บทที่ 940 นางก็ชอบแซ่ลู่เช่นกัน
บทที่ 940 นางก็ชอบแซ่ลู่เช่นกัน
ถ้อยคำของฉู่หนิงจูหวนกลับมาในห้วงความคิดของฉีซืออี้
มารดานางกล่าวว่าชายอื่นล้วนได้ทั้งสิ้น แต่กับแซ่ลู่นั้นไม่ได้
ก่อนหน้านี้ ฉีซืออี้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นคนแซ่ลู่ไม่ได้ ด้วยตำแหน่งขุนนางของบิดา แม้ครอบครัวของพวกนางจะไม่ได้มีเกียรติทัดเทียมสกุลลู่ ทว่าก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก นอกจากนี้เมื่อเหลียวมองทั่วทั้งอาณาจักรฮุ่ยแล้ว นอกเหนือจากราชวงศ์ก็ไม่มีสกุลใดรุ่งโรจน์ไปกว่าสกุลลู่อีก คงไม่ใช่นายน้อยสกุลลู่แต่ละคนล้วนไม่ใช่ลูกที่แท้จริงกระมัง?
บัดนี้เมื่อนำเรื่องราวเก่า ๆ ที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่มาปะติดต่อกัน ท้ายที่สุดฉีซืออี้ก็เข้าใจความหมายของฉู่หนิงจู เป็นเพราะมารดาของนางยังมีเยื่อใยกับบุรุษสกุลลู่ นางจึงไม่อาจตกหลุมรักบุรุษแซ่ลู่ได้
“นี่มันเหตุผลอะไร?” ฉีซืออี้พึมพำ “ท่านแต่งกับคนแซ่ลู่ไม่ได้ นั่นเป็นเพราะท่านไร้วาสนา บางทีข้าอาจมีวาสนานี้ก็ได้?”
“นั่นใต้เท้าลู่น้อยไม่ใช่หรือ?” คุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
ฉีซืออี้เงยหน้าขึ้น มองไปทางที่คุณหนูผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นชี้จึงเห็นลู่ฉาวอวี่ดังคาด
ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้สวมชุดขุนนาง หากแต่สวมชุดลำลองสบาย ๆ
เขาแต่งกายด้วยเสื้อแพรไหมปักดิ้นสีม่วงแดง บนศีรษะประดับปิ่นหยกทำให้โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษท่ามกลางบุรุษคนอื่น ๆ
“สองสามท่านนั้นเป็นผู้ใดหรือ?”
“ดูเหมือนล้วนเป็นใต้เท้าจากสำนักตรวจการ”
“วันนี้เป็นวันรวมตัวกันของใต้เท้าสำนักตรวจการหรือ?”
ลู่ฉาวอวี่เรียกผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปยังเรือนพักผ่อนบนภูเขาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ขณะเดียวกันก็จัดการประชุมหารือเรื่องคดีล่าสุด
เขาดื่มไปเพียงไม่กี่จอกก็รู้สึกเมาขึ้นมาเล็กน้อยจึงตั้งใจจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตน
พลั่ก
มีคนผู้หนึ่งชนเข้ากับเขา
“ขออภัย” สตรีผู้นั้นเข้าไปพยุงลู่ฉาวอวี่ “ท่านไม่เป็นไรกระมัง?”
ลู่ฉาวอวี่ดึงแขนตนกลับ ทั้งยังกล่าวเสียงเย็น “ไม่เป็นไร”
จู่ ๆ สตรีผู้นั้นก็ชนเข้ากับเขา หากแต่นางไม่ได้มีแรงอะไรมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
“คุณชายท่านนี้ ข้าอยากไปสนามม้า จากที่นี่ไปสนามม้าไปอย่างไรหรือ? ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่รู้ที่ทางนัก”
“ข้าจะเรียกคนให้ท่าน”
“ที่นี่ไม่เห็นมีผู้ใด…”
ลู่ฉาวอวี่ดึงกระดิ่งเล็ก ๆ ที่แขวนอยู่กับกิ่งไม้แถวนั้น
หลังจากเสียงกระดิ่งดังขึ้นก็มีคนรุดมาอย่างรวดเร็ว
“นายน้อย”
“คุณหนูท่านนี้หาสนามม้าไม่พบ พวกเจ้าพานางไปที”
“เจ้าค่ะ”
ฉีซืออี้ “…”
ที่แท้กระดิ่งเล็ก ๆ ที่สวยงามเหล่านั้นก็มีประโยชน์ใช้สอยเช่นนี้
นางคิดว่าเป็นเพียงของตกแต่งเสียอีก!
