บทที่ 1043 ข้าชักจะคิดถึงอ๋องลู่ขึ้นมาแล้ว
บทที่ 1043 ข้าชักจะคิดถึงอ๋องลู่ขึ้นมาแล้ว
“ท่านแม่ ปัจจุบันมีเรือเช่นนี้กี่มากน้อยหรือ?”
“ตอนนี้มีเรือเพียงสองลำ ทว่าองค์กรนี้ได้รับภาพแบบมาแล้วย่อมสร้างเองได้” มู่ซืออวี่เอ่ย “ตรวจสอบตามริมน้ำก่อนเถอะว่ามีร่องรอยเรือหรือไม่”
เซี่ยสืออีและเซี่ยสือซานมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้
พวกเขาพาคนไป แยกย้ายกันค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับเรือลำดังกล่าว
นอกจากนี้มู่ซืออวี่ยังพบร่องรอยอื่น ๆ บนเกาะอีกด้วย
อย่างเช่นป้ายที่เป็นสัญลักษณ์ของพระจันทร์
“ดูเหมือนคนที่ลอบสังหารเรากลุ่มนั้นจะมาจากพรรคเทพจันทรา” มู่ซืออวี่เอ่ย “รูปนี้เหมือนกับสัญลักษณ์บนตัวของมือสังหารก่อนหน้านี้ทุกประการ”
“ในเมื่อพวกเขาต้องการสังหารเรา เหตุใดหลังจากพวกเรามาถึงที่นี่ พวกเขาไม่ทำอะไรเล่า?”
“พวกเขาเป็นสาขาย่อยไม่ใช่หรือ? ในเมื่อเป็นสาขาย่อย ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ข่าวจะไม่ได้ถ่ายทอดมา นอกจากนั้น พรรคนี้ก็ยังใหญ่โต แต่ละสาขาล้วนมีหน้าที่รับผิดชอบต่างกันไป ในความคิดข้า สาขานี้คงเป็นเพียงสาขาย่อยเล็ก ๆ เท่านั้น”
“สาขาย่อยสาขาเดียวถึงขั้นทำให้ผู้คนที่นี่เสียสติไปแล้ว หากเป็นสาขาใหญ่ นั่นไม่เท่ากับว่าจะมีคนถูกหลอกมากขึ้นหรือเจ้าคะ?”
มู่ซืออวี่ค้นหารอบ ๆ ทว่านอกจากยืนยันว่าคนที่ไล่ล่าพวกนางนั้นมาจากพรรคเทพจันทราแล้วก็ไม่พบสิ่งใดอีก นางอยากรู้ว่าผู้ใดคือผู้บงการเบื้องหลังองค์กรนี้ แต่เกรงว่าผู้นำสาขาเล็ก ๆ คงไม่รู้เช่นกัน
ชาวบ้านในหมู่บ้านสกุลหยางเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ศรัทธาของพรรคเทพจันทรา มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารให้พรรคเทพจันทรา มิเช่นนั้น พรรคเทพจันทราจะรู้ได้อย่างไรว่าครอบครัวใดมีคดีที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ครอบครัวใดได้รับความไม่เป็นธรรมบ้าง? ท้ายที่สุดแล้วก็เพียงแค่เป็นหูตาเท่านั้น
เพื่อปฏิบัติการ ชาวบ้านตัวปลอมเหล่านี้จึงฆ่าชาวบ้านตัวจริงและตั้งรกรากอยู่ที่นี่ เหตุที่หลี่เสี่ยวฝานถูกชาวบ้านตัวปลอมใช้อุบายจัดการในวันนั้นเป็นเพราะเขาบังเอิญค้นพบอุโมงค์ ทั้งยังมีศพของชาวบ้านตัวจริงอยู่ใต้อุโมงค์ด้วย พวกเขาจึงวางแผนจัดการหลี่เสี่ยวฝาน ส่วนสตรีที่เป็นเหยื่อผู้นั้น แน่นอนว่านางไม่ใช่หยางเสี่ยวชุ่ยตัวจริง แต่เป็นสตรีในหมู่บ้านที่เสียชีวิตไปแล้ว แม้กระทั่งใบหน้านางยังสวมหน้ากากหนังมนุษย์ของหยางเสี่ยวชุ่ย
สำหรับห้องที่เต็มไปด้วยเลือดและเรื่องข่มขืนผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย หลี่เสี่ยวฝานตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่อาจปัดป้องให้ตนเองได้ ศพของสตรีก็ไม่อาจให้ผู้อื่นเห็น ชาวบ้านตัวปลอมเหล่านั้นดูโมโหโกรธา การแสดงฉากนั้นสมจริงเป็นอย่างยิ่ง
นายอำเภอเจิ้งได้ยินลู่เยี่ยและคนอื่น ๆ เรียกมู่ซืออวี่ว่า ‘พระชายา’ ก็ทราบตัวตนของนางจึงตกใจเป็นอย่างมาก
เขาดีใจที่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจประนีประนอม มิเช่นนั้นนับประสาอะไรกับหมวกขุนนางบนหัวเล่า เกรงว่าทั้งครอบครัวคงได้รับผลกระทบจากเขาแล้ว
“ท่านแม่ พวกเราเดินทางต่อเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “เราต้องกลับเมืองหลวงโดยเร็ว ไม่อย่างนั้น ข้าเกรงว่าคนพรรคนั้นจะยังสร้างปัญหาให้เราอีก”
พวกนางมีคนน้อย ยังคงไม่วางใจอยู่บ้าง หากกลับถึงเมืองหลวงเร็ว มีเรื่องอะไรย่อมหากำลังเสริมได้ นางมักจะรู้สึกว่าพรรคเทพจันทรานั้นแข็งแกร่งยิ่ง อีกทั้งคนในเงามืดยังมีแบบแผนแน่นอน เกรงว่าพวกเขาจะเตรียมการล่วงหน้ามาแล้ว
เซี่ยสืออีและเซี่ยสือซานกลับมารายงานว่าพบร่องรอยของเรือที่บริเวณตอนล่างของแม่น้ำหมู่ตาน
ดังคาด ทุกอย่างเป็นไปตามที่เดาเอาไว้
“เช่นนั้นผู้จัดการเฉียนเป็นอย่างไร?”
“เขาซื้อสินค้าท้องถิ่นไปไม่น้อย ทำการค้าหลายอย่าง อย่างอื่นไม่พบข้อสงสัยขอรับ”
“ตรวจสอบคนที่เขาทำการค้าด้วยแล้วหรือยัง?”
“เรื่องนี้ไม่ได้ตรวจสอบขอรับ” ลู่เฟิงกล่าว
มู่ซืออวี่ปรายตามองลู่เฟิงแวบหนึ่ง “โง่จริง ในเมื่อข้าให้เจ้าจับตาดูผู้จัดการเฉียน เช่นนั้นก็ต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา เขาซื้อสินค้าอะไร ผู้ใดทำการค้ากับเขา เรื่องนี้ล้วนต้องตรวจสอบอย่างชัดเจน”
ลู่เฟิงประกบมือขึ้น “ข้าน้อยไร้ความสามารถ”
“ท่านแม่ รีบเดินทางเถิด!” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “หากผู้จัดการเฉียนผู้นั้นมีปัญหาจะต้องแสดงพิรุธออกมาเป็นแน่”
มู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ เดินทางต่อไป
ผู้จัดการเฉียนยังคงอยู่กับนาง
หากผู้จัดการเฉียนต้องการไปเมืองฮู่เป่ยจริง ๆ ย่อมต้องเดินทางเส้นทางเดียวกัน
เพียงแต่ มู่ซืออวี่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรแท้หรือมิตรจอมปลอม นางเพียงแค่รอดูว่าจะมีเรื่องประหลาดใจอื่น ๆ รออยู่หรือไม่
นายอำเภอเจิ้งรอรับการลงโทษจากมู่ซืออวี่ ทว่าจนกระทั่งมู่ซืออวี่จากไป เขาก็ไม่ได้รับบทลงโทษใด ๆ
ในเส้นทางที่เหลือนั้น ผู้จัดการเฉียนวางแผนการเดินทางทุกครั้ง การเดินทางที่เหลือจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีการลอบสังหารหรือเหตุการณ์อื่นใดอีก
ณ เมืองหลวง ฟ่านหยวนซีมองขุนนางที่ยืนอยู่ด้านล่าง ฟังพวกเขากล่าวเรื่องต่าง ๆ ด้วยความนอบน้อม ความหมายโดยทั่วไปคือแผ่นดินจะขาดอัครมหาเสนาบดีไม่ได้แม้เพียงวันเดียว ท่านอ๋องลู่ไม่อยู่ เรื่องต่าง ๆ ในราชสำนักล้วนวุ่นวาย ฝ่าบาทรีบแต่งตั้งอัครมหาเสนาบดีโดยเร็วเถิด! มิเช่นนั้น หากไม่มีผู้ใดดูแลเรื่องดังกล่าว ใต้หล้าเกรงว่าจะวุ่นวายแล้ว
ฟ่านหยวนซีแค่นเสียงเย็นกล่าว “ได้ สิ่งที่พวกท่านกล่าวนับว่าสมเหตุสมผล เช่นนั้นพวกท่านคิดว่าผู้ใดเหมาะสมสำหรับตำแหน่งนี้ที่สุดเล่า?”
“แน่นอนว่าเป็นหรงกั๋วกงพ่ะย่ะค่ะ”
“หรงกั๋วกง” ฟ่านหยวนซีหันไปมองหรงกั๋วกง “หรงกั๋วกง ท่านอยากเป็นหรือ?”
หรงกั๋วกงเดินออกจากแถวแล้วกล่าวด้วยความเคารพ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมร่างกายไม่สู้ดี เกรงว่าจะแบกรับภาระใหญ่หลวงเช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทั้งขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารในราชสำนักต่างก็บอกว่าท่านมีคุณสมบัติ ทว่าท่านกลับเบือนหน้าหนี นี่อะไร? พวกท่านเห็นข้าเป็นลิงอย่างนั้นหรือ?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยด้วยโทสะ “พวกเขาผลักท่านขึ้นสู่จุดสูงสุด ทว่าไม่ได้สอบถามสุขภาพร่างกายท่านว่าแข็งแรงดีแบกรับภาระได้หรือไม่รึ? หากเป็นเช่นนี้ ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารทั่วทั้งราชสำนักไม่มีผู้ใดมีตาแม้แต่ผู้เดียวหรืออย่างไร?”
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ” ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารคุกเข่าลง
“ให้ข้าชี้ตัวเถอะ!” ฟ่านหยวนซีกล่าว “ตำแหน่งนี้เป็นเผือกร้อน เช่นนั้นผลัดกันทำจะดีกว่า วันนี้เป็น…เสนาบดีกรมพระคลัง ท่านมาเป็น…”
เสนาบดีกรมพระคลังลนลานกราบทูล “ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในอาณาจักร เป็นรองเพียงพระราชอำนาจของฮ่องเต้เท่านั้น จะเล่นเป็นเด็กขายของอย่างนี้ได้อย่างไร?”
“เล่นเป็นเด็ก ๆ หรือ? ข้าไม่คิดเช่นนั้น” ฟ่านหยวนซีกล่าว “พวกท่านแต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักของแผ่นดินที่ข้าคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ขอเพียงพวกท่านฝึกฝนตัวเอง พวกท่านทุกคนล้วนมีความสามารถที่จะเป็นอัครมหาเสนาบดีของแผ่นดินได้”
ฉีเจินก้าวออกมา “ฝ่าบาทโปรดทบทวน ตำแหน่งนี้มีหน้าที่ราชการหนักหนา ไม่อาจเข้าใจเรื่องราชการได้ เพียงแค่ชั่วข้ามคืน หากวันหนึ่งเปลี่ยนคนหนึ่ง เกรงว่าอาจใช้หนึ่งวันไปโดยไม่แม้แต่จะเข้าใจสถานการณ์พ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ทัพฉีกล่าวเช่นนี้ หรือมีวิธีอื่น?” ฟ่านหยวนซีกล่าว “หรงกั๋วกงไม่ยินดีทำ พวกท่านก็จะให้เขาทำให้ได้ ข้าอุตส่าห์คิดวิธีดี ๆ เช่นนี้ขึ้นมา พวกท่านกลับไม่ให้ความร่วมมือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บัลลังก์นี้มอบให้พวกท่านดีหรือไม่”
“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉีเจินกล่าว “บางทีท่านอ๋องลู่อาจใกล้กลับมายังราชสำนักแล้ว ไม่สู้พวกเราส่งกองกำลังไปตรวจสอบดูว่าตอนนี้ท่านอ๋องลู่อยู่ที่ใดจะดีกว่า”
“ดูเหมือนว่าแผ่นดินนี้จะยังไม่อาจขาดอ๋องลู่!” ฟ่านหยวนซีกล่าว “ตอนนี้ข้าชักจะคิดถึงเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”