บทที่ 936 ไม่อยากแต่งงาน
บทที่ 936 ไม่อยากแต่งงาน
สมองของนางปรากฏภาพฉากที่ทำแผลให้ลู่ฉาวอวี่เมื่อวานนี้ขึ้นมา
ลู่ฉาวอวี่เอนกายอยู่ตรงนั้น เรือนผมสีดำของเขาสยายลงมา ราวกับสาวงามบอบบางผู้หนึ่ง
ดวงตาเหล่าคู่นั้นสีดำสนิทลึกล้ำ ราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า เต็มไปด้วยความเมตตาและอ่อนโยน
สิงเจียซือรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับตน
หัวใจของนาง…
เต้นเร็วยิ่งนัก!
หรือว่านางก็ป่วยแล้ว?
เมื่อลู่ฉาวอวี่ตื่นขึ้นมา สิ่งที่เขาเห็นเป็นภาพหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเช็ดเหงื่อให้ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา
ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวกลับปิดตาเช็ดเหงื่อ เห็นได้ชัดว่าเช็ดไม่ถูกที่ถูกทางแม้แต่น้อย นั่นทำให้ร่างกายของเขาระคายเคืองยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าปิดตาเช็ดจะเช็ดถูกได้อย่างไร?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ
ผ้าในมือสิงเจียซือเลื่อนหล่นจากมือนาง นางลืมตาขึ้นอย่างประหม่า เห็นเพียงรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของลู่ฉาวอวี่
“เจ้ากำลังทำอะไร?”
“ท่านฟื้นแล้วหรือ!” สิงเจียซือกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ยังไม่สบายตัวที่ใดหรือไม่?”
“มีสิ!” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “เหงื่อไหลท่วมกาย ไม่สบายตัวยิ่งนัก”
“เช่นนั้น ข้าจะไปเรียกคนเข้ามา”
“ไม่ต้องแล้ว” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “เจ้าบอกข้ามาก่อนว่า เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้!”
“แผลของท่านติดเชื้อจึงมีไข้ขึ้นสูง ข้ากังวลเล็กน้อยจึงมาดู”
“ไม่เป็นไรแล้ว” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ไม่ต้องกังวล”
“ต้องโทษข้า เมื่อวานเหตุใดไม่ระวังได้ก็ไม่รู้”
“ถึงแม้แผลจะไม่ปริ ข้าก็ยังคงติดเชื้อเช่นเดิม” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “หลังเจ้าจากไปเมื่อวาน ข้าปรึกษาเรื่องงานกับลูกน้อง ไม่ได้พักผ่อนจนถึงเที่ยงคืน”
ด้วยเหตุนี้ การที่เขาล้มป่วยจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาง
สิงเจียซือขมวดคิ้ว “ใต้เท้า เหตุใดท่านไม่ดูแลร่างกายตนเองเลยเล่า? ท่านบาดเจ็บจนเป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะห่วงเรื่องในราชสำนักอยู่อีกหรือ? ทั้งสำนักตรวจการไม่มีใต้เท้าคนอื่น ๆ ที่ทำงานได้นอกจากท่านหรือไร?”
“คำพูดของเจ้ายามนี้เหมือนผู้ใดรู้หรือไม่?”
สิงเจียซือส่ายหน้า
“แม่ข้า”
สิงเจียซือ”…”
ลู่ฉาวอวี่เห็นใบหน้าของนางแดงระเรื่อจึงยิ้มบาง “วันนี้เจ้าไม่ได้เตรียมไก่ย่างมาให้ข้าแล้วหรือ?”
“ท่านป่วยถึงเพียงนี้ยังจะกินไก่ย่างอะไรอีก?”
มู่ซืออวี่ฟังบ่าวรับใช้รายงานแล้วกล่าว “เตรียมอาหารมื้อเบาไว้ ประเดี๋ยวข้าจะรับรองแม่นางสิง”
“เจ้าค่ะ”
ซูจือหลิ่วที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยว่า “ดวงชะตาวันเกิดยังไม่ทันได้ตรวจดู กลับกระตือรือร้นเอาอกเอาใจลูกสะใภ้เพียงนี้แล้วหรือ?”
“เอาอกเอาใจอะไรกัน? ข้ายังไม่รู้ว่าแม่นางสิงจะสนใจเจ้าเด็กคนนั้นหรือไม่ เหตุใดพวกเราไม่ลองดูท่าทีของอีกฝ่ายดูเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้าลูกคนนั้นหน้าตาไม่เลว เพียงแต่นิสัยเสีย ๆ ของเขาก็ไม่ใช่ว่าแม่นางทุกคนจะทนได้ ข้าไม่ได้อยากกระตือรือร้นอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว นั่นจะกระอักกระอ่วนเสียเปล่า ๆ”
“นี่มีเหตุผล”
“เจ้าช่วยแนะนำเรื่องเตรียมการที่พักเถิด ดูว่าข้ายังต้องเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์กับสามีต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีจึงจะมาถึง ท่านรีบร้อนอะไร? นอกจากนี้ นิสัยลูกสาวของท่านเป็นอย่างไรท่านไม่รู้หรือ? ที่นี่ยังเหมือนกับตอนก่อนนางจะออกเรือน นับว่าค่อนข้างดีแล้ว มีอะไรให้ปรับปรุงอีกเล่า?”
“หลังจากเปิดน่านน้ำแล้ว จากอาณาจักรเฟิ่งหลินมายังเมืองหลวงของเราเร็วที่สุดใช้เวลาสี่เดือน ถึงตอนนั้น ไม่ใช่เพียงเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์และสามีของนางเท่านั้นที่จะมา แต่ยังมีลูกทั้งสองคนด้วย! ข้าอยากติดตั้งสระว่ายน้ำเล็ก ๆ ไว้ตรงนี้ ให้เด็ก ๆ ได้เล่นอยู่ที่บ้าน”
“เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก! ข้าเพิ่งรู้สึกว่าท่านสร้างลานเด็กเล่นให้ลูก ๆ ของเราเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนี้เด็ก ๆ เติบใหญ่ขึ้นแล้ว และท่านกำลังจะสร้างสวนสนุกให้หลานชายหลานสาว”
มู่ซืออวี่ลูบผมตนเอง “ข้าแก่แล้วใช่หรือไม่?”
“พอได้แล้วกระมัง” ซูจือหลิ่วโวยขึ้นมา “เอาละ ท่านไม่ต้องกังวลหรอก เรื่องลานเด็กเล่นก็พอแค่นี้เถิด ท่านเพียงแค่คงทุกอย่างไว้ดังเดิม ดอกไม้ที่เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ชอบ แค่ปลูกมันก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”
สิงเจียซือพูดคุยอยู่กับลู่ฉาวอวี่พักหนึ่ง ขณะที่นางกำลังจะจากไปก็เห็นซางจือเดินเข้ามาจากด้านนอก แย้มยิ้มแล้วกล่าวชวนให้อยู่ทานอาหารเย็นด้วย
สิงเจียซือหันไปมองลู่ฉาวอวี่ “เช่นนี้จะรบกวนเกินไปหรือไม่?”
“เจ้ามาหาข้า นับเป็นแขกของจวนเรา ท่านแม่ข้าชวนเจ้าทานมื้อเย็น นี่เป็นการรบกวนที่ใดกัน? ไปเถอะ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย
มู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วเชิญสิงเจียซือมาทานมื้อเย็น
สิงเจียซือรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในตอนแรก ทว่าระหว่างที่คุยกับมู่ซืออวี่ก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว
หากมู่ซืออวี่ต้องการทะลุทะลวง ‘ศัตรู’ ย่อมต้องทะลุกลางเป้าอย่างไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็น
“แม่นางสิง ตอนนี้น้องชายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ขอบคุณพระชายาที่เป็นห่วง ตอนนี้เขาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักบัณฑิตถงหยาง ใช้ชีวิตเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
“ครานี้เจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่นานเพียงใดหรือ?” ซูจือหลิ่วเอ่ยถาม
“หลังจากขายสินค้าชุดนี้แล้ว ข้าจะออกเดินทางต่อเจ้าค่ะ” สิงเจียซือเอ่ย “พระชายา ผู้ที่เจียซือนับถือที่สุดคือท่าน ในสายตาของเจียซือ หากสตรีสามารถมีสายตากว้างไกลได้อย่างพระชายา ชีวิตก็นับว่าคุ้มค้าแล้ว”
ซูจือหลิ่วเหลือบมองมู่ซืออวี่แวบหนึ่ง “เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก สตรีใต้หล้านี้ล้วนอยากเป็นท่านคนที่สอง”
มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “นี่มีอะไรไม่ดีกัน? ผู้ใดบอกว่าหลังจากสตรีแต่งงานแล้ว จะต้องอยู่แต่บ้านไม่ออกไปที่ใดเล่า?”
“พระชายา เจียซือกล่าวอะไรผิดหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่มี” มู่ซืออวี่เอ่ย “ฮูหยินรองลู่เพียงต้องการทาบทามสู่ขอเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
สิงเจียซือตกตะลึง “นี่…”
“เจ้าเพียงแค่บอกมาว่าเจ้าคิดอย่างไร ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หากเจ้ามีคนรักอยู่ข้างนอกแล้ว พวกเราย่อมไม่บังคับ” ซูจือหลิ่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงแต่ข้าแค่เห็นเจ้าก็ถูกชะตา ข้าชอบเจ้ามาก หากเจ้ายังไม่แต่งงาน พอดีข้าพอจะรู้จักเด็กไม่เลวสองสามคนจึงอยากจะเลือกสักคนให้”
“พระชายา ฮูหยิน ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยเจ้าค่ะ” สิงเจียซือหน้าแดงก่ำขึ้นมา
“เช่นนั้น เจ้ามีคนในใจแล้วหรือยัง?”
“ข้า… ไม่มีเจ้าค่ะ” สิงเจียซือลังเลไปครู่หนึ่ง
เมื่อเอ่ยถึงคนในใจขึ้นมา เหตุใดนางจึงนึกถึงลู่ฉาวอวี่ได้เล่า?
ไม่! นางไม่อาจละเมอเพ้อพกไปไกลเป็นอันขาด
“ไม่มีหรือ เช่นนั้นดูเหมือนจะไม่รีบร้อน การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสตรี ไม่อาจจัดการลวก ๆ ได้” มู่ซืออวี่เอ่ย “เอาละ ไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้าค่อย ๆ ชิมอาหารเถิดว่าถูกปากหรือไม่”
“ขอบคุณพระชายาเจ้าค่ะ”
ซูจือหลิ่วแตะแขนของมู่ซืออวี่แล้วกระซิบเบา ๆ “เหตุใดท่านไม่ถามให้มากกกว่านี้เล่า?”
“สาวน้อยคนนี้ยังไม่ได้ใคร่ครวญให้ดี ถามตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา รอดูเถิด! อย่าได้ทำให้แม่นางน้อยตกใจไป” มู่ซืออวี่กล่าว
สิงเจียซือขึ้นรถม้าของจวนท่านอ๋องลู่กลับไปยังที่พักของตนเอง
นางเอาแต่นึกถึงถ้อยคำเหล่านั้นของมู่ซืออวี่
การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสตรี ไม่อาจทำลวก ๆ ให้แล้วไปได้
“แต่งงานหรือ?” สิงเจียซือพึมพำ “บุรุษผู้ใดในโลกนี้ที่จะทนสตรีที่ท่องไปทั่วหล้าได้? แทนที่จะให้ข้าอยู่แต่เรือนหลัง ไม่สู้เป็นอิสระเสรีอย่างตอนนี้ยังดีกว่า”
หลังจากใคร่ครวญเรื่องนี้แล้ว สิงเจียซือก็ผ่อนคลายลง ราวกับว่าก้อนหินที่กดทับใจนางถูกยกออกไป
นางไม่อยากแต่งงาน!