สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 941 สำนักตรวจการเกิดเรื่องแล้ว

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 941 สำนักตรวจการเกิดเรื่องแล้ว

บทที่ 941 สำนักตรวจการเกิดเรื่องแล้ว

ขณะที่ลู่ฉาวอวี่กำลังจะนอนลงก็มีเสียงมาจากข้างนอก

“เกิดอะไรขึ้น?”

ลู่โหลวรายงานผ่านประตู “ใต้เท้า เกิดเรื่องกับทางสำนักตรวจการแล้วขอรับ”

ลู่ฉาวอวี่ผลุนผลันลุกขึ้น แต่งกายแล้วเร่งเดินออกไป

“แจ้งใต้เท้าคนอื่น ๆ แล้วหรือยัง?”

“ใต้เท้าทุกท่านกำลังเก็บข้าวของ เตรียมรุดกลับเข้าเมืองโดยเร็วขอรับ”

ลู่ฉาวอวี่พยักหน้า “ได้ เช่นนั้นเราล่วงหน้าไปก่อน”

ทางด้านลู่ฉาวอวี่เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โต สิงเจียซือที่กำลังนอนอยู่บนเตียงได้ยินเสียงพูดคุยอยู่ด้านนอก จากนั้นก็ได้เสียงเกือกม้า นางลุกขึ้นนั่งแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง จึงเห็นลู่ฉาวอวี่ควบม้าออกไปพอดี

ภายใต้แสงจันทร์ เงาร่างของเขาองอาจห้าวหาญ ประหนึ่งลมพัดกระโชก ชายหนุ่มควบขี่ม้าทะยานออกไป

ด้วยเหตุผลบางอย่าง สิงเจียซือกลับนอนไม่หลับ

จิตใจของนางเต็มไปด้วยภาพแผ่นหลังของลู่ฉาวอวี่ที่เคลื่อนห่างออกไป

ทุกคนล้วนกล่าวว่าใต้เท้าลู่เป็นคนโหดเหี้ยมทารุณ ขอเพียงเขาขุ่นเคือง แม้กระทั่งขุนนางคนสำคัญในราชสำนักก็ไม่อาจหลุดรอดไปได้ ดังนั้นชื่อเสียงความโหดร้ายของเขาจึงเป็นที่รู้จักแม้กระทั่งกับชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล

“แท้จริงแล้วเขามีอะไรโหดเหี้ยมกัน?”

นอกจากนั้น บนโลกนี้จะมีเทพผู้ชั่วร้ายที่หน้าตาดีเพียงนี้ได้อย่างไร?

ลู่ฉาวอวี่รุดกลับเข้าเมืองในชั่วข้ามคืน ทว่าประตูเมืองปิดไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม ขอเพียงแสดงป้ายสัญลักษณ์สกุลลู่ ทหารรักษาประตูเมืองก็เปิดประตูในทันที

“เจ้ารั้งอยู่ที่นี่รอใต้เท้าคนอื่น ๆ” ลู่ฉาวอวี่กำชับลู่โหลว

ลู่โหลวรับคำ

ลู่ฉาวอวี่รุดกลับไปยังสำนักตรวจการก่อน

“ใต้เท้า ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว” ผู้ตรวจการหลินเดินเข้ามาต้อนรับ “นักโทษประหารหนีไปแล้ว”

“หนีไปอย่างนั้นหรือ?” ลู่ฉาวอวี่ชะงักฝีเท้า เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคมปลาบ “ข้าจำได้ว่านักโทษประหารเหล่านั้นถูกทรมาน แต่ละคนหายใจรวยริน จะหนีไปได้อย่างไร?”

“ข้าน้อยก็เพิ่งทราบข่าวหลังมาถึง จนบัดนี้ยังไม่ทราบเหตุผลขอรับ” ผู้ตรวจการหลินกล่าว

ลู่ฉาวอวี่กลับไปยังที่คุมขังนักโทษประหาร

ชายหนุ่มเห็นเพียงนักโทษไม่น้อยนอนระเนระนาดอยู่ตรงนั้น อีกทั้งพวกเขาทุกคนล้วนมีรอยบาดที่คอ รอยบาดนั้นเล็กมาก ราวกับว่าเกิดจากเส้นลวด

“นี่เป็นอาวุธสังหารที่คุณชายไป่เปี้ยนใช้กระมัง?” ผู้ตรวจการหลินกล่าว “หรือว่าคุณชายไป่เปี้ยนผู้นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ ก่อนหน้านี้ล้วนหลอกลวงเรา?”

“เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?

