บทที่ 933 เอาใบหน้านี้จริงหรือ
บทที่ 933 เอาใบหน้านี้จริงหรือ
มู่ซืออวี่จิบชา รอให้ประตูลับเปิดออก
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูลับก็เปิดออก คนสองคนเดินออกมาจากข้างใน
มู่ซืออวี่มองไปยังคนทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้า
ใบหน้าทั้งสองเรียกได้ว่าธรรมดาทั่วไป
“พวกเจ้าผู้ใดคือฉาวจิ่ง?”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วเปิดปากขึ้น “พระชายา พวกเราล้วนไม่ใช่ขอรับ”
“ฉาวจิ่งเล่า?” มู่ซืออวี่ถาม
ทั้งสองคนมองไปทางห้องลับ
ทันใดนั้นเองก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา
คนผู้นั้นก็ธรรมดาทั่วไปเช่นกัน เพียงแต่มีไฝสีดำที่หางตา ไฝสีดำทำให้ใบหน้านั้นดู…
น่าเกลียดไปบ้าง
“ฉาวจิ่ง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ
ลู่ฉาวจิ่งยิ้มแล้วกล่าว “ท่านแม่ ข้าเอง”
มู่ซืออวี่ “…”
“มีอะไรหรือ? ท่านแม่” ลู่ฉาวจิ่งเห็นสีหน้าท่าทีของมู่ซืออวี่ดูแปลกไปเล็กน้อย ไม่รู้ด้วยเพราะเหตุใด
สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ หยิบกระจกขึ้นมาส่งให้เขา
ลู่ฉาวจิ่งรับมันมาและส่องดู แววตาเขาเต็มไปด้วยความตกใจ “น่าทึ่งยิ่งนัก!”
“ฉาวจิ่ง แม่เข้าใจความคิดของเจ้า เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเอง… เช่นนี้กระมัง?”
“ท่านแม่ ข้าจะไปเล่าเรียน มีใบหน้าเช่นนี้ ช่วยลดปัญหาไปได้มาก นี่เป็นเรื่องดีนะขอรับ!” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “นอกจากนี้ ข้าไม่ได้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ เพียงแค่ใช้ตัวยาต่าง ๆ ผสมกันแล้วทาลงบนใบหน้า อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งปีจึงจะกลับคืนสู่สภาพเดิม ดังนั้นแม้นท่านแม่จะไม่ชินก็ต้องอดทนแล้ว”
“ดูเหมือนเจ้ามีปัญหากับรูปโฉมตนเองจริง ๆ จึงได้มุ่งมั่นถึงเพียงนี้” มู่ซืออวี่เอ่ย “เอาเถอะ แม่แล้วแต่เจ้า!”
ลู่ฉาวจิ่งพาผู้ติดตามคนหนึ่งไปเล่าเรียนที่สำนักบัณฑิตถงหยาง
ภายหลังเขาจากไปแล้ว จวนลู่ก็ยิ่งว่างเปล่ายิ่งกว่าเดิม
ทว่าไม่นาน นางก็ได้รับจดหมายจากลู่จื่ออวิ๋น บอกว่าทั้งครอบครัวพวกเขาจะมาเยี่ยมเยียนที่อาณาจักรฮุ่ย
ลูกคนที่สองของลู่จื่ออวิ๋นเป็นธิดา ตอนนี้อายุได้หนึ่งขวบพอดี เมื่อรวมกับระยะเวลาระหว่างการเดินทางแล้ว เมื่อมาถึงเมืองหลวงอาณาจักรฮุ่ย เด็กน้อยคงอายุได้หนึ่งปีครึ่งแล้ว
ขณะที่มู่ซืออวี่กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมห้องหับสำหรับครอบครัวของลู่จื่ออวิ๋น ลู่ฉาวอวี่ก็ถูกคนหามกลับมาเมืองหลวง
“ฉาวอวี่บาดเจ็บเพียงนี้ได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ยืนอยู่ข้างเตียง มองดูท่านหมอรักษาลู่ฉาวอวี่ พลางเอ่ยถามผู้ติดตามที่อยู่ข้าง ๆ เขา
“นักโทษที่ใต้เท้าตามจับครานี้เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนักขอรับ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีผู้สมรู้ร่วมคิด พวกเราจึงตกหลุมพรางของอีกฝ่าย”
“ล้วนโทษข้า” ลูกน้องผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าบอกว่านี่เป็นแผนลวง บอกให้ข้าน้อยอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม แต่ข้าน้อยตกหลุมพรางการยั่วยุของอีกฝ่าย พาลูกน้องไล่ตามไปล้อม เพื่อข้าน้อยแล้ว ใต้เท้าจึงเสี่ยงอันตรายไปด้วย นี่ล้วนเป็นความผิดของข้าน้อย พระชายา ท่านโปรดลงโทษข้าน้อยเถอะขอรับ!”