หญิงสาวมองเงาร่างของลู่ฉาวอวี่เดินจากไป สายตาของนางเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
เหตุใดคนผู้นี้คนนี้ถึงได้เย็นชาเพียงนี้เล่า?
นางอยู่ชายแดนก็นับได้ว่าเป็นบุปผางาม ไม่รู้ว่ามีบุรุษกี่มากน้อยอยากจะรู้จัก
มู่ซืออวี่แนะนำฮูหยินของแต่ละจวนให้กับฉู่หนิงจู จากนั้นก็ปล่อยให้พวกนางได้สานสัมพันธ์กันต่อ ขณะที่ตนเองตรวจสอบการดำเนินงานของเรือนพักผ่อนบนภูเขา
นางได้ยินคนบอกว่าลู่ฉาวอวี่พาเจ้าหน้าที่จากสำนักตรวจการมาพักผ่อนที่นี่จึงให้คนไปแจ้งลูกชาย ไม่ให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเผลอไปรบกวนบรรดาคุณหนูผู้บอบบางเข้า
“พระชายา แม่นางสิงผู้นั้นก็มาแล้วเจ้าค่ะ” ซางจือกล่าว
“นางมาที่นี่ได้อย่างไร?”
“ดูเหมือนจะมาเจรจาการค้ากับผู้อื่นเจ้าค่ะ” ซางจือกล่าว “บ่าวเห็นนางจึงสอบถามดูสองสามประโยค นางก็ไม่ได้กล่าวชัดเจน เพียงบอกว่าพาแขกมาเจ้าค่ะ”
ลู่ฉาวอวี่เปิดหน้าต่างออก ชมวิวทิวทัศน์ด้านนอก
หลายปีที่ผ่านมา เรือนพักผ่อนบนภูเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงแทบทุกปี หากไม่ใช่มู่ซืออวี่นำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา ก็เป็นดอกไม้ชนิดใหม่ ๆ จากต่างแคว้นที่มักจะถูกมารดาของเขานำมาปลูกไว้ในสวน
ที่นี่ไม่เพียงแต่จะได้เห็นดอกไม้แปลกตาหลากชนิดตลอดทั้งปี บนเขาด้านหลังยังมีพืชผลหลายสายพันธุ์ปลูกเอาไว้ กล่าวได้ว่าวัตถุดิบที่ใช้ในเรือนพักผ่อนบนภูเขาล้วนปลูกเอง มีคนคอยดูแลโดยเฉพาะ
ทันทีที่เปิดหน้าต่างออก คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เปิดหน้าต่างออกเช่นกัน
“ใต้เท้าลู่น้อย” สิงเจียซือมองเขาด้วยความประหลาดใจ
ลู่ฉาวอวี่นิ่งงันไปชั่วขณะแล้วแย้มยิ้มบาง ๆ “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“ข้าพาคนจากเผ่าอวิ๋นอิงมาหารือเรื่องการค้าเจ้าค่ะ”
“เผ่าอวิ๋นอิง? ที่เจ้าเคยบอกว่าเผ่าของพวกเขาล้าหลัง ยามป่วยไข้ยังต้องกินดินแปลก ๆ เพื่อรักษา ผลที่ได้คือทั้งเผ่าล้วนร่างกายไม่แข็งแรงน่ะหรือ…”
“ใช่ เป็นพวกเขา ในที่สุดข้าก็โน้มน้าวให้พวกเขาออกจากเผ่ามาดูโลกภายนอกได้ ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว เพียงแต่เผ่าพวกเขายากจนเกินไป หากต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจะต้องสอนวิธีทำการค้าให้ โชคดีที่เผ่าของพวกเขามีสมุนไพรชั้นดีที่หาไม่ได้จากที่อื่น ข้าจึงให้ลองปลูกสมุนไพรเหล่านั้นนำไปขาย คราวนี้ข้าแนะนำคนซื้อให้พวกเขา”
“เจ้าทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่นัก”
“อันที่จริงก็ไม่ได้ดีเพียงนั้น” สิงเจียซือบีบนวดนิ้วมือตนเอง “ข้าเพียงแค่คิดว่าชีวิตของพวกเขายากจนข้นแค้นเกินไปจึงอยากช่วยเหลือ”
“เช่นนั้นเจ้ามาที่นี่…”
“เรื่องการค้าลุล่วงแล้ว ข้าจึงพาพวกเขามาผ่อนคลายเสียหน่อย ขณะเดียวกันก็เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ไปด้วย แน่นอนว่าต้องขอบคุณบัตรที่ใต้เท้ามอบให้ข้า ข้ามาที่นี่จึงได้รับส่วนลดหกส่วนเชียว!”
“ดี เช่นนั้นก็ขอให้สนุก”
“ขอบคุณใต้เท้า”
บัตรของลู่ฉาวอวี่เป็นบัตรพิเศษ ลดราคาสูงสุดถึงห้าส่วน เหตุที่นางได้รับส่วนลดถึงหกส่วน นั่นเป็นเพราะลู่ฉาวอวี่กำชับไว้ต่างหาก
สิงเจียซือกำลังจะกลับเข้าไป จู่ ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงกลับไปยังหน้าต่างแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้า ข้ามีของจะให้ ข้าไปที่ห้องท่านได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ลู่ฉาวอวี่ตอบ “ย่อมได้”
สิงเจียซือยิ้มบาง ๆ หมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง
นางเคาะประตูห้องลู่ฉาวอวี่ด้วยของบางอย่าง
ลู่ฉาวอวี่เปิดประตูออกไป
“ข้าไม่เข้าไปหรอก” สิงเจียซือยื่นกล่องใบหนึ่งให้ลู่ฉาวอวี่ “หลายปีมานี้ข้าเดินทางไปที่ต่าง ๆ มากมาย บางที่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรฮุ่ยเรา ข้าจึงวาดแผนที่ขนาดเล็กโดยอิงจากสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ออกมา หลายปีมานี้ใต้เท้าก็ได้จัดการกับคดีใหญ่และแปลกประหลาดมากมาย บางครั้งจำต้องไปสืบคดีที่อื่น แผนที่เหล่านี้อาจมีประโยชน์ต่อท่าน”
“ของขวัญชิ้นนี้ข้าชอบยิ่งนัก” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ขอบคุณ”
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนใต้เท้าแล้ว” สิงเจียซือเอ่ย
ลู่ฉาวอวี่กลับเข้ามาในห้อง
ขณะที่สิงเจียซือกำลังเดินกลับก็เห็นคนงานผู้หนึ่งเดินผ่านมา จึงสั่งว่า “ดูเหมือนใต้เท้าลู่จะดื่มสุราไปไม่น้อย พวกเจ้าเตรียมน้ำแกงสร่างเมานำไปส่งให้เขาเถอะ”
“ขอรับ คุณหนู”
มู่ซืออวี่เพิ่งลองทานของว่างชนิดใหม่
นางออกมาจากห้องครัวและพบเข้ากับฉีซืออี้ที่กำลังเดินผ่านมา “คุณหนูฉี เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้? ต้องการสิ่งใดเพียงบอกกล่าวบ่าวรับใช้ก็พอ”
“พระชายา” ฉีซืออี้ค้อมคำนับ “ที่นี่งดงามจริง ๆ ข้าถึงกับตื่นตาตื่นใจไปครู่หนึ่งจึงหลงทางแล้ว พระชายากำลังยุ่งอยู่หรือไม่เจ้าคะ? ข้าติดตามท่านเดินดูรอบ ๆ ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ข้าไม่ยุ่ง หากเจ้าสนใจ เช่นนั้นก็ให้ข้าพาเจ้าเยี่ยมชมรอบ ๆ เถอะ!”
“ขอบคุณพระชายาเจ้าค่ะ” ฉีซืออี้ดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ที่ชายแดนน่าสนใจหรือไม่?” มู่ซืออวี่ชวนนางพูดคุย
ฉีซืออี้เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจที่ชายแดนให้ฟัง
มู่ซืออวี่รับคำเป็นครั้งคราว ฟังนางเล่าอย่างตั้งใจ แสดงความคิดเห็นของตนบ้างเป็นบางครั้ง
“อันที่จริงหลายปีมานี้บริเวณชายแดนดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเจ้าค่ะ” ฉีซืออี้กล่าว “เบี้ยเลี้ยงทหารที่ราชสำนักจัดสรรให้เพียงพอให้ทหารได้มีชีวิตที่ดี เพียงแต่สภาพแวดล้อมทางชายแดนไม่สู้ดีนัก แต่นั่นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”