บทที่ 928 เขาเขียนจดหมายถึงข้าจริงหรือ?
บทที่ 928 เขาเขียนจดหมายถึงข้าจริงหรือ?
คุณชายอี้หรานเหลียวไปมองจึงเห็นลู่จื่อชิงกระโดดลงมาจากหลังคา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความลังเล ขณะที่กำลังจะเปิดปาก ลู่จื่อชิงก็เดินจากไปแล้ว
“คุณชาย มีอะไรหรือขอรับ?” ลูกน้องเอ่ยถามเขา
“ไม่มีอะไร”
จี้ซ่งเฉิงตามลู่จื่อชิงมา “เสี่ยวชิงเอ๋อร์ ไม่สนุกแล้วหรือ?”
“การฆ่าฟันแทงของยุทธภพมีอะไรสนุกกัน?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ไม่สนุกเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว เจ้าไปเล่นเองเถอะ!”
ลู่จื่อชิงควบม้าไปทาง ‘จิ่นโจว’
จิ่นโจวเป็นสถานที่ที่ผู้ตรวจการซ่งปกครองอยู่
ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ตรวจการซ่งได้ทำให้ที่นี่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ลู่จื่อชิงผ่านทางหลายครั้ง ทว่าไม่เคยไปที่นั่น เพียงแต่ได้ยินเรื่องสถานการณ์ทางนั้นมาเท่านั้น
“ชิงเอ๋อร์ พวกเราจะไปทำอะไรที่จิ่นโจว?”
“ข้าอยากสอบถามเรื่องบางอย่าง”
“เกี่ยวกับคุณชายซ่งหรือ?”
ฉินโม่ถงอยู่กับลู่จื่อชิงมานานหลายปีแล้วจึงรู้ว่ามีบางอย่างอยู่ในใจของนาง ทั้งยังรู้อีกว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับซ่งหานจือ
อย่างไรก็ตาม ลู่จื่อชิงไม่เคยเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องหรือไม่
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์ รอข้าด้วย” จี้ซ่งเฉิงขี่ม้าไล่ตามไปข้างหลัง
ณ จิ่นโจว ผู้ตรวจการซ่งมองหนังสือรายงานที่อาลักษณ์ส่งมาให้ สีหน้าแสดงความวิตกกังวล
“ใต้เท้า ท่านใช้เวลาสามปีเปลี่ยนจิ่นโจวจากสถานที่ทุรกันดารแห่งหนึ่งจนกลายเป็นสถานที่รุ่งเรืองมั่งคั่งเช่นนี้ เหตุใดยังต้องขมวดคิ้วเล่าขอรับ?”
“เจ้าเห็นหรือไม่ว่าจำนวนคนในเมืองเราน้อยลงเรื่อย ๆ ทุกปี หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เศรษฐกิจและการศึกษาเล่าเรียนในจิ่นโจวย่อมได้รับผลกระทบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ผู้สำเร็จราชการแทนกล่าวในจดหมายฉบับล่าสุดของเขาว่าความเป็นอยู่ของราษฎรสำคัญยิ่ง หากที่แห่งหนึ่งมีประชากรไม่เพียงพอ เช่นนั้นบัณฑิต คนทำไร่ทำนา แรงงาน และพ่อค้าจะมาจากที่ใด?”
“เพียงแต่ เมื่อสามปีก่อนที่นี่ยังเป็นเพียงดินแดนของอาณาจักรเหลียง เพราะสงคราม จึงเหลือเพียงสตรี เด็ก และคนชราที่อ่อนแอ แน่นอนว่าจำนวนประชากรย่อมไม่อาจตามการพัฒนาของเมืองทัน”
“นี่คือเรื่องที่เราต้องจัดการ” ผู้ตรวจการซ่งกล่าว “พวกเราต้องชักจูงชาวบ้านที่อื่นให้มาอยู่ที่นี่ทำให้ราษฎรจิ่นโจวผสานเข้ากับดินแดนของเราได้อย่างสมบูรณ์และยอมรับเราอย่างแท้จริง หลังจากการเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ราษฎรไม่ได้ต่อต้านเราอีกต่อไปแล้ว คราแรกที่เรามาที่นี่ ยังเกิดการจลาจลต่าง ๆ มากมาย บัดนี้พวกเราไม่เห็นการจลาจลแม้เพียงครั้งเดียวในรอบปี”
“ใต้เท้าหมายถึง…”
“ข้ากำลังจะออกประกาศ สร้างประโยชน์ให้ชาวจิ่นโจวเรา ภายหน้าหากยินดีแต่งเข้ามาเป็นชาวจิ่นโจวจะได้รับการยกเว้นภาษี หากมีสมาชิกใหม่ในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็จะได้รับปันส่วนเช่นกัน”
“หากมีสิทธิประโยชน์นี้ เช่นนั้นผู้ที่ยินดีมาจิ่นโจวจะต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน”
ผู้ตรวจการซ่งปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางอยู่นาน เมื่อเขาออกจากห้องตำรา ผู้ติดตามก็เอ่ยว่า ‘ฮูหยินเชิญท่านกลับก่อนเวลาขอรับ’
“ฮูหยินแต่ไรมาไม่เคยเร่งรัดข้า มีเรื่องอะไรใช่หรือไม่?”