“ไม่ว่าเจ้าจะทำผิดหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของใต้เท้า รอเขาฟื้นขึ้นมา ย่อมจัดการกับพวกเจ้าเอง” มู่ซืออวี่เอ่ย “พวกเจ้าไปจัดการคนอื่น ๆ ให้ดีก่อนเถิด”
ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต ในคืนเดียวกันนั้นเขาก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้อาการบาดเจ็บหนักอยู่บ้างจึงจำต้องพักอยู่บนเตียงช่วงหนึ่ง
“ท่านแม่ ข้าทำให้ท่านกังวลแล้ว” ลู่ฉาวอวี่เห็นมู่ซืออวี่ยกน้ำแกงมาให้ก็เอ่ยด้วยความรู้สึกผิด
“หลายปีมานี้ เจ้าไตร่ตรองเรื่องต่าง ๆ ได้ดีอยู่เสมอ ทำเรื่องอะไรล้วนไม่ต้องให้ข้ากังวล ครานี้กลับบาดเจ็บเพียงนี้ ช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ” มู่ซืออวี่กล่าว
“ภายหน้าข้าจะระวัง”
“หากเจ้ามีภรรยา บาดเจ็บแล้วก็คงไม่ต้องให้แม่แก่ ๆ คนนี้ต้องเป็นห่วง เช่นนั้นคงดียิ่งนัก” มู่ซืออวี่ยื่นน้ำแกงให้เขา
“ท่านแม่รีบร้อนแล้วหรือ?”
“น้องสาวเจ้ามีลูกสองคนแล้ว ส่วนเจ้าแม้กระทั่งภรรยายังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เจ้าว่าข้ารีบหรือไม่เล่า?”
ณ ที่แห่งหนึ่งในเมืองหลวง สิงเจียซือกำลังต้มยา เมื่อได้ยินรายงานจากลูกน้องของนาง แววตาพลันเต็มไปด้วยความตกใจ “ใต้เท้าลู่น้อยได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?”
“ได้ยินว่าตกหลุมพรางของศัตรูระหว่างตามจับตัวนักโทษขอรับ” ลูกน้องนางกล่าวว่า “เจ้านาย ใต้เท้าลู่น้อยมีพระคุณต่อเรา พวกเราควรแสดงน้ำใจหน่อยหรือไม่?”
สายตาของลูกน้องจับจ้องไปยังตัวยาที่สิงเจียซือกำลังต้ม
สิงเจียซือเดินทางไปทั่วอาณาจักรมาเป็นเวลาหลายปี มีกองคาราวานเป็นของตนเอง บัดนี้นางนับได้ว่าเป็นเศรษฐีนีตัวน้อย แน่นอนว่านางท่องเที่ยวไปยังสถานที่มากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา และได้ติดต่อกับผู้คนจำนวนมาก กล่าวได้ว่ามีหลายชนเผ่าที่ได้ผูกมิตรกับนาง นับได้ว่าเป็นราชทูตเดินได้เลยทีเดียว
ครั้งล่าสุดนักโทษที่ลู่ฉาวอวี่ต้องการตัวได้เข้าไปในเขตแดนของชนเผ่าหนึ่ง ชนเผ่านั้นเกลียดคนต่างเผ่าเป็นพิเศษ หากพบเห็นจะฆ่าในทันที ลู่ฉาวอวี่นึกถึงสิงเจียซือขึ้นมา และรู้ว่านางได้ติดต่อคบค้ากับคนแปลกหน้ามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงเขียนจดหมายถึงอีกฝ่าย หลังจากนั้นไม่นาน ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้รับจดหมายตอบกลับจากนาง เพียงแต่สิงเจียซือเป็นฝ่ายรีบรุดไปหาเขา ทั้งยังทำหน้าที่เป็นคนกลางให้กับเขาด้วย
แน่นอนว่า สิงเจียซือก็ขอความช่วยเหลือจากลู่ฉาวอวี่อยู่เนือง ๆ เช่นกัน อิทธิพลของสกุลลู่แพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า ตราบใดที่ป้ายของสกุลลู่ปรากฏ ย่อมมีคนมาช่วย สิงเจียซือได้รับป้ายสกุลลู่ป้ายหนึ่งจากลู่ฉาวอวี่
“ข้าจะไปดู” สิงเจียซือกล่าว “เพียงแต่ก่อนไปเยี่ยมจะต้องเตรียมของขวัญเสียก่อน ข้าจะไปซื้อของขวัญข้างนอก”
ระยะนี้สิงเจียซือกำลังขายสินค้าชุดหนึ่ง หากขายสินค้าออกไปแล้ว นางต้องเริ่มเตรียมตัวออกเดินทางท่องไปทั่วโลก ชมป่าเขาลำน้ำแปลกตาทั่วใต้หล้าต่อ
หลังจากซื้อของขวัญแล้ว สิงเจียซือก็ไปที่จวนลู่
“แม่นางสิง เชิญข้างใน”
“ขอบคุณมาก”
บ่าวรับใช้เปิดประตูออก รอให้สิงเจียซือเข้าไปในห้องแล้วจึงปิดประตู
ภายในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของคนผู้หนึ่ง
สิงเจียซือมองไปรอบ ๆ กลับไม่เห็นบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ
บนเตียงตรงข้าม มีคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนนั้น ฟังจากเสียงอีกฝ่ายคงหลับไปแล้ว
สิงเจียซือ “…”
นางจะจากไปตอนนี้คงไม่ทันแล้วใช่หรือไม่?
เพียงแต่ อย่างไรก็คงไม่อาจปลุกคนเจ็บได้กระมัง?
หากเขายังไม่ตื่นขึ้นมา นางอยู่ในห้องกับบุรุษเพียงลำพังอย่างนี้ คงไม่เหมาะสมใช่หรือไม่?
นางควรไปคารวะพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนเสียก่อน หลังจากได้รับคำอนุญาตจากนางแล้วค่อยมาพบลู่ฉาวอวี่ เหตุใดสมองจู่ ๆ ก็มึนงงขึ้นมา ไม่ทันได้คิดก็มาพบเขาเสียแล้ว ยังมีบ่าวรับใช้ในเรือนลู่ฉาวอวี่เหล่านั้นด้วย พวกเขาก็มีปัญหามากเช่นกัน
หากนายของพวกเขายังพักผ่อนอยู่ เหตุใดจึงให้นางเข้ามาเล่า? ถ้าหากนางเป็นนักฆ่า ยามนี้ลู่ฉาวอวี่คงตายไปแล้ว
สิงเจียซือวางของขวัญไว้บนโต๊ะ
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหาที่นั่งริมหน้าต่าง พลางเปิดหน้าต่างเพื่อหลีกเลี่ยงความกระอักกระอ่วนที่ไม่จำเป็น
เมื่อลู่ฉาวอวี่ฟื้นขึ้นมา เขาก็พึมพำ “น้ำ”
สิงเจียซือยังคงอยู่ในอาการงุนงง เมื่อได้ยินเสียงก็ไม่ทันได้ตอบสนอง ตอนที่ลู่ฉาวอวี่เรียกหา ‘น้ำ’ เป็นครั้งที่สอง นางถึงได้รู้สึกตัวแล้วรีบรินน้ำให้เขาหนึ่งถ้วย
“ใต้เท้าลู่ น้ำมาแล้ว”
ลู่ฉาวอวี่ได้ยินเสียงนั้นจึงลืมตาขึ้น
เขาจึงได้เห็นใบหน้าที่อ่อนโยนของสิงเจียซือ
สิงเจียซือไม่ได้ขาวผ่องอย่างคุณหนูสกุลขุนนางทั่วไป เมื่อเทียบกันแล้ว เขาที่เป็นบุรุษกลับมีผิวเนียนละเอียดทั้งยังนุ่มกว่านาง อย่างไรก็ตาม แววตาของนางใสกระจ่าง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความใจกว้าง
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
“ข้าได้ยินว่าท่านได้รับบาดเจ็บจึงมาดู”
สิงเจียซือพยุงลู่ฉาวอวี่ลุกขึ้นแล้วส่งถ้วยน้ำชาให้เขา
————————————-