“ผู้ใต้บังคับบัญชาพบเห็นเหตุการณ์นี้ก็แจ้งพวกเราในทันที เนื่องจากใต้เท้าอยู่นอกเมือง กว่าจะแจ้งให้ใต้เท้าทราบจึงใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว”

“เช่นนั้นท่านเล่า? ท่านไม่ได้ออกจากเมืองนี่” ลู่ฉาวอวี่จ้องมองอีกฝ่าย

“ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ วันนี้เป็นวันเกิดครบสิบขวบของลูกชายข้าน้อย ข้าน้อยมีความสุขมากเกินไป จึงดื่มกับฮูหยินสองจอก จากนั้นจึงหมดสติไป…”

ขณะที่ลู่ฉาวอวี่กำลังตรวจสอบคดีนี้ ใต้เท้าคนอื่น ๆ ก็รุดกลับมาแล้วเช่นกัน

ศพที่นอนเกลื่อนกลาดบนพื้นทำให้เหล่าขุนนางโกรธจัด ขณะเดียวกันพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดผวาที่ยังคั่งค้าง หากพวกเขาไม่ได้ไปผ่อนคลายที่เรือนพักผ่อนบนภูเขากับลู่ฉาวอวี่วันนี้ เกรงว่าพวกเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ตายเช่นกัน

หลังจากตรวจนับ พบว่าสำนักตรวจการได้สูญเสียผู้คุมไปทั้งหมดยี่สิบห้าคน อาวุธที่สังหารพวกเขาล้วนแต่เป็นของคล้ายเส้นลวด นอกจากนี้ยังมีนักโทษประหารห้าคน นักโทษร้ายแรงสิบสามคน นักโทษทั่วไปห้าสิบห้าคนหลุดออกไปด้วย

รุ่งสาง ลู่ฉาวอวี่สวมชุดขุนนางไปเข้าประชุมเช้า

เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ เขาต้องรายงานต่อราชสำนัก แน่นอนว่าเขาต้องเตรียมตัวถูกขุนนางทุกท่านกล่าวโทษด้วย

ในตอนเช้า ฮ่องเต้ฟังรายงานของลู่ฉาวอวี่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ใต้เท้าลู่ ข้าเชื่อในความสามารถของท่าน ข้าให้เวลาท่านหนึ่งเดือน หากไม่อาจจับพวกเขาทั้งหมดกลับมาได้ ข้าคงต้องทำโทษท่านแล้ว”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“มีเรื่องก็รายงานมา หากไม่มีก็เลิกประชุมได้”

เหล่าขุนนางต่างก็ถอยหลังออกไปจนหมด

“ท่านอ๋องลู่ คราวนี้ใต้เท้าลู่น้อยยุ่งยากแล้ว นักโทษชั่วร้ายเหล่านั้นเกรงว่าจะจับกลับมาได้ยากยิ่ง!” เสนาบดีกรมอาญาเอ่ยกับลู่อี้

ลู่อี้เอ่ยอย่างใจเย็น “คนหนุ่มน่ะให้ฝึกฝนเสียหน่อยก็ดี ภายหน้าจะได้แบกรับภาระหนักอึ้งของใต้หล้าไว้ได้ ตอนนี้ได้พบปัญหายุ่งยากก็ไม่มีอะไรไม่ดี หากจัดการไม่ได้จริง ๆ ยังมีเราเหล่าผู้เฒ่าจัดการให้ ภายหน้าพวกเราถอนตัวแล้ว หากเขาทนรับไม่ได้ นั่นจึงจะเป็นความยากลำบากของอาณาจักร”

“ท่านอ๋องลู่กล่าวได้ถูกต้อง ข้าน้อยยังคิดว่าท่านอ๋องลู่จะเห็นใจใต้เท้าลู่น้อยเสียอีก”

“อยู่ในราชสำนัก ล้วนเป็นสหายร่วมงาน ไม่ใช่บิดาบุตร กลับไปที่บ้านจึงจะเป็นบิดาบุตร ทว่าไม่เอ่ยถึงเรื่องราชการ” ลู่อี้เอ่ย “บัณฑิตผู้นั้นที่ท่านพามามีความสามารถอยู่บ้าง พอบ่มเพาะได้”

“ขอบคุณท่านอ๋องที่เล็งเห็นความสามารถของเขา กรมอาญาของเราหมู่นี้ได้รับแต่คดียาก ๆ ล้วนต้องขอบคุณสมองดี ๆ ของเขา จึงตรวจสอบคดีเหล่านั้นออกมาให้ข้าได้”

ข้างกายลู่อี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขาดแคลนขุนนาง บางคนเป็นสหายเก่ามานานหลายปี และยังมีขุนนางใหม่ที่คิดจะพึ่งพาอาศัยขุนนางผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในราชสำนัก

ลู่ฉาวอวี่ในฐานะบุตรชายคนโต ขุนนางทุกท่านย่อมต้องการมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับเขา ทว่าคนผู้นี้เที่ยงตรงและยุติธรรม วิธีการของเขาคล้ายคลึงกับลู่อี้ผู้ที่เพิ่งเข้ามายังราชสำนัก รับมือได้ไม่ง่าย

เวินเหวินซงแตะแขนลู่อี้ “หนึ่งเดือนนี่ ฉาวอวี่จะจัดการได้หรือ? ข้าว่านักโทษเหล่านั้นเกรงว่าจะออกจากเมืองหลวงไปแล้ว”

“นั่นต้องดูว่าที่เขาตรากตรำหลายปีมานี้สูญเปล่าหรือไม่” ลู่อี้เอ่ยอย่างใจเย็น “หากแม้กระทั่งความสามารถเล็กน้อยนี้ยังไม่มี ข้าจะกล้ามอบภาระในมือให้เขาได้อย่างไร?”

“ท่านนี่นะ กับเขายังเข้มงวดถึงเพียงนี้ หากข้ามีลูกชายอย่างฉาวอวี่ ชีวิตนี้ข้าคงพอใจแล้ว”

“เป็นอะไรไป? ไม่พอใจกับลูกชายตอนนี้หรือ? เช่นนั้น วันหลังข้าคงต้องอธิบายให้ฮูหยินบ้านท่านฟังสักหน่อยแล้ว”

“อย่า ข้าพอใจมาก ท่านคิดว่าลูกชายในใต้หล้านี้ล้วนเก่งกาจอย่างลูกชายของท่านหรือ? ลูกชายของข้าน่ารักยิ่ง อยู่ด้วยแล้วสนุกทีเดียว”

“ไม่รู้ว่าหากฮูหยินท่านได้ยินท่านพูดว่าลูกชายของท่านน่ารัก จะดีใจหรือไม่?”

“อย่าได้ล้อเล่นไป คุยเรื่องจริงจังเถิด ความสามารถของฉาวอวี่ พวกเราล้วนทราบดี ครานี้กลับเกิดข้อผิดพลาดใหญ่หลวง ท่านไม่คิดว่าแปลกบ้างหรือ?”

“ไม่แปลก สำนักตรวจการของเขามีปัญหา”

“เมืองหลวงสงบสุขมาหลายปี ท่านว่ากำลังจะเกิดพายุอีกลูกแล้วใช่หรือไม่?”

“ผู้ใดจะทราบเล่า? หากมีพายุ ตราบใดที่กระดูกของเรายังเคลื่อนไหวได้ หากอยากจะพลิกโลกทั้งใบครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีอะไรผิด”

ลู่ฉาวอวี่เรียกฉีเจินที่อยู่ด้านหน้า

“แม่ทัพฉี”

ฉีเจินได้ยินเสียงเรียกจึงหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมอง “ผู้ตรวจการลู่”

“แม่ทัพฉี เรื่องนี้ต้องขอความช่วยเหลือจากท่านแล้ว”

สีหน้าของฉีเจินดูงุนงุง “มีเรื่องอะไรหรือ?”

“หลังจากเมื่อวานนี้เกิดเรื่องขึ้น คนจากสำนักตรวจการก็ออกจากเมืองไปตามหาข้าที่เรือนพักผ่อนบนภูเขา ดังนั้นข้าสงสัยว่านักโทษเหล่านั้นคงอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ออกจากเมือง”

“ยังมีเรื่องนี้ด้วยหรือ? ไม่ถูกสิ หากมีเหตุฉุกเฉินต้องออกจากเมืองจริง เช่นนั้นต้องนำป้ายแสดงความเร่งด่วนของสำนักตรวจการออกมา หากอีกฝ่ายนำของที่เป็นของสำนักตรวจการออกมาได้ ย่อมไม่มีทางเป็นนักโทษกระมัง!”

“เมื่อคืนนี้คนของสำนักตรวจการเสียชีวิตไปหลายสิบคน เป็นไปได้ว่านักโทษประหารเหล่านั้นจะยึดป้ายจากคนของเราและฉวยโอกาสนี้ออกจากเมืองไป”

“หากเขาเป็นนักโทษประหารจริง ๆ เหตุใดต้องไปแจ้งท่านเล่า?”

“เพื่อยั่วยุ”

“หากผู้ตรวจการลู่ต้องการสอบสวน แน่นอนว่าพวกเราย่อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ คนเหล่านั้นล้วนเป็นนักโทษที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา หากให้พวกเขาอยู่ข้างนอกอีกวัน ย่อมมีคนไม่น้อยตกอยู่ในอันตราย ข้าหวังว่าจะจับพวกเขาให้ได้โดยเร็วที่สุด หากผู้ตรวจการลู่ในมือมีกำลังคนไม่เพียงพอสามารถบอกข้าได้ ข้าย่อมไม่ผลักไสความรับผิดชอบเป็นอันขาด”

————————————-

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท