สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 1042 เกาะเทพจันทรา

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 1042 เกาะเทพจันทรา

บทที่ 1042 เกาะเทพจันทรา

นายอำเภอเจิ้งยืนอยู่ที่หัวเรือ มองดูไฟจากไกล ๆ เมื่อรู้ว่าคนบนเกาะพบพวกเขาแล้วจึงรีบตะโกนขึ้นไปอีกฝั่ง “ข้าน้อยคือนายอำเภอเจิ้งเจี๋ย ทุกท่านอย่าได้ยิงธนู อย่ายิงธนู!”

ขณะที่เรือเข้าเทียบท่า นายอำเภอเจิ้งก็เช็ดเหงื่อเย็นที่ไหลพลั่ก ๆ พลางเหยียบย่างขึ้นไปบนเกาะอย่างระมัดระวัง

ทันทีที่ขึ้นไปบนเกาะ หมอกก็จางหายไป เบื้องหน้าปรากฏสรวงสวรรค์ที่งดงามไปด้วยแมกไม้เขียวขจี มีดอกไม้ใบและพืชพรรณที่ส่งกลิ่นหอม หอแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นกลางภูเขาฝั่งตรงข้าม เนื่องด้วยหมอกที่ปกคลุมจึงดูเหมือนมันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า

“ท่านคือนายอำเภอหรือ?” เสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้น

จากนั้นนายอำเภอเจิ้งก็ละสายตาจากทิวทัศน์สวยงามตรงหน้า เมื่อเขาได้ยินคำถาม เขาก็รีบกล่าวตอบชายตรงข้ามทันที “ข้าน้อยคือนายอำเภอเจิ้งเจี๋ย คารวะผู้ส่งสารแห่งเทพ”

บุรุษผู้นั้นสวมหน้ากาก รูปร่างของหน้ากากน่ากลัวยิ่ง คล้ายกับเป็นลวดลายผีอย่างไรอย่างนั้น

เขามองนายอำเภอเจิ้งที่อยู่เบื้องหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านมีเรื่องอะไร?”

“ข้าน้อยมีเรื่องลำบากเรื่องหนึ่ง ไร้หนทางแก้ไขจริง ๆ!” นายอำเภอเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าหมองเศร้า “ผู้ส่งสารแห่งเทพได้โปรดให้คำแนะนำแก่ข้าน้อยด้วยเถิด”

“ผู้ส่งสารทำได้เพียงแนะแนวทางท่านเท่านั้น ไม่อาจไขข้อข้องใจท่านได้ ในเมื่อท่านมีเรื่องลำบาก ข้าจะพาท่านไปพบธิดาเทพ หากท่านวิงวอนขอธิดาเทพ นางสามารถช่วยแนะนำท่านได้ อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ข้างหลังท่านเป็นผู้ใด? ในเมื่อเป็นพรรคที่บูชาเทพ ไยท่านพาคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาด้วยเล่า หรือว่าท่านมีแผนการอะไร?”

นายอำเภอเจิ้งกล่าว “ผู้ส่งสารแห่งเทพอย่าได้ถือสา ข้าน้อยพายเรือไม่เป็น ดังนั้นจึงต้องให้คนพายเรือสองคนพามา แม่น้ำหมู่ตานแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ข้าน้อยกังวลว่าคนพายเรือเพียงคนเดียวจะไม่เพียงพอ อีกสองคนเป็นเด็กรับใช้ของข้า ไม่ว่าข้าอยู่ที่ใดพวกเขาล้วนติดตามไปทุกที่ เป็นคนคุ้นเคยของข้าน้อย อีกประเดี๋ยวไปพบธิดาเทพ ข้าจะพาคนของข้าไปเท่านั้น คนพายเรือทั้งสองให้รออยู่ที่นี่”

ผู้ส่งสารแห่งเทพพานายอำเภอเจิ้งไปที่หอกลางอากาศบนภูเขา

มู่ซืออวี่รอข่าวอยู่ที่ศาลาว่าการ

ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านแม่ นายอำเภอเจิ้งเป็นคนกลัวเรื่องลำบาก ท่านไม่กลัวว่าเขาจะทำให้ทุกอย่างพังหรือเจ้าคะ?”