“ที่จวนมีแขกมาขอรับ”
ผู้ตรวจการซ่งกลับมาที่จวนผู้ตรวจการ
เขากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องก่อน แล้วจึงถามว่าฮูหยินอยู่ที่ใด จากนั้นจึงไปหานางที่สวนหลังเรือน
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าได้พบหานจือแล้วใช่หรือไม่?” ฮูหยินซ่งดึงมือลู่จื่อชิงไปกุมอย่างอ่อนโยน “แม่นางคนดี เจ้ารีบบอกข้าเร็วเข้า เกิดเรื่องอะไรแล้วใช่หรือไม่?”
“คุณหนูรองลู่?” ผู้ตรวจการซ่งเห็นลู่จื่อชิง
ไม่ได้พบกันถึงสามปี รูปร่างหน้าตาของลู่จื่อชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าอย่างไรก็ยังมีเค้าโครงเดิมจึงพอจำได้
“ใต้เท้าซ่ง” ลู่จื่อชิงลุกขึ้นยืน
“นั่งลงเถอะ” ผู้ตรวจการซ่งเอ่ย “เจ้ามาจิ่นโจวได้อย่างไร?”
“ไม่ใช่เพราะหานจือหรือ” ฮูหยินซ่งกล่าว “ชิงเอ๋อร์มาถึงก็ถามเรื่องหานจือ แปลว่าย่อมได้พบกับเขาแล้ว เจ้าเด็กคนนั้นหายตัวไปกว่าสองปีครึ่ง หลายปีที่ผ่านมา นอกจากส่งจดหมายกลับมา แม้กระทั่งเงาก็ยังไม่เคยเห็น”
“เขาหายตัวไปสองปีครึ่งหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดเจ้าคะ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” ฮูหยินซ่งถอนหายใจ “จู่ ๆ วันหนึ่งเขาก็หายตัวไป ข้าเห็นเพียงจดหมายวางอยู่บนโต๊ะฉบับหนึ่ง จดหมายบอกว่าเขามีเรื่องต้องทำจึงจำต้องออกเดินทางไกล”
“หลายปีมานี้เขาไม่กลับมาเลยหรือเจ้าคะ?”
“เจ้าพบหานจือแล้วใช่หรือไม่?” ผู้ตรวจการซ่งเอ่ยถามขึ้นมาเช่นกัน
“เห็นน่ะเห็นแล้วเจ้าค่ะ แต่เขายังคงหลบเลี่ยงข้า ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นใคร ทั้งยังสวมหน้ากากอัปลักษณ์ แสร้งทำเป็นลึกลับ! ใต้เท้า ฮูหยิน ข้ากับซ่งหานจือรู้จักกันมากี่ปี? ต่อให้เขาจะเปลี่ยนเพศ ข้าก็ยังจำเขาได้ในทันที ไม่ต้องเอ่ยถึงเพียงแค่สวมหน้ากากอัปลักษณ์อันหนึ่งเลย”
ฮูหยินซ่งระเบิดหัวเราะออกมา “นังหนูคนนี้ เจ้ายังพูดเป็นต่อยหอยเช่นเคย แต่ข้าก็ชอบยิ่งนัก เช่นนั้นเขาเป็นอย่างไร? เขาปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร… ไม่สมเหตุสมผลเลยที่เขาจะจำเจ้าไม่ได้!”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ตอนนี้เขายังเป็นถึง… ช่างเถิด ฮูหยิน ใต้เท้า หลายปีมานี้ซ่งหานจือไม่ได้ติดต่อพวกท่านเลยหรือเจ้าคะ?”
“เขาส่งจดหมายกลับมาเป็นระยะ พวกเราจดจำลายมือของเขาได้ จะต้องเป็นเขาเขียนเองอย่างแน่นอน” ใต้เท้าซ่งเอ่ย “ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงไม่ได้ถามซักไซ้เขา”
“เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?” ลู่จื่อชิงพึมพำถามตนเอง “เขาไม่ได้นำอะไรไปด้วยหรือเจ้าคะ? อย่างเช่นบ่าวรับใช้”
“อะไรล้วนไม่ได้นำไป แม้กระทั่งเสื้อผ้า…” ฮูหยินซ่งขมวดคิ้ว “เจ้ากล่าวเช่นนี้แล้ว จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าแปลกยิ่งนัก เหตุใดเขาจึงไม่นำอะไรไป? ถึงแม้ต้องการออกไปฝึกวรยุทธ์ อย่างไรก็ต้องนำเสื้อผ้าไปด้วยกระมัง?”
“ไม่ต้องกังวลไป คุณหนูรองลู่ไม่ได้บอกว่าพบเขาแล้วหรือ? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เป็นอะไร เพียงแต่กำลังทำเรื่องบางอย่างจึงยังไม่อาจกลับมาได้ คุณหนูรองลู่ ในเมื่อเจ้าเห็นเขาแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ไปถามเขาด้วยตนเองเล่า?”
“เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้า ข้าย่อมไม่อาจตอแยเขาต่อกระมังเจ้าคะ?” ลู่จื่อชิงรู้สึกไม่พอใจ “เดิมทีข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา หลายปีมานี้ เขาไม่ได้เขียนจดหมายถึงข้าเลย”
“เป็นไปไม่ได้” ฮูหยินซ่งกล่าว “หลังจากเขาไปแล้วข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แรก ๆ ที่มาที่นี่ เขาเขียนจดหมายถึงเจ้าทุกวัน อีกทั้งยังให้คนนำไปส่งให้”
ลู่จื่อชิง “…”
จดหมายเหล่านั้นเขียนถึงนางจริง ๆ หรือ?
คงไม่ได้เขียนถึงผู้อื่นกระมัง?
มิเช่นนั้น เหตุใดนางถึงไม่ได้เห็นพวกมันเลยเล่า?
“หมายความว่า ใต้เท้ากับฮูหยินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา? หากข้าอยากรู้ ต้องไปถามเขาให้ชัดเจนใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
“ใช่”
“เช่นนั้น ข้าไม่รบกวนทั้งสองท่านแล้ว”
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าทานอาหารเย็นก่อนเถอะ!” ฮูหยินซ่งกล่าว “เจ้าเพิ่งมาจะรีบจากไปทันทีได้อย่างไร?”
ลู่จื่อชิงปฏิเสธความเมตตาของฮูหยินซ่ง
“คุณหนูรองลู่ เจ้าเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? เขาไม่ได้ก่อปัญหากระมัง?” ใต้เท้าซ่งเอ่ยถาม
“เขาสบายดีเจ้าค่ะ”
สุดท้ายลู่จื่อชิงก็ไม่ได้ความที่อยากรู้ จึงออกมาจากจวนผู้ตรวจการ
จี้ซ่งเฉิงรอนางอยู่ที่ประตู เมื่อเขาเห็นนางออกมาก็รีบก้าวเข้าไปหา “ลู่รอง เจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาเจ้าเด็กแซ่ซ่งผู้นั้นจริง ๆ หรือ? เจ้าเด็กคนนั้นไม่ยอมพบเจ้ากระมัง? เขาจะต้องลืมเจ้าไปนานแล้วเป็นแน่”
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องของข้าเป็นอย่างดี” ลู่จื่อชิงจ้องจี้ซ่งเฉิง “หรือว่าทุกเรื่องที่ข้าทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าล้วนรู้ทั้งสิ้น?”
จี้ซ่งเฉิงลูบจมูกตนเอง “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าและเจ้ามีโชคชะตาต่อกันจึงได้พบกันในยุทธภพโดยบังเอิญต่างหาก”