”
“ข้าเบื่อนั้นไม่ผิด อีกทั้งมองหาความสนุกก็ไม่ผิด เพียงแต่น้ำในยุทธภพจะขุ่นหรือไม่นั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า” ลู่จื่อชิงเอ่ยด้วยความโกรธ “กินเสร็จแล้วกระมัง? หากกินอิ่มแล้ว พวกเราก็ไปที่จวนประมุขกันเถอะ”
ณ จวนประมุข คุณชายอี้หรานออกมาจากห้องตำรา เหม่อมองดูต้นอิงฮวา*[1] ที่เหี่ยวเฉาในสวนต้นนั้นแล้วถอนหายใจ
“คุณชาย คนจากทุกสำนักต้องการให้ท่านนำพวกเขาบุกโจมตีตำหนักเซิ่งหัว เกรงว่าดื่มสุราไม่ได้มุ่งเสพรสสุรานะขอรับ”
“หมู่นี้ตำหนักเซิ่งหัวมักจะยั่วยุสำนักต่าง ๆ ทำให้ผู้คนบาดเจ็บไปไม่น้อย” คุณชายอี้หรานเอ่ย “หากไม่ห้ามปรามพวกเขา เกรงว่าคนในสำนักต่าง ๆ จะเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว”
“ได้ยินคนกล่าวว่า คนจากสำนักต่าง ๆ ในตอนนั้นเข้าโจมตีภูเขาเซิ่งหัว ทำลายตำหนักเซิ่งหัว ปล้นสมบัติไปมากมายนับไม่ถ้วน บัดนี้ผู้คุมกฎเติ้งแห่งตำหนักเซิ่งหัวคิดจะล้างแค้นให้กับสหายสำนักเดียวกัน จึงขอให้สำนักต่าง ๆ มอบของที่เป็นของตำหนักเซิ่งหัวกลับคืนมา หากพวกเขาไม่ยอมจ่ายคืน คนจากตำหนักเซิ่งหัวย่อมไม่ลดละอย่างแน่นอน”
[1] ต้นอิงฮวา คือ ต้นซากุระ