“เขาเป็นเพียงหนูตัวเล็ก ๆ ที่ใช้ล่องูออกมาจากถ้ำเท่านั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ขอเพียงขึ้นเกาะเทพจันทราได้ เขาก็มิได้มีประโยชน์มากมายแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “ตอนนี้ลู่เยี่ยกับลู่เฉิงคงเข้าไปถึงเกาะเทพจันทราแล้ว”

คนพายเรือทั้งสองเป็นลู่เยี่ยและลู่เฉิงปลอมตัวไป ผู้ติดตามทั้งสองก็เป็นหน่วยกล้าตายแซ่ลู่ ทั้งสี่คนนี้ฝีมือในการต่อสู้ไม่ได้ด้อย เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจไปจากเรือหลายลำที่ตามหลังไป

ยิ่งได้ยินเรื่องของพรรคเทพจันทรามากเพียงใดก็ยิ่งมีปัญหามากเท่านั้น มู่ซืออวี่ไม่อาจปล่อยคนของพรรคนี้ทิ้งไว้ได้ ถึงแม้พวกเขาจะอ้างว่าทำเพื่อราษฎร ทว่าพรรคดี ๆ พรรคใดกันจะเมินเฉยต่ออำนาจของราชสำนัก ไม่เห็นแม้กระทั่งค่าของชีวิตคน? เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับพรรคนี้ นางไม่ต้องการเสียเวลาเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องเข้าควบคุมพรรคเอาไว้ก่อน แล้วค่อย ๆ ไต่สวนที่มาของพวกเขา

“พระชายา” เซี่ยสือซานเดินเข้ามารายงาน “หมู่บ้านสกุลหยางทางนั้นมีความเคลื่อนไหวขอรับ”

“เป็นอย่างไร?”

“มีอุโมงค์อยู่ใต้หมู่บ้านพวกเขา อุโมงค์นั้นไปสู่แม่น้ำหมู่ตานโดยตรง มีเรืออยู่นอกอุโมงค์ คงเป็นเรือที่พวกเขาเอาไว้ใช้ติดต่อกับพรรคเทพจันทรา”

“ดูเหมือนว่าหมู่บ้านสกุลหยางนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับพรรคเทพจันทรา”

“พวกเราส่งคนไปควบคุมหมู่บ้านสกุลหยางไว้แล้วขอรับ” เซี่ยสือซานกล่าว “อีกทั้งในอุโมงค์ยังมีศพจำนวนมากด้วย”

“ศพหรือ? บุรุษหรือสตรี?”

“มีทั้งบุรุษทั้งสตรี ทว่าไม่มีชีวิตแม้เพียงผู้เดียว” เซี่ยสือซานกล่าว “ดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นจะเป็นชาวบ้านตัวจริงของหมู่บ้านสกุลหยาง ชาวบ้านในหมู่บ้านสกุลหยางในตอนนี้ล้วนเป็นคนของพรรคที่ปลอมตัวมา”

“ท่าไม่ดีแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “หากคนของหมู่บ้านสกุลหยางล้วนเป็นคนของพรรคนั้น เช่นนั้นที่พวกเราส่งคนไปโจมตีเกาะเทพจันทราก็ไม่อาจปิดบังได้”

“ท่านแม่วางใจ ข้าส่งองครักษ์ลับไปเสริมกำลังแล้ว ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยดี”

ถึงแม้พวกนางจะคาดเดาความเป็นไปได้ทุกทางไว้แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าชาวบ้านในหมู่บ้านสกุลหยางล้วนเป็นคนของพรรค มิหนำซ้ำชาวบ้านตัวจริงก็ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว

เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ นายอำเภอเจิ้งกลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ อีกฝ่ายเป็นคนขี้ขลาดที่แท้จริงอย่างไม่ต้องสงสัย ดูเหมือนหลังจากเรื่องนี้จบลง นางจะต้องเขียนหนังสือไปทางเมืองหลวง ขอให้พวกเขาส่งคนมาดูแลเรื่องราวที่นี่โดยเร็วที่สุด

ขุนนางที่โง่เขลาและไร้ความสามารถเช่นนี้ ไม่อาจให้อยู่ที่นี่ทำร้ายชนบทได้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนผู้คนที่นี่จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคเทพจันทรา บางคนก็ถูกล้างสมอง พวกนางต้องแก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้อง

“ท่านแม่ หากพรรคเทพจันทรามีอิทธิพลมากเพียงนี้ เช่นนั้นไยจนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดส่งหนังสือถึงเมืองหลวงเล่า?” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ขุนนางท้องถิ่นมากมายเพียงนี้ เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะล้วนเป็นขุนนางขาดเขลา? เกรงว่าเมืองหลวงจะมีปลาใหญ่มากกว่า”

“เมื่อกลับถึงเมืองหลวง พ่อของเจ้าจะจัดการเอง”

หลายชั่วยามให้หลัง ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคนก็เข้ามารายงาน

“มีเพลิงไหม้บนเกาะเทพจันทราขอรับ”

“ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร?”

“ตอนที่ข้าน้อยกลับมาก็เห็นเรือหลายลำออกจากเกาะเทพจันทราไปแล้ว รายละเอียดนั้นทำได้เพียงรอผู้บัญชาการลู่กลับมาขอรับ”

ลู่เยี่ยและคนอื่น ๆ กลับมาแล้ว

คนหลายสิบคนคุกเข่าอยู่ที่นั่นอย่างหนาแน่น

“พระชายา ข้าน้อยทำภารกิจได้ไม่ดี คนของพรรคเทพจันทรากลืนยาพิษฆ่าตัวตายแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะตาย พวกเขาก็จุดไฟเผาที่นั่นจนวอดขอรับ”

“ก่อนตายยังอุตส่าห์จุดไฟเผาทุกอย่าง คงเป็นเพราะไม่อยากให้เรารู้ที่มาของพวกเขาจากเบาะแสที่ทิ้งไว้” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่ผู้เดียวหรือ?”

“คนทั้งหมดกลืนยาพิษฆ่าตัวตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เมื่อพวกท่านไปถึงเกาะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มู่ซืออวี่ถาม

นายอำเภอเจิ้งถูกลู่เยี่ยผลักออกไปด้านหน้า

เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น

เขาใช้หลี่เสี่ยวฝานเป็นข้ออ้างในการขอพบธิดาเทพที่ว่า อย่างไรก็ตาม นายอำเภอเจิ้งไม่ทันได้เอ่ยแม้เพียงสองสามคำ คนของพรรคเทพจันทราก็มากระซิบธิดาเทพผู้นั้นก่อน ธิดาเทพผู้นั้นโกรธแค้นจึงคิดจะฆ่านายอำเภอเจิ้ง ทว่าได้ผู้คุ้มกันลับที่พาไปด้วยช่วยเอาไว้

“ดังคาด มีคนแจ้งข่าวแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไต่สวนชาวบ้านตัวปลอมในหมู่บ้านสกุลหยางโดยละเอียด”

“ขอรับ”

“บนเกาะเทพจันทราไม่เหลือเบาะแสอะไรทิ้งไว้จริง ๆ หรือ?”

“ถูกทำลายหมดสิ้นแล้วขอรับ ไม่มีคนเหลือรอดแม้เพียงผู้เดียว อีกทั้งของข้างในก็รักษาไว้ไม่ได้”

ไม่มีอะไรบนเกาะเทพจันทราเหลือให้ตรวจสอบ ทว่าหากกล่าวว่าตายหมดแล้ว นางกลับไม่เชื่อ อย่างไรเสียมีชีวิตอยู่ก็ดีกว่าตาย ความเชื่อเช่นใดกันที่ทำให้พวกเขาไม่หวาดกลัวแม้กระทั่งความตาย?

มู่ซืออวี่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ ทว่าตอนนี้ความลับทั้งหมดถูกซ่อนอยู่ใต้กองเพลิง แม้ต้องสำรวจดู ก็ทำได้เพียงรอให้ไฟดับเท่านั้น

“เตรียมคนไปเฝ้าแม่น้ำหมู่ตานประเดี๋ยวนี้” มู่ซืออวี่เอ่ย “ดูซิว่าจะมีผู้ใดลอบออกไปหรือไม่”

“ท่านแม่หมายถึงคนพวกนั้นไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่หรือเจ้าคะ”

“มดยังรู้จักถนอมชีวิต นับประสาอะไรกับคน”

เพลิงที่ไหม้อยู่เป็นเวลาหลายชั่วยามในที่สุดก็สงบลง

ลู่เยี่ยพาคนขึ้นเกาะไปอีกครั้ง

ครั้งนี้ มู่ซืออวี่ไปที่นั่นด้วยตนเอง

เมื่อนางเห็นซากปรักหักพังเบื้องหน้า ดวงตาก็วาววามแปลก ๆ

“ท่านแม่ ผังของที่นี่เหมือนค่ายกลที่ท่านเคยศึกษาก่อนหน้านี้มากหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “หรือว่าพรรคเทพจันทราหลบซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลนี้จริง ๆ”

“เกรงว่าจะหนีไปแล้ว”

“อย่างไรเจ้าคะ?”

“เจ้ายังจำคนทรยศในโรงต่อเรือของเราได้หรือไม่?” มู่ซืออวี่กล่าว “เมื่อไม่นานมานี้เราสร้างเรือที่สามารถลงไปใต้น้ำได้ ถึงแม้ว่าจะลงไปใต้น้ำได้ไม่นาน ทว่าระยะเวลาสั้น ๆ นั้นก็เพียงพอที่จะหลบหนี ในเมื่อมีคนทรยศในกิจการต่อเรือ ภาพแบบของเราอาจรั่วไหลไป วิธีสร้างของเราอาจถูกค้นพบแล้ว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสร้างสาขาแยกบนเกาะ เพราะหากพบอันตรายพวกเขาก็สามารถหลบหนีได้ทุกเมื่อ”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท