บทที่ 942 ผู้โชคดีคงจะเป็นหญิงสกุลสูงศักดิ์เป็นแน่
บทที่ 942 ผู้โชคดีคงจะเป็นหญิงสกุลสูงศักดิ์เป็นแน่
“เช่นนั้นต้องขอบคุณแม่ทัพฉีล่วงหน้าแล้ว”
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างตื่นตระหนก อย่างไรเสียก็มีนักโทษประหารจำนวนมากหลบหนีออกไปได้
อันดับแรกลู่ฉาวอวี่ต้องปลอบขวัญคนในครอบครัวผู้ตรวจการที่ถูกสังหารก่อน
นับแต่คนในบ้านเข้าร่วมงานนี้ พวกเขาย่อมเตรียมจิตใจไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่โตอะไรนัก นอกจากร้องห่มร้องไห้อย่างหนักขณะนำศพออกไป ทั่วทั้งถนนเต็มไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นอย่างโศกเศร้า ก็ไม่มีผู้ใดสร้างปัญหาให้ลู่ฉาวอวี่
“ใต้เท้า ตอนนี้จะตรวจสอบอย่างไรดี? ฝ่าบาทให้เราจับพวกเขาทั้งหมดภายในหนึ่งเดือน หากข้าเป็นพวกเขา ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลบหนีออกไป จะต้องหาที่ซ่อนตัวอย่างแน่นอน”
“เจ้าไม่ใช่พวกเขา ดังนั้นไม่อาจเป็นพวกเขาได้” ลู่ฉาวอวี่ยื่นสมุดบันทึกให้ลู่โหลว “ในนี้บันทึกลักษณะนิสัยและความชอบของพวกเขาทุกคน พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา ย่อมไม่พึงพอใจอย่างคนธรรมดา ไม่ง่ายดายกว่าจะหลบหนีออกไปได้ ตอนนี้พวกเขาจะต้องสร้างเรื่องบางอย่างเพื่อยั่วยุเรา ดังนั้นไม่นานพวกเราคงมีเรื่องให้ต้องทำ”
ณ เรือนพักผ่อนบนภูเขา มู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วกำลังจับปูอยู่ริมทะเลสาบ
“เป็นอย่างไร? ปูเหล่านี้เนื้ออวบอ้วนใช่หรือไม่?”
“พี่สะใภ้ ข้าสงสัยจริง ๆ ท่านสร้างเรือนพักผ่อนบนภูเขาเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อให้ตนเองได้กิน ดื่ม สนุกสนานใช่หรือไม่” ซูจือหลิ่ววางปูลงในอ่าง “ที่นี่อยู่นานไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงอ้วนกลมยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่”
“กลัวอะไร?” ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปวิ่งสักสองสามรอบ”
“ท่านป้าสะใภ้” ลู่จื่อฮั่วกอดเอวมู่ซืออวี่ “พวกเราไปเล่นว่าวด้วยกันดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“ฮั่วเอ๋อร์ ป้าสะใภ้แก่แล้ว วิ่งไม่ไหว เจ้าไปเล่นว่าวกับซางจือเถอะ!”
“ไม่เอาเจ้าค่ะ ข้าอยากเล่นว่าวกับป้าสะใภ้” ลู่จื่อฮั่วส่ายหัวไปมา ใบหน้างามประณีตของนางเต็มไปด้วยความคับข้อง “พี่หญิงชิงเอ๋อร์นานนักกว่าจะกลับมา ก่อนหน้านี้นางพาข้าเล่น ตอนนี้ไม่มีผู้ใดพาข้าเล่นแล้ว”
อย่างไรเสียลู่ฉาวหลีก็เป็นบุรุษ ไม่ชอบกิจกรรมเช่นนี้ นอกจากนั้น ทุกคนยังมีข้อตกลงตรงกันว่าจะพาเพียงลูกสาวมาเท่านั้น ดังนั้นซูจือหลิ่วจึงไม่ได้บังคับลู่ฉาวหลี พามาเพียงลู่จื่อฮั่วเท่านั้น
ฉู่หนิงจู่พาฉีซืออี้เดินมา
ภาพฉากพี่สะใภ้น้องสะใภ้พาลูกหลานเล่นชวนให้อบอุ่นใจยิ่ง ฉู่หนิงจู่หยุดฝีเท้าอยู่ไม่ไกล ลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่
“ท่านแม่ ท่านทำอะไรอยู่เจ้าคะ?”
“พวกเราไม่ต้องไปรบกวนพวกเขาแล้ว”
“ท่านแม่ ไม่ได้บอกว่าพวกท่านเป็นสหายกันหรือ? ถึงแม้จะไม่ได้พบกันหลายปี แต่ก็ไม่ควรห่างเหินต่อกันนะเจ้าคะ!”
“ซืออี้ แม่เข้าใจความคิดของเจ้า เพียงแต่ฟังแม่เถิด สกุลลู่ไม่เหมาะสมจริง ๆ” อย่างน้อยก็ไม่เหมาะสมกับครอบครัวพวกเขา
“ท่านแม่ ข้าชอบใต้เท้าลู่น้อยจริง ๆ นะเจ้าคะ” ฉีซืออี้กล่าว
ฉู่หนิงจูขมวดคิ้ว “เขาอายุมากกว่าเจ้า”
“ข้ารู้!”
ฉู่หนิงจู่มองดูลูกสาวน่ารักไร้เดียงสาตรงหน้า ราวกับเห็นเงาของตนในตัวนาง
นางในตอนนั้น เพื่อความรักแล้วทุ่มหมดหน้าตัก ทำเรื่องโง่งมลงไปไม่น้อย
หรือว่าสตรีในครอบครัวนางถูกกำหนดให้ต้องขัดแย้งกับบุรุษแซ่ลู่? ซืออี้อยู่ชายแดนก็นับว่าเป็นบุปผางาม มีชายหนุ่มมาสู่ขอไม่น้อย ตนคิดว่านางยังเล็ก ทั้งยังรู้สึกว่าบุรุษที่ชายแดนเหล่านั้นหยาบกระด้าง ไม่คู่ควรกับลูกสาวที่ดีเพียงนี้จึงเลื่อนเรื่องแต่งงานออกไป ฉีเจินก็ไม่ได้ถามเรื่องนี้จึงปล่อยเรื่องการแต่งงานฉีซืออี้ไปเช่นนั้น
“ลองดูได้ ทว่าหากสกุลลู่ไม่มีความตั้งใจนี้ เจ้าก็อย่าได้คิดเรื่องนี้อีก” ฉู่หนิงจูให้ฉีซืออี้เตรียมใจเอาไว้
“ข้าเข้าใจ” ฉีซืออี้กำลังรอคอยคำพูดนี้ของมารดา
ขอเพียงท่านแม่ยินดีช่วย เช่นนั้นนางก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนอีกครึ่งที่เหลือ นางจะต่อสู้เพื่อตนเอง
ในฐานะสตรีที่เติบโตที่ชายแดน ฉีซืออี้กล้าที่จะรักและกล้าที่จะเกลียดมาแต่ไหนแต่ไร ขอเพียงนางชอบ นางย่อมไม่มีความคิดยอมแพ้ระหว่างทาง
“ปูที่นี่อ้วนจริงเชียว” ฉู่หนิงจูพาฉีซืออี้เดินไป
“ใช่แล้ว! พวกท่านตื่นเช้าเพียงนี้เชียวหรือ” ซูจือหลิ่วเอ่ยถาม “เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่?”
“ที่นี่ดีจริง ๆ เจ้าค่ะ” ฉีซืออี้กล่าว “เตียงทั้งนุ่มและมีกลิ่นหอม ข้างนอกก็เงียบสงบ ไม่เหมือนชายแดนที่มีลมและทรายปลิวว่อนตลอดทั้งปี มีเสียงทุกชนิดรบกวนความสงบของคน”
ฉู่หนิงจูส่ายศีรษะเบา ๆ
ฉีซืออี้กระตือรือร้นเสียจนแสดงออกทางสีหน้า
ที่นางเอ่ยถึงเป็นชายแดนสองสามปีก่อนหน้า บัดนี้ชายแดนไม่เหมือนกับที่นางเอ่ยถึงแล้ว แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมที่นั่นไม่อาจเทียบได้กับในเมืองหลวง แต่จำต้องรู้ว่าเมืองหลวงของอาณาจักรฮุ่ยในยามนี้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าเศรษฐกิจของแต่ละราชวงศ์ที่ผ่านมาล้วนไม่อาจเทียบกับความเจริญรุ่งเรืองของทุกวันนี้ได้ อีกทั้งทุกอย่างล้วนต้องขอบคุณสตรีตัวเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ผู้หนึ่งตรงหน้า ‘มู่ซืออวี่’
“พระชายา ปูเยอะเพียงนี้ พวกเราต้องกินมันนะเจ้าคะ”
“หากเจ้าชอบทานก็ทานได้ตามใจชอบ”
“เมื่อวานดูเหมือนข้าจะเห็นใต้เท้าลู่น้อย” ฉู่หนิงจู่กล่าว “ตอนนั้นที่ข้าจากไป เขายังเป็นเด็กผู้หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าพริบตาเดียวเขาจะเติบใหญ่เพียงนี้แล้ว”
“ซืออี้ก็โตเพียงนี้แล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมโต อันที่จริงฉาวอวี่อายุมากกว่าซืออี้มาก”
“ใช่ ฉาวอวี่โตเพียงนี้ คิดว่าคงคุยเรื่องแต่งงานแล้วกระมัง? ข้าเพิ่งมา ยังไม่รู้ว่าคุณหนูสกุลใดโชคดีจะได้แต่งเข้าสกุลลู่”
“แม้กระทั่งดวงชะตายังไม่ได้ตรวจดู นี่ยากที่จะกล่าว”
“ดวงชะตายังไม่ได้ตรวจดูหมายถึง…” ฉู่หนิงจู่หันไปมองฉีซืออี้ “เลือกไว้แล้วหรือเจ้าคะ?”
ฉีซืออี้บิดผ้าเช็ดหน้าในมือ มองไปทางมู่ซืออวี่ด้วยความกังวล
มู่ซืออวี่แย้มยิ้มและกล่าว “ถึงแม้เจ้าเด็กคนนั้นจะไม่ได้กล่าวอะไร หากแต่ข้าคิดว่าเขาสนใจแม่นางผู้นั้น เพียงแต่ยังไม่ได้เผยออกมา ข้าเพียงแค่รอให้เขาเป็นฝ่ายเปิดปาก อย่างไรเสียก็รอมาหลายปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนภายในสองสามวันนี้”
“ไม่รู้ว่าแม่นางสกุลใดโชคดีถึงเพียงนั้น…”
“ลูกชายผู้นั้นของข้านิสัยอย่างไร ผู้อื่นไม่รู้ แต่แม่ผู้นี้กลับกระจ่างแจ้งเป็นอย่างดีเชียว หลายปีเพียงนี้ หากเขายินดีเอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน ข้าคงมีหลานไปแล้ว บัดนี้ไม่ง่ายดายกว่าจะเห็นเขาพึงใจแม่นางผู้หนึ่ง ข้าเพียงแค่รอให้เขาเล่าให้ฟัง เรื่องอื่นข้าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ เจ้าก็อย่าถามเลย ถามแล้วข้าก็ไม่บอกอยู่ดี นั่นเป็นเรื่องของเด็ก ๆ ให้เด็ก ๆ จัดการกันเอาเองเถอะ ข้าอายุปูนนี้แล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่ม ไม่กังวลกับเรื่องเหล่านั้นแล้ว”
“เจ้าก็อย่าถามนางเลย” ซูจือหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากฉาวอวี่ไม่พาแม่นางผู้นั้นมาหานาง และบอกว่าจะแต่งงานกัน อย่างไรนางก็ไม่ยอมเผยออกมา”
“ดูเหมือนว่าฮูหยินรองก็รู้ว่าแม่นางผู้นั้นเป็นผู้ใด” ฉู่หนิงจูกล่าว “ปิดไว้แน่นหนาเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนสนใจใคร่รู้แล้ว”
ฉีซืออี้กล่าว “ใต้เท้าลู่น้อยดีเพียงนี้ จะต้องเป็นสตรีจากสกุลผู้สูงศักดิ์จึงจะคู่ควรเขากระมังเจ้าคะ”
ซูจือหลิ่วและมู่ซืออวี่หันไปมองหน้ากัน
พี่สะใภ้กับน้องสะใภ้สองคนเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยและไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ทั้งสองคนรู้ใจกันเป็นอย่างดี ขอเพียงมีคนเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานของฉาวอวี่ขึ้นมา ท้ายที่สุดพวกนางก็จะโยนเรื่องนี้ให้ลู่ฉาวอวี่ไป ไม่ว่าจะหมั้นหมายหรือไม่ก็ให้ไปเอ่ยกับเจ้าตัว อย่าได้มาเอ่ยกับพวกนาง