บทที่ 930 เจ้าปิดบังอะไรจากข้ากันแน่
บทที่ 930 เจ้าปิดบังอะไรจากข้ากันแน่
“คนของตำหนักเซิ่งหัวกำลังมองหาสิ่งใดอยู่แน่ ๆ”
“คุณชายหมายความว่า…”
“สิ่งที่พวกเขากำลังมองหา คงเป็นสิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน”
“คุณชายได้เป็นประมุขพันธมิตรยุทธภพแล้ว เหตุใดไม่ใช้ตัวตนของท่านไปหาเจ้าสำนักต่าง ๆ เพื่อนำของสิ่งนั้นมาเล่าขอรับ?”
“ในเมื่อมันเป็นของสำคัญ เช่นนั้นจะมอบให้ผู้อื่นง่าย ๆ ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ของนั้นสำคัญมาก ผู้ที่นำมันไปย่อมไม่ยอมนำมันออกมาง่าย ๆ มีเพียงให้คนจากตำหนักเซิ่งหัวบีบบังคับจนเข้าตาจน บางทีคนผู้นั้นอาจสูญเสียท่าทีและเป็นฝ่ายนำของสิ่งนั้นออกมาเพื่อรับรองความปลอดภัยของตน”
“เช่นนั้น คุณชายยิ่งไม่อาจช่วยคนจากสำนักต่าง ๆ พวกเขาให้คุณชายเป็นประมุขพันธมิตรยุทธภพ เดิมทีก็เพียงเพื่อจะฉวยประโยชน์ แต่ละคนไม่ได้มีเจตนาดีอะไร คุณชายไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย”
ลูกน้องคนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา
“คุณชาย ข้างนอกมีแม่นางท่านหนึ่งกับคุณชายสองท่านต้องการพบท่านขอรับ”
“ผู้ใด?” คุณชายอี้หรานเอ่ย
“แม่นางลู่ที่เคยพบก่อนหน้านี้ขอรับ”
คุณชายอี้หรานตกอยู่ในความเงียบ
“คุณชาย หากท่านไม่ต้องการพบ ข้าน้อยจะไล่พวกเขาไป”
สายตาของคุณชายอี้หรานเผยความอดทนที่หมดลง “อย่าได้ไร้เหตุผล”
ลู่จื่อชิงปีนเข้ามาในกำแพง แล้วร่อนลงบนสนามหญ้าอย่างแผ่วเบา
“โอหังนัก!” ลูกน้องหลายคนไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าคุณชายอี้หราน
คุณชายอี้หรานเดินออกมาจากข้างหลังลูกน้อง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เหตุใดแม่นางลู่กลับมาเล่า?”
“ข้าไปที่จิ่นโจว ถามเรื่องบางอย่างกับผู้อาวุโสทั้งสองท่านแล้ว” ลู่จื่อชิงกล่าว “น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถให้คำตอบที่ข้าอยากรู้ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องกลับมาหาท่าน”
“ท่านอยากรู้อะไรเล่า?”
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะพูดที่นี่?”
จี้ซ่งเฉิงที่นั่งอยู่บนกำแพงเอ่ยขึ้นมา “ลู่รอง คนผู้นี้ไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่น เจ้าไม่ต้องสนใจเขาแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปท่องโลกกว้าง จะต้องพบอะไรที่สนุกกว่าอย่างแน่นอน”
ฉินโม่ถงนั่งลงตรงข้ามจี้ซ่งเฉิงแล้วกล่าว “สหายจี้ช่างว่างเสียจริง ท่านไม่เห็นหรือว่านางไม่อยากคุยกับท่าน?”
“นั่นเป็นปัญหาของข้าผู้นี้ มีแม่นางมากมายที่นั่นพยายามเอาใจข้า ทว่าข้ากลับไม่ชอบแม่นางคนใดเลย หลายปีที่ผ่านมาข้ามักจะนึกถึงหญิงร้ายกาจผู้นี้ แม้มีแม่นางมากมายเพียงนั้น แต่ก็ยังเป็นลู่จื่อชิงที่น่าสนใจที่สุด” จี้ซ่งเฉิงเอ่ย “เจ้าดูสิ การเป็นฮ่องเต้เดิมทีก็น่าเบื่อ หากยังต้องเจอคุณหนูสกุลใหญ่ที่ไร้ชีวิตชีวากลุ่มหนึ่งอีก นั่นจะไม่ยิ่งน่าเบื่อกว่าเดิมอีกหรือ?”
“ความคิดนี้ดี ทว่าเห็นได้ชัดว่าความปรารถนาของท่านไม่เป็นผลอย่างแน่นอน” ฉินโม่ถงกล่าว “สกุลลู่ไม่มีทางแต่งลูกสาวออกไปเป็นฮองเฮาอีกคนเป็นแน่ แม้คุณหนูรองลู่จะยินดี อ๋องลู่ย่อมไม่ยินดี”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ลู่จื่อชิงและคุณชายอี้หรานก็ไปที่อื่นแล้ว
ลู่จื่อชิงถอดหน้ากากของคุณชายอี้หรานออก
คราวนี้ คุณชายอี้หรานไม่ได้หยุดนาง
หน้ากากถูกถอดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เพียงแต่ตอนนี้มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทั้งยังหล่อเหลากว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน ไม่มีเด็กอ้วนตัวน้อยผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว
“ข้าเห็นเจ้าสวมหน้ากากทั้งวัน ยังนึกว่าเจ้ากลายเป็นสัตว์ประหลาดหน้าตาน่าเกลียดไปแล้วเสียอีก” ลู่จื่อชิงโยนหน้ากากลงบนพื้น “ในเมื่อเจ้าไม่ได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดหน้าตาน่าเกลียด เหตุใดต้องปิดบังตัวตนเช่นนี้ เจ้ากำลังซ่อนตัวจากข้าหรือ?”
คุณชายอี้หราน… ไม่สิ ควรเป็นซ่งหานจือ
ซ่งหานจือรู้สึกผิดเล็กน้อย
ในตอนแรกที่เขาเข้าสู่ยุทธภพ อันที่จริงเขาไม่ได้สวมหน้ากาก ทว่าหลังจากนั้นเขาพบลู่จื่อชิงเข้าโดยบังเอิญจึงต้องสวม กล่าวถึงเรื่องนี้แล้วก็นับได้ว่าเป็นการหลบเลี่ยงนางจริง ๆ
เพียงแต่ เขาไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ มิเช่นนั้นลู่จื่อชิงคงมีสีหน้ามืดหม่นขึ้นมา ภายหน้าย่อมไม่สนใจเขาแล้ว
“ในเมื่อไม่ได้ปิดบังตัวตน เช่นนั้นก็มาคุยกันเถอะ! เหตุใดเจ้าจึงหนีออกจากบ้านเล่า?”
“ข้าไม่ได้หนีออกจากบ้าน” ซ่งหานจือกล่าว “ข้าถูกคนลักพาตัวมา”
“ถูกลักพาตัว?” ลู่จื่อชิงขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
“ตอนนั้นข้าและบิดามารดาอาศัยอยู่ที่จิ่นโจว พวกเราต้องการปกครองจิ่นโจวให้ดี ดังนั้นข้าจึงศึกษางานของทางการกับบิดา เพื่อแก้ปัญหาความเป็นอยู่ของผู้คนในจิ่วโจว อยู่มาวันหนึ่งชายชราบ้าก็ลากข้าไป แล้วกล่าวบางอย่างที่สุดขั้ว กว่าข้าจะสลัดเขาหลุดได้ไม่ง่ายเลย คืนนั้นเอง ขณะที่ข้ากำลังเตรียมตัวพักผ่อน จู่ ๆ ชายชราบ้าผู้นั้นก็มาปรากฏตัวในห้อง เขาคิดจะพาข้าไปโดยไม่เอื้อนเอ่ยแม้สักคำ กล่าวว่าเขาต้องการสอนวรยุทธ์ที่ไร้เทียมทานให้ ข้าเป็นห่วงบิดามารดาจึงยื้อยุดกับเขา และกล่าวว่าในเมื่อข้าต้องไปฝึกวรยุทธ์ที่ไร้เทียมทาน ข้าคงไม่ไม่กลับมาบ่อย ๆ จึงฝากจดหมายไว้ให้บิดามารดา กล่าวว่าข้าต้องไปทำบางอย่าง ไม่มีกำหนดกลับที่แน่นอน…”
ในตอนนั้น เขาไม่รู้ว่าชายชราบ้าต้องการอะไร อย่างแรกจึงอยากถ่วงเวลาเสียก่อน อย่างที่สองเขาไม่ต้องการให้บิดามารดาเป็นห่วงจริง ๆ หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา มีจดหมายฉบับนั้นย่อมทำให้พวกเขามั่นใจได้ระยะหนึ่ง
“ชายชราบ้าผู้นั้นทำอะไรกับเจ้า?”
“เขาต้องการสอนวรยุทธ์ให้ข้าจริง ๆ เพียงแต่วรยุทธ์ที่เขาสอนนั้นชั่วร้ายมาก ตอนที่เขาเริ่มสอนวิชานั้น ก่อนอื่นเขาต้องหักล้างวิชาก่อนหน้าของข้า แล้วฝืนถ่ายลมปราณกล้าแกร่งเข้ามาในร่างกายข้า นับตั้งแต่ข้าเรียนรู้วิทยายุทธ์ที่เขาสอน อวัยวะภายในของข้าประหนึ่งเป็นลูกไฟที่กำลังลุกไหม้ ข้าต้องอาบน้ำแช่ยาทุกวันเพื่อระงับความเจ็บปวดจากพลังลมปราณที่ปั่นป่วน หลังจากนั้นชายชราบ้าก็กล่าวว่าหากต้องการแก้ปัญหานี้ให้เสร็จสมบูรณ์ ต้องหาตำราฝึกจิต เจ้ายังจำตำราฝึกจิตในเขาหนึ่งกระบี่ได้หรือไม่? เป็นเล่มนั้น เพียงแต่ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าที่เหลืออยู่ที่ใด”
“เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้?”
“ข้าคิดว่าเขาต้องการเคล็ดฝึกจิตที่สมบูรณ์เช่นกัน เพียงแต่เขาไม่เคยฝึกฝน ร่างกายของเขาจึงล้มเหลว พออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงต้องการหาคนมาเพื่อหาเคล็ดฝึกจิตนี้เพื่อทำให้เขาฝึกสำเร็จ”
“ชายผู้หนึ่งกลายเป็นคนบ้าหลังฝึกวรยุทธ์ เจ้ายังกล้าที่จะฝึกฝนวิชาเดียวกันอีกหรือ?”
“ตอนนี้ข้าไร้ทางเลือก หลังจากเขาถ่ายพลังลมปราณใส่ร่างกายข้า ข้าจะต้องฝึกฝนวิชานั้นเพื่อให้กลับมาเป็นปกติ มิเช่นนั้น ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้าอาจจะตายเพราะพลังลมปราณระเบิด”
“แล้วชายชราบ้าผู้นั้นเล่า?”
“หายตัวไปแล้ว บางทีอาจซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่ง”
“ที่เจ้ากำลังทำตอนนี้ก็เพื่อวิชาฝึกจิตนั้นหรือ?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม “ในเมื่อเจ้าเป็นประมุขพันธมิตรยุทธภพแล้ว วิชาฝึกจิตทั้งเล่มก็ควรจะอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่รึ?”
“ไม่มี” ซ่งหานจือกล่าว “จนกระทั่งบัดนี้ ข้าได้เห็นเพียงส่วนที่เราคัดลอกมาเท่านั้น ยังไม่ทราบเบาะแสของวิธีฝึกจิตส่วนอื่น”
“เช่นนั้น เจ้าพอมีเบาะแสหรือไม่? ในเมื่อตรวจสอบแล้วก็ควรพบบางอย่างบ้างกระมัง?”
“ข้าตรวจสอบพบว่าคนของตำหนักเซิ่งหัวก็กำลังหาวิธีฝึกจิตนั้นเช่นกัน พวกเขามีส่วนหนึ่งอยู่ในมือ ทว่ามันไม่สมบูรณ์ กล่าวอีกนัยคือ วิธีฝึกจิตที่เหลืออาจอยู่ในมือของคนหลายฝ่าย เป็นไปได้ว่ามันถูกแบ่งออกหลายส่วน” ซ่งหานจือกล่าว “เจ้าสำนักเขาหนึ่งกระบี่บอกข้าว่าวิธีฝึกจิตในมือข้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงข้าช่วยพวกเขาจัดการตำหนักเซิ่งหัว พวกเขาจะบอกที่อยู่ของส่วนที่เหลือให้”
————————————-