สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 1028 คนไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 1028 คนไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

บทที่ 1028 คนไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“เจ้าบอกข้ามาเถิด คนไม่เป็นไรจริง ๆ หรือ?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถาม

“จือเหยียนเป็นคนหนักแน่นมาก หากนางไม่แน่ใจ นางจะบอกข้าตามตรง ไม่มีทางรับเรื่องนี้ไป ดังนั้นข้ามั่นใจว่าหยางเซียงจวินไม่เป็นอะไร”

“ตราบใดที่คนไม่เป็นไร เรื่องก็ไม่ร้ายแรง” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “พวกเจ้ามีเหตุผล ตอนนี้เขาสร้างความวุ่นวาย เพราะนังหนูสกุลหยางผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส หากถึงแก่ชีวิตจริง ๆ เช่นนั้นก็รับมือได้ยากแล้ว”

“เสด็จพ่อบุญธรรม ท่านก็เห็นว่าชิงเอ๋อร์เติบโตมาอย่างไร ย่อมรู้จักนิสัยของนาง ถึงแม้นางจะชอบเล่นซน แต่นางก็ไม่ใช่คนพาล”

ฟ่านหยวนซีหันกลับไปมองลู่จื่อชิง “เจ้าเล่า? นับแต่เมื่อครู่จนบัดนี้ยังไม่ได้เอ่ยปาก ไม่สมกับเป็นเจ้าแม้เพียงนิด”

“หม่อมฉันสร้างปัญหาแล้วจึงต้องว่านอนสอนง่ายหน่อยเพคะ” ลู่จื่อชิงดูเซื่องซึม

“พิจารณาจากสถานการณ์เมื่อครู่ ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าอดทนมาโดยตลอด จนกระทั่งคุณหนูเหล่านั้นอุกอาจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจ้าทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่เจ้าก็ยังทำเพียงตักเตือนด้วยวาจา นี่ไม่ใช่ตัวตนของเจ้าแม้แต่น้อย! ด้วยนิสัยของเจ้า เริ่มแรกที่พวกนางเอ่ยยั่วยุ เจ้าควรเหวี่ยงดาบไปแล้วมิใช่หรือ?”

“แค่หม่อมฉันเห็นเทียบเชิญนั้นก็รู้แล้วว่าเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน*[1] เพียงแค่อยากรู้ว่าพวกนางจะจัดการกับหม่อมฉันอย่างไรจึงตอบรับคำเชิญไปดูเสียหน่อย คำพูดเหล่านั้นของพวกนาง หากเป็นเมื่อสองปีก่อน หม่อมฉันจะต้องถูกหลอกเป็นแน่และคงลงมือไปนานแล้ว เพียงแต่ในตอนนี้ หม่อมฉันท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพไม่ใช่หรือ? ระหว่างนั้นก็ไม่ไม่ได้อยู่นิ่ง เห็นคนน่ารังเกียจและคนเห็นแก่ตัวมาทุกรูปแบบ เพียงแต่ ท้ายที่สุดหม่อมฉันก็ยังตกหลุมลูกไม้ตื้น ๆ ของพวกนางจนได้”

ด้านหน้าเป็นตำหนักของฮองเฮา

ฝ่าบาทพาสองพี่น้องสกุลลู่เข้าไป ฮองเฮาเองก็นำคนออกมาต้อนรับพวกเขาที่หน้าประตูเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่ามีคนแจ้งให้ฮองเฮาทราบล่วงหน้าแล้ว

ฟ่านหยวนซีส่งเสื้อคลุมให้กับฮองเฮา จากนั้นจึงเอ่ยกับลู่จื่อชิง “เจ้าตั้งรับได้นั้นเป็นเรื่องดี เพียงแต่ยังไม่ฉลาดพอ นอกจากนี้ศัตรูของเจ้ายังรู้จักเจ้าดีกว่าตนเอง เจ้าลองไตร่ตรองดูเถิด อีกฝ่ายส่งเทียบเชิญให้ เห็นได้ชัดว่ารู้ดีว่าด้วยนิสัยของเจ้า เจ้าย่อมต้องไป หลังจากเจ้าไปงานเลี้ยงแล้ว อีกฝ่ายก็ใช้กลอุบายมากมายมายั่วยุ หากอุบายหนึ่งใช้ไม่ได้ผลก็จะลองอีกอุบายหนึ่ง อย่างไรเจ้าก็ต้องมีจุดอ่อน นี่ไม่ใช่พวกนางทำสำเร็จตั้งแต่ต้นแล้วหรือ?”

