บทที่ 939 หลังจากผ่านไปหลายปี พี่หญิงกับน้องหญิงก็กลับมาพบหน้า
บทที่ 939 หลังจากผ่านไปหลายปี พี่หญิงกับน้องหญิงก็กลับมาพบหน้า
หลังออกมาจากวัง ฉีเจินก็พาภรรยาและลูก ๆ ของเขาขึ้นรถม้า
ฉีเซียวควบม้าผ่านไป
ฉีเจินร้องเรียกเขาไว้ “น้องเซียว”
ฉีเซียวบังคับม้าให้หยุดลง รูปลักษณ์อันสง่างามของเขายังคงเหมือนดังแต่ก่อน เพียงแต่ภายใต้รัตติกาลอันหนาวเหน็บกลับยิ่งดูลึกลับขึ้นหลายส่วน ประหนึ่งเทพเซียนใต้แสงจันทร์ก็มิปาน
ฉีซืออี้เปิดม่านออก มองดูบุรุษผู้นั้นที่กำลังพูดคุยกับบิดาของนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เขาเป็นท่านอาหรือ?”
ฉู่หนิงจูกำลังเหม่อลอยจึงไม่ได้ฟังคำพูดของลูกสาว
ฉีเว่ยฟางก็อยากรู้อยากเห็นพอ ๆ กัน จึงมองออกไปข้างนอกแล้วกล่าวว่า “เป็นเขา ก่อนที่คุณชายใหญ่ลู่จะกลายเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดในเมืองหลวง ท่านอาของเราเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดมาก่อน เพียงแต่ข้าได้ยินว่าเขาถ่อมตนเป็นอย่างมากจึงสวมหน้ากากมานานหลายปี”
“มีคนบอกว่าข้าดูเหมือนเขา” ฉีซืออี้เอ่ย
“ไม่นับว่าเหมือนมากนัก” ฉีเว่ยฟางเหลือบมองฉีซืออี้แวบหนึ่ง
“เขากับท่านพ่อไม่ใช่พี่น้องกันหรือ? เหตุใดจึงรู้สึกห่างเหินยิ่งนัก?”
“เขาคงนิสัยเช่นนี้กระมัง ได้ยินว่าเขาเคยควบคุมหน่วยลับ รู้จักหน่วยลับหรือไม่?” ฉีเว่ยฟางโน้มตัวลงไปกระซิบสองสามคำข้างหูของฉีซืออี้
“ร้ายกาจยิ่ง”
ฉีเจินและฉีเซียวพูดคุยกันเพียงสองสามคำ จากนั้นฉีเจินก็กลับเข้าไปในรถม้า ฉีเซียวจึงขี่ม้าจากไป
“ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านอาอยู่ในตำแหน่งใดหรือเจ้าคะ?” ฉีซืออี้เอ่ยถามขึ้นมา
“เขาเป็นสหายร่วมงานของข้า ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ดูแลกรมกลาโหม” ฉีเจินกล่าว “เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าไปยุ่งอะไรมากมายนัก ปกติก็ไม่ค่อยเข้ากรม”
ฉีเจินสังเกตเห็นว่าฉู่หนิงจูกำลังเหม่อลอยจึงเอ่ยเบา ๆ “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
ฉีซืออี้เขย่าตัวฉู่หนิงจูเบา ๆ
ฉู่หนิงจูจึงรู้สึกตัว “หืม?”
“ได้ยินว่าเจ้ากับพระชายาลู่และฮูหยินรองลู่ล้วนเป็นสหายสนิทกัน” ฉีเจินกล่าว “ไม่ได้พบกันหลายปีแล้ว ยังคงคิดถึงอยู่ใช่หรือไม่?”
“หลังจากสตรีออกเรือน ล้วนให้ความสำคัญกับครอบครัวสามีมาเป็นอันดับแรก เรื่องก่อนหน้านี้มากมายล้วนหลงลืมไป ครานี้ได้กลับมาพบพวกเขาอีกครั้ง ทุกอย่างล้วนดูแปลกยิ่งนัก ข้ารู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง”
“ท่านอ๋องลู่เป็นขุนนางที่ฝ่าบาทให้ความไว้ใจที่สุด มีความสัมพันธ์กับครอบครัวพวกเขาเป็นเรื่องดี หากเจ้ารู้สึกไม่คุ้นเคย อาจเป็นเพราะไม่ได้พบกันนาน บัดนี้กลับมายังเมืองหลวงแล้ว ผ่านไปสักพักย่อมคุ้นเคยกับพวกเขาอย่างแน่นอน”
“ท่านแม่ทัพกล่าวได้ถูกต้อง”
มู่ซืออวี่ได้รับข้อความจากฉู่หนิงจูในวันรุ่งขึ้น
ฉู่หนิงจูพาลูกสาวของนางมาเยี่ยมเยือน มู่ซืออวี่จึงคอยรับรอง
หลังจากนั้น ฉู่หนิงจูจึงเอ่ยถึงเรื่องที่ต้องการไปเยี่ยมชมเรือนพักผ่อนบนภูเขา มู่ซืออวี่จึงพาฉู่หนิงจูและลูกสาวไปยังเรือนพักผ่อนบนภูเขาด้วยตนเอง
“ที่นี่งามจริง ๆ นะเจ้าคะ” ฉีซืออี้มองวิวทิวทัศน์อันงดงามตรงหน้าด้วยความสนใจใคร่รู้ “ตอนที่ข้าอยู่ชายแดน ได้ยินว่ามีเรือนพักผ่อนบนภูเขาที่น่าสนใจมากในเมืองหลวง ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้เห็น พระชายา ท่านเป็นแบบอย่างให้กับสตรีในใต้หล้า ท่านเก่งกาจจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“ลูกสาวคนนี้ดูเหมือนเจ้ามากทีเดียว” มู่ซืออวี่กล่าว
ฉู่หนิงจูหัวเราะออกมาเบา ๆ “ทำให้พระชายาขบขันแล้ว”
ในเรือนพักผ่อนบนภูเขามีสนามม้า ฉีซืออี้สมกับเป็นเด็กผู้หญิงที่เติบโตมากับม้า นางถูกสนามม้าดึงดูดความสนใจไปอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่กว้างขวางมาก เจ้าจัดงานเลี้ยงน้ำชาได้ทุกที่ที่เจ้าต้องการ ห้องพักมีทั้งแบบข้างในหรูหราใหญ่โต และแบบที่อยู่ในสวนกลางแจ้ง
“พระชายามีคำแนะนำดี ๆ หรือไม่เจ้าคะ?”
“ทุกคนชอบแบบกลางแจ้งทีเดียว อีกทั้งยังมีกิจกรรมให้ทำมากมาย” มู่ซืออวี่กล่าว “ด้านหลังยังมีบ่อน้ำพุร้อน หากอยากอาบน้ำก็ทำได้เช่นกัน นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มหลากหลาย นอกจากสุราขาวที่รสแรงแล้ว ยังมีสุราองุ่นและสุราผลไม้ต่าง ๆ หากเจ้าต้องการลิ้มลองรสชาติใหม่ ๆ ก็แจ้งให้คนงานจัดเครื่องดื่มให้ผสมสุราชนิดอื่น ๆ ให้ได้”
“ข้าไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานหลายปี ที่นี่เปลี่ยนแปลงมากมายทีเดียว แม้กระทั่งเครื่องดื่มก็หลากหลาย ข้ารู้สึกราวกับเป็นพวกบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนเลย”
“เอาอย่างนี้ ไม่ต้องรีบร้อนที่จะรับรองแขก ข้าจะพาเจ้ามาเที่ยวเล่นที่นี่สักสองสามวัน รอเจ้าได้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อย่างครบถ้วน เจ้าจะต้องเกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมาอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นพระชายาท่านต้องให้ส่วนลดข้าหน่อยนะเจ้าคะ ข้ายากจน เงินในมือต้องเก็บหอมรอมริบไว้บ้าง”
“ข้าให้ส่วนลดเจ้าห้าส่วนคงได้กระมัง?” มู่ซืออวี่หัวเราะเบา ๆ “หากข้าไม่กลัวว่าจะทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าจะให้เจ้าเปล่า ๆ เชียว”
“คำที่ข้ารอคือคำนี้” ฉู่หนิงจูเอ่ย “พระชายาจะกลับคำไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ลำบากใจ และจะต้องคว้าประโยชน์นี้ไว้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา
ฉู่หนิงจู่ก็หัวเราะแล้วเช่นกัน
ในยามนี้เอง ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนร่นลงไปไม่น้อยแล้ว
สองสามวันถัดมา ฉู่หนิงจูก็ผ่านกิจกรรมเกือบทั้งหมด พอรู้คร่าว ๆ ว่ามีอะไรบ้างแล้ว นางจึงส่งเทียบเชิญถึงฮูหยินของแต่ละจวน
ฮูหยินจากจวนต่าง ๆ พาบุตรสาวของพวกนางมาร่วมงานเลี้ยง
มู่ซืออวี่กล่าวแนะนำฉู่หนิงจูให้กับทุกคน
งานเลี้ยงในพระราชวังวันนั้น ฉู่หนิงจูได้พบกับฮูหยินของขุนนางขั้นสี่แล้ว ทว่าหลังจากบอกลาด้วยความเร่งรีบก็จำได้เพียงไม่กี่คน ยิ่งไปกว่านั้น เทียบเชิญในวันนี้ไม่ได้ส่งให้เพียงฮูหยินของขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป หากแต่ยังมีฮูหยินของขุนนางขั้นหกขึ้นไปแทบทั้งหมด นอกเสียจากผู้ที่มีบางอย่างต้องทำและไม่สามารถมาได้หรือผู้ที่ไม่ชมชอบการพบปะสังสรรค์เช่นนี้ ก็มีคนมาร่วมงานเลี้ยงมากกว่าสี่สิบคน
ฮูหยินนับสี่สิบท่าน รวมกับธิดาของพวกนางแล้วก็เกือบแปดสิบคน
ไม่ว่ายุคสมัยใด การรวมตัวล้วนเป็นวิธีเชื่อมสัมพันธ์ที่ได้ผล ยิ่งไปกว่านั้น มู่ซืออวี่ยังอยู่ที่นี่ แม้กระทั่งผู้ที่ลอบเกลียดชังนาง ฉากหน้าก็ยังต้องแสดงท่าทีเคารพ ไม่กล้าปะทะซึ่ง ๆ หน้า
“ได้ยินว่าฮูหยินแม่ทัพฉีผู้นั้นกับพระชายาลู่และฮูหยินรองลู่เกี่ยวข้องกันด้วยเรื่องบางอย่าง” ภายในสวน ฮูหยินสองท่านกำลังพูดคุยซุบซิบกัน
“เรื่องเป็นอย่างไร?”
“ก่อนหน้านี้ท่านอยู่ด้านนอกจึงไม่รู้ความลับ ฮูหยินแม่ทัพฉีผู้นั้นกับนายท่านรองลู่เคยมีอดีตร่วมกัน”
“หา?!”
“ไม่เพียงเท่านั้น ฮูหยินฉีและฮูหยินรองลู่ยังเป็นสหายที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นทีเดียว”
“สวรรค์! นี่น่ากลัวยิ่งนัก ปกติมองไม่ออกแม้แต่น้อยว่าฮูหยินรองลู่เป็นคนเช่นนี้”
ฉีซืออี้ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าอึมครึม
คุณหนูสกุลสูงศักดิ์หลายคนที่อยู่ข้าง ๆ นางมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
ดอกไม้ของที่นี่ดูสวยงาม ทั้งยังมีหลายชนิดที่นำมาจากที่อื่น พบเห็นได้ยากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าฮูหยินลู่ทำอย่างไรจึงนำมันมาปลูกไว้ที่นี่ได้
ที่นี่ไม่เคยขาดผู้ที่ชื่นชมบุปผา หลาย ๆ คนพยายามปลูกดอกไม้ในสวนของตนเอง ท้ายที่สุดกลับจบลงด้วยความล้มเหลว
เป็นเพราะความหายากนี้ ดังนั้นพวกนางจึงชอบสวนของที่นี่มาก นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำนินทาว่าร้าย อีกทั้งบุตรสาวของตัวต้นเรื่องยังอยู่ข้าง ๆ พวกนาง
“พี่หญิงอิน ท่านแม่ท่านไร้กฎเกณฑ์เกินไปแล้ว” คุณหนูสกุลสูงศักดิ์ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “เอ่ยเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
“นั่นซี!”
คุณหนูสกุลสูงศักดิ์แซ่อินผู้นั้นใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา “ท่านแม่ข้าไม่ได้ตั้งใจ ทุกคนถือเสียว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ก็แล้วกัน!”
หากเป็นเพียงฮูหยินรองลู่กับฮูหยินแม่ทัพฉีก็แล้วไปเถิด ไยต้องดึงพระชายาลู่เข้าไปผสมโรงเล่า? ชื่อเสียงเรื่องรักภรรยาของท่านอ๋องลู่นั้นรู้กันทั่วหล้า หากโยงมู่ซืออวี่ไปเกี่ยวด้วย บิดาของนาง ผู้ที่อยู่ในราชสำนักจะไม่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร?
ฉีซืออี้เดินผ่านไป
เมื่อฮูหยินสองท่านนั้นที่กำลังพูดคุยกันเห็นนางก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาในบัดดล
คุณหนูอินเดินออกมาพลางบ่น “ท่านแม่ ไยล้วนกล่าวอะไร ๆ ออกมาหมดเล่า?”
“นี่… พวกเราแค่เพียงพูดคุยกัน ไม่ได้มีความหมายอื่นใด นอกจากนี้ เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นอดีตไปแล้ว ผู้คนในเมืองหลวงล้วนรู้เรื่องนี้ทั้งสิ้น” ฮูหยินอินกล่าว
ฉีซืออี้นึกไม่ถึงว่ามารดาของตนจะเคยข้องเกี่ยวกับบุรุษผู้อื่น จู่ ๆ ภายในใจของนางก็รู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
————————————-