“พวกท่านกำลังคุยเรื่องอะไรกันหรือ?” ฮองเฮาเอ่ยถาม

ฟ่านหยวนซีกล่าว “นังหนูคนนี้ก่อเรื่อง ฮองเฮาคงได้ยินมาแล้วกระมัง?”

“หยางจวิ้นอ๋องเอะอะโวยวายเสียงดังเพียงนั้น หลายคนในวังล้วนได้ยินแล้ว อีกทั้งยังมารายงานหม่อมฉันเรียบร้อย” ฮองเฮาเอ่ย “หยางเซียงจวินไม่เป็นไรกระมัง?”

“ตายไม่ได้”

“เช่นนั้นก็ดี ขอเพียงคนยังไม่ตาย เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เป็นเพียงการทะเลาะเบาะแว้งของเด็กสองคน หรือจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นปัญหาบ้านเมืองได้? หยางจวิ้นอ๋องก็เหลือเกิน ท่านอ๋องลู่ไม่มาสู้รบปรบมือกับเขา เพราะไม่ได้ว่างถึงขนาดนั้น”

“ดูสิ ฮองเฮาแต่ไรมาก่อนหน้านี้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก ทว่านางกลับวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจน เอาละ ยกสำรับมาเถอะ”

ลู่จื่ออวิ๋นนั่งข้างฮองเฮา ไม่ต้องให้ข้ารับใช้ในวังปรนนิบัติคีบอาหารให้ หากแต่เป็นนางคีบอาหารด้วยตนเอง

“เสด็จพ่อบุญธรรม วันนี้เราทานอาหารร่วมกับครอบครัว ไม่จำเป็นต้องใช้กฎเกณฑ์เหล่านั้น” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ทานอาหารได้ไม่เกินสามคำอะไรกัน ไหนจะกฎเกณฑ์ที่ให้บ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติตักให้นั่นอีก วันนี้พวกเราไม่ต้องทำตามแล้ว”

ฮองเฮาหัวเราะเบา ๆ “อวิ๋นเอ๋อร์ มิน่าเล่าเหตุใดมารดาเจ้าจึงตัดใจให้เจ้าไปไม่ได้ หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าก็ไม่อาจตัดใจให้เจ้าไปเช่นกัน”

ทางนี้ลู่จื่ออวิ๋นเรียกพ่อบุญธรรมทีแม่บุญธรรมทีด้วยความรักใคร่กลมกลืน อีกทางหนึ่ง หยางจวิ้นอ๋องยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นด้วยความโกรธ

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว แม่ทัพอิงก็กลับมา ทั้งยังนำข่าวคราวใหม่มาแจ้ง

จุดที่หยางเซียงจวินหกล้มนั้นมีปัญหาจริง ๆ มีคนทาน้ำมันเอาไว้ตรงนั้น แม่ทัพอิงไต่สวนอยู่ที่จวนหลี่ จึงได้รู้จากปากของบ่าวรับใช้จวนหลี่ว่าบ่าวรับใช้ขั้นล่างผู้หนึ่งไม่ระวังทำน้ำแกงหก เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น

ภายในวัง ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับฟ่านหยวนซี “เสด็จพ่อบุญธรรม ในเมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว เช่นนั้นควรตัดสินแทนน้องรองหรือไม่?”

หยางจวิ้นอ๋องมองดูลู่จื่ออวิ๋นอย่างหวาดระแวง “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

“หยางเซียงจวินจวนท่านเป็นฝ่ายยั่วยุและลงมือก่อน น้องรองบ้านข้าเพียงแค่พยายามป้องกันตนเองจึงตอบโต้ แต่กลับถูกพวกท่านหาเรื่องแล้ว บัดนี้นางกำลังได้รับความไม่เป็นธรรม” ลู่จื่อวิ๋นกล่าว “แน่นอนว่าย่อมต้องคืนความยุติธรรมให้น้องหญิงของข้า”

“ลูกสาวของเราได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ลู่รองไม่มีแม้แต่บาดแผล”

“ท่านหมายความว่า หากคนผู้หนึ่งทำร้ายผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส แต่ตัวเขาถูกแทงเข้าที่ร่างกายหลายสิบแห่ง ตายไม่ได้ รักษาให้หายดีไม่ได้ คนผู้นั้นก็ไม่จำเป็นต้องถูกลงโทษหรือ? ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ตัดสินลงโทษคนผู้หนึ่งจากบาดแผลบนร่างกาย หากเป็นเช่นนี้ สำนักตรวจการของพี่ชายข้า เกรงว่าจะถูกผีไม่ได้รับความเป็นธรรมปิดล้อมเอาไว้แล้วกระมัง?”

“เอาละ” ฟ่านหยวนซีหมดความอดทน “หยางจวิ้นอ๋อง ท่านยิ่งแก่ยิ่งเลอะเลือน ข้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ลูกสาวของท่านไม่ระวังไปหาเรื่องลู่รอง สุดท้ายลู่รองไม่เป็นไร แต่เซียงจวินกลับทำให้ตนเองอยู่ไม่สู้ตาย ท่านเห็นใจลูกสาวตน ข้าเข้าใจได้ เพียงแต่ไม่อาจพูดจาเหลวไหลไร้สาระเพราะเห็นใจลูกสาวและหาเรื่องผู้อื่นกลับได้ หากท่านไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็มอบคดีนี้ให้ศาลต้าหลี่ไปตรวจสอบเป็นอย่างไร?”

“กระหม่อม… รู้ความผิดแล้ว กระหม่อมยอมรับ”

เขายอมรับโชคชะตาแล้ว

หากลูกสาวของเขาเสียชีวิต เกิดเรื่องเช่นวันนี้ขึ้น ฮ่องเต้ย่อมไม่กล้าจัดการเบามือเพียงนี้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดลู่รองก็ต้องชดใช้ เพียงแต่ หยางเซียงจวินไม่เพียงไม่ตายแต่ยังเป็นฝ่ายเริ่มเรื่อง

เขาควรหยุดตั้งแต่แรกแล้ว

เพียงแค่ไม่ยินดียอมพ่ายแพ้จึงคิดจะรอดูท่าทีของฮ่องเต้

คนไม่ได้ลือกันหรือว่าหมู่นี้ฮ่องเต้กำลังข่มพรรคพวกของลู่อี้? เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทไม่พอใจลู่อี้จึงคิดจะตัดกำลังของเขาออกไป เหตุใดเมื่อเกิดเรื่องจึงยังปกป้องคนสกุลลู่เล่า? หรือเป็นเพราะสกุลลู่มีอำนาจมากเกินไป กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจแตกหักกับเขาได้ทันทีจึงต้องไว้หน้า?

หยางจวิ้นอ๋องครุ่นคิดถึงข่าวที่ตนได้รับมา พบว่าสถานการณ์แตกต่างไปจากที่เขาจินตนาการไว้

หรือว่าเขากำลังตกเป็นเป้าหมาย?

ทั้งยังกลายเป็นหินทดสอบสำหรับผู้อื่นไปแล้ว?

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สกุลหยางก็เป็นเชื้อพระวงศ์ มีสายพระโลหิตของเชื้อพระวงศ์ไหลเวียนอยู่ในร่าง หากฮ่องเต้กล้าลงมือกับสกุลหยาง ทั้งราชวงศ์ย่อมไม่พอใจ

“หยางจวิ้นอ๋องช้าก่อน” ลู่จื่อชิงเอ่ยขึ้น “บัดนี้ชัดเจนแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า เช่นนั้นค่ารักษาลูกสาวของท่าน ท่านควรจ่ายหน่อยหรือไม่?”

“เจ้า…” หยางจวิ้นอ๋องเบิกตากว้าง “นางได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้า!”

“ความจำของหยางจวิ้นอ๋องไม่ดีเอาเสียเลย” ลู่จื่อชิงเอ่ย “นางไม่ได้บาดเจ็บเพราะข้า หากแต่เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของสกุลหลี่ หากท่านอยากหาคนมารับผิดชอบ เช่นนั้นก็ไปหาสกุลหลี่เถอะ เพียงแต่พวกเราคงต้องขอให้ท่านจ่าย”

ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มน้อย ๆ “ไม่ผิด หมอหลวงดี ๆ สักคนชุบเลี้ยงได้ไม่ง่ายดายเพียงนั้นมิใช่หรือ? ข้าใช้เงินมากมายไปกับการหาตัวยาดี ๆ ให้นางทุกปีเชียวนะ! ได้ยินว่าหยางจวิ้นอ๋องร่ำรวยพอ ๆ กับอาณาจักรหนึ่ง ข้าคิดว่าคงไม่ขาดเงินเพียงเล็กน้อยนี้กระมัง?”

หยางจวิ้นอ๋องหยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อ “พอแล้วกระมัง?”

“ได้ยินว่าบุตรภรรยาเอกของหยางจวิ้นอ๋องมักจะเหมาหอโบตั๋นทั้งหอ โบกมือคราหนึ่งก็จ่ายออกไปถึงพันตำลึงเงิน หนึ่งร้อยตำลึงเงินนี่หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าหมอหลวงของข้าไม่สู้หอโบตั๋น?”

หยางจวิ้นอ๋องหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ส่งมันให้กับลู่จื่อวิ๋นด้วยมือสั่นเทา

ลู่จื่ออวิ๋นย่อมไม่รับมา ลู่จื่อชิงก็ไม่รับมาเช่นกัน

ที่นั่นไม่มีบ่าวรับใช้สกุลลู่ มีเพียงขันทีที่ปรนนิบัติฟ่านหยวนซีเท่านั้น

ขันทีมีสติปัญญาเฉียบแหลมจึงรีบเข้ามารับตั๋วเงิน ประคองด้วยสองมือส่งให้ลู่จื่อชิง

“วันนี้กงกงลำบากเพื่อพวกเรามามากแล้ว” ลู่จื่อชิงยิ้ม “เงินเล็ก ๆ นี้ถือเป็นของตอบแทนท่าน”

ขันที “…”

เงินหนึ่งหมื่นตำลึงเป็นรางวัลตอบแทนหรือ?

สกุลลู่ที่แท้ร่ำรวยเพียงใดนี่!

ฟ่านหยวนซีเลิกคิ้วทันควัน

เขามองดูลู่จื่อชิงด้วยสีหน้ากล้ำกลืน “ลู่รอง เจ้าช่างทะนงตนยิ่งนัก! ข้าในฐานะผู้ปกครองอาณาจักร ในมือไม่มีเงินมากเพียงนั้น เจ้าโบกมือคราเดียวก็ใช้เงินออกไปถึงหมื่นตำลึง ข้ารู้ว่าบ้านเจ้าไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่เจ้ากลับไม่รู้ข้อต้องห้าม หากข้าไม่พอใจ ยึดทรัพย์บ้านเจ้า เงินเหล่านั้นก็หมดแล้ว”

“ฝ่าบาทขาดเงินใช้หรือเพคะ?”

“บางครั้งบางคราก็ยังขาดอยู่บ้าง”

“ฝ่าบาทขาดเงินใช้ เพียงแค่ไปหาสกุลลู่ ขอเพียงสกุลเรายังอยู่หนึ่งวัน ท้องพระคลังอาณาจักรฮุ่ยก็จะไม่ว่างเปล่า” ลู่จื่อชิงตบหน้าอกตน “ทุกคนในสกุลลู่รับรองกับท่านได้”

ไม่รู้ด้วยเหตุใดฟ่านหยวนซีกลับดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย

คนสกุลลู่นี้มักไม่ให้เขาได้อยู่อย่างสงบ ทว่าหากวันหนึ่งสงบแล้วจริง ๆ เขาคงจะไม่ชินแน่

จากมุมมองนี้ พิสูจน์ได้ว่าสกุลลู่ต้องมีเขาคอยหนุนหลังจริง ๆ

“ดูเหมือนหากไม่มีข้า พวกเจ้าสกุลลู่ก็คงไม่ได้มีวันคืนที่สงบสุข ช่างเถิด อยากทำตัวหยิ่งยโสก็ทำไป อย่างน้อยก็มีความคิดเช่นเดียวกับข้า”

“ฝ่าบาท หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราทูลลาแล้วเพคะ” ลู่จื่อชิงกล่าว

“ไปเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าก็ต้องพักผ่อนเช่นกัน” หากไม่พักผ่อนคงต้องตรงไปยังท้องพระโรงเพื่อประชุมเช้าในอีกไม่กี่เพลา

พี่สาวน้องสาวสกุลลู่ขึ้นรถม้า

หยางจวิ้นอ๋องอยู่ด้านหลังพวกนาง มองพี่สาวน้องสาวสกุลลู่ขึ้นรถม้าด้วยสายตามุ่งร้าย

“พี่หญิง ตาเฒ่าผู้นี้เกรงว่าจะเล่นลูกไม้อีกแล้ว” ลู่จื่อชิงนั่งอยู่ในรถม้า บังเอิญเห็นท่าทีของหยางจวิ้นอ๋องพอดีจึงเอ่ยขึ้น

“วันนี้เจ้าแสดงออกได้ไม่เลว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ไม่เอ่ยมากความ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่พอเกิดเรื่องขึ้นก็วุ่นวายเสียจนข้าออกหน้าได้ยาก”

“พี่หญิงวางใจ ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ทันทีที่ท่านปรากฏตัว ข้ารู้ว่าท่านตัดสินใจแล้ว ในเมื่อพี่หญิงเตรียมตัวมาเต็มที่ ข้าย่อมเชื่อฟังและทำตามที่ท่านกล่าวอย่างแน่นนอน”

[1] งานเลี้ยงหงเหมิน อุปมาถึงงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อลอบสังหารแขกที่เชิญมา